อยากจะเล่าให้ฟังค่ะ ว่าเมื่อเชื้อโควิดลามไปทั่ว สถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างไร
เมืองที่เราอยู่ในอเมริกา ประมาณเดือนกรกฎาคม คนฉีดวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งเข็มประมาณ 30%ของประชากรผู้ใหญ่ คนที่เหลือคือไม่ยอมฉีด ต่อต้านวัคซีน คนส่วนใหญ่ไม่ใส่หน้ากาก ไปรวมกันทุกที่ทั้งในร้านอาหาร ห้าง โบถส์ โรงเรียนเปิดเดือนสิงหาคม ทั้งครู นักเรียน ประมาณจากสายตา 90%ไม่ใส่หน้ากาก
เดือนสิงหาคม มีคอนเสริต์ และตามด้วยทรัมป์มาปราศัย คนไปรวมตัว ไม่ใส่หน้ากากตามเคย พอกลาง ๆ เดือน ห้องไอซียูก็เต็ม คนก็เฉยๆ เดือนต่อมา มีเด็กนักเรียนเสียชีวิตจากโควิดในเมือง คนก็มาส่งใจ แสดงความเสียใจเยอะ แต่ก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทุกคนไม่ใส่หน้ากาก โรงเรียนยังคงไม่บังคับใส่หน้ากาก ต่อมาเด็กนักเรียนติดเชื้อ ต้องอยู่บ้านมากกว่า ร้อยละยี่สิบ ของโรงเรียน โรงเรียนถึงบังคับใส่หน้ากาก พอเชื้อลดก็เลิกใส่กันกว่าครึ่ง อาทิตย์ก่อนมีคนเป็นโรคหัวใจ แต่โรงพยาบาลรับไม่ได้ เต็มจากโควิด โรงพยาบาลใกล้ๆ ก็เต็มหมด ต้องไปไกลกว่าสี่ร้อยกิโลเมตร เพื่อหาโรงพยาบาล สุดท้ายคือเสียชีวิต รักษาไม่ทัน ญาติเสียใจ คนก็มาแสดงความเสียใจ แต่ก็มีคนบอกว่า โรงพยาบาลเลวที่ไม่รับรักษาคนไข้ หรือมีคนบอกว่า แก่แล้ว ตายไปก็ไม่เป็นไรหรอก ก็ต้องทำใจนะคะว่า ประชากรมีคนไม่มีคุณภาพเยอะ ก็จะออกมาแสดงความเห็นโง่ ๆ แบบนี้บ้าง
ถึงจุดนี้คือ ประชากรที่ติดเชื้อทั้งหมดของเมืองตั้งแต่เริ่มต้นมีโควิดมาคือ ประมาณ 15% แต่จำนวนติดเชื้อจริงเยอะกว่านี้แน่นอน เพราะอย่างลูกสาวคนโตเราติดแน่ ๆ แต่ตรวจเชื้อไม่เจอครั้งแรกก็ไม่ได้นับ เราเองน่าจะติด แต่ไม่ได้ไปตรวจ ในคนที่เรารู้จักมีคนติดแต่ไม่ได้ไปตรวจอีกเยอะมาก เพราะถึงไปตรวจก็ไม่ได้ยา หรืออะไร เลยรักษาตัวเองอยู่กับบ้าน จำนวนผู้เสียชีวิตในตอนนี้ของเมืองนี้คือ ประมาณ 2.5 คนใน 1,000 คน คาดว่าน่าจะสูงกว่านี้เล็กน้อย เพราะบางคนก็ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลใหญ่ในเมืองอื่น ก็ไม่ได้มานับรวมในตัวเลขของเมืองเรา
ลูกเราใส่หน้ากากไปโรงเรียน เพื่อนสนิทก็ใส่หน้ากาก แต่เวลากินข้าวใกล้กันถอดหน้ากากออกแถมเรียนดนตรี เลือกเครื่องเป่าทั้งคู่ นั่งใกล้กัน พ่อเพื่อนลูกไปงานทรัมป์ ไม่ใส่หน้ากาก ติดเชื้อเอามาแพร่ลูกเมีย ลูกก็เอามาแพร่เพื่อน ลูกเราติดมาเอามาแพร่น้อง กับเราและสามี และไปแพร่บ้านที่รับส่งลูกเราไปโรงเรียน แต่บ้านนั้นร่างกายแข็งแรง ไม่มีใครแสดงอาการใด ๆ ลูกเราคนโต ป่วยอยู่ประมาณอาทิตย์กว่า ๆ มีไข้ต่ำ ๆ สามสี่วัน ท้องเสียสามวัน หลังจากนั้นคือ รส กลิ่น รับรสได้น้อยลง อ่อนเพลียเกือบสิบวันถึงหายเป็นปกติ ลูกคนเล็กไม่มีไข้ ท้องเสียหนึ่งวัน อ่อนเพลียสองสามวัน แต่ลูกคนเล็กตรวจพบเชื้อ คนโตตรวจไม่พบเชื้อ เราไม่พาไปตรวจซ้ำ เพราะอาการบอกชัดว่าคนโตก็ติด สามีเราฉีดไฟเซอร์เมื่อเดือนมีนา ไม่มีอาการใด ๆ เราฉีดจอห์นสันเมื่อเดือนเมษา มีอาการเจ็บคอสามสี่วัน ครูที่เรียนพิเศษลูกเพิ่งฉีดไฟเซอร์ได้เดือนกว่า ๆ สองคน ไม่ติดจากลูกเรา ส่วนญาติสนิทฝั่งสามีไปติดจากไหนมาไม่รู้ ก็เอามาส่งต่อให้แม่สามีเรา แม่สามีเราเพิ่งฉีดไฟเซอร์ได้เดือนกว่า ๆ ก็ไม่มีอาการ พ่อสามีฉีดไฟเซอร์เดือนมีนา มีอาการไข้ขึ้นสองวัน จากนั้นก็หายดี ตอนนี้ญาติฝั่งแม่สามีก็มีอาการ ไปตรวจดูอยู่ว่าติดเชื้อไหม เพื่อนในเมืองที่เรามีก็มีคนติดเชื้อหลายคน ตั้งแต่ต้นปี กลางปีแล้ว มาถึงณ จุดนี้ คือ ติดโควิด คือเรื่องปกติ ไม่มีใครตกใจมาก รักษากันไปตามอาการ คนไทยก็หายาฟ้าทะลายโจร ขมิ้นขาวมากิน คนฝรั่งก็กินยาแก้ไข้ แก้ปวด พักผ่อนอยู่บ้าน คนไหนไม่เชื่อหมอก็ไปหายาถ่ายพยาธิม้ามากิน ใครป่วยมาก ก็ไปหาหมอขอmonoclonal antibody infusion ใครป่วยหนักมาก ๆ ก็ไปโรงพยาบาล บ้างก็รักษาได้ บ้างรักษาไม่ได้ก็เสียชีวิต คนที่เหลือก็ดำเนินชีวิตต่อไป
ณ จุดนี้คือ ทุกคนมีคนรู้จักที่ติดเชื้อ และแทบทุกคนรู้จักคนที่เสียชีวิตจากโควิดเป็นการส่วนตัว โดยเฉพาะคนที่สูงวัย จะมีคนติดเชื้อ และเสียชีวิตมากกว่าวัยอื่น คนมีโรคประจำตัว หรือน้ำหนักเกินเวลาป่วย ก็จะมีอาการแย่กว่าคนอื่น ส่วนตัวเราเอง คนรู้จักที่ติดเชื้อมีเยอะมาก และรู้จักคนเสียชีวิตหนึ่งคน
หลังจากมีคนป่วย คนเสียชีวิตมากขึ้น ผู้คนก็เริ่มใส่หน้ากากกัน แต่ดูด้วยตา ไม่น่าเกิน30% คนฉีดวัคซีนมีมากขึ้นเป็น 40%
อาทิตย์นี้ อัตราคนป่วย และคนในโรงพยาบาลเริ่มลดลง น่าจะเป็นเพราะ ติดกันไปเกือบหมดแล้ว คนป่วยก็ป่วยแล้ว คนตายก็ตายแล้ว ถ้าไม่มีสายพันธุ์ใหม่มา นี่น่าจะเป็นพีคแล้วในความคิดเรา แต่สายพันธุ์ใหม่มันมาแน่ ๆ จะเป็นอย่างไรก็ต้องดูต่อไป ขอให้วงการแพทย์พัฒนาวัคซีนต่อไป เราก็จะตามฉีดต่อไป แม้จะกลัววัคซีน แต่กลัวโควิดมากกว่า ลูกยังเล็ก ผัวยังเด็ก เราต้องฉีดวัคซีน
เพิ่งนึกได้ว่าน่าจะเขียนเล่า ที่ทำงานของเรา ที่ทำงานเราทำงานแยกกันนะคะ พบกันบ้าง แต่ไม่เจอกันตลอด มีประมาณ สิบห้าคน ติดโควิดเท่าที่ทราบสามคน ไม่รวมตัวเรา คนที่ติดโควิด ไม่ฉีดวัคซีนสองคน ส่วนอีกคนฉีดแต่ติดไม่มีอาการ อีกคนที่ไม่ฉีดมีอาการแย่มาก นึกว่าจะตายเสียแล้วจากคำบอกเล่าของเจ้าตัวคนหนึ่ง ส่วนอีกคนหนึ่งเสียชีวิตเลยหลังจากติดไม่นาน มีเพื่อนร่วมงานอีกคนไม่ติดโควิดแต่ครอบครัวติดสมัยยังไม่มีวัคซีน สามีติดโควิดจากที่ทำงาน สามีอาการน้อยมากแต่เอาเชื้อไปแพร่พ่อตัวเอง พ่อสูงวัย เกือบแปดสิบปีต้องไปไอซียู แม่กับภรรยากลับไม่ติด ไม่มีใครเสียชีวิต
อัพเดตสถานการณ์ในความเห็นที่ 15 ค่ะ
ประสบการณ์ส่วนตัวเมื่อเชื้อโควิดลามไปทั่ว โดยไร้การควบคุม
เมืองที่เราอยู่ในอเมริกา ประมาณเดือนกรกฎาคม คนฉีดวัคซีนอย่างน้อยหนึ่งเข็มประมาณ 30%ของประชากรผู้ใหญ่ คนที่เหลือคือไม่ยอมฉีด ต่อต้านวัคซีน คนส่วนใหญ่ไม่ใส่หน้ากาก ไปรวมกันทุกที่ทั้งในร้านอาหาร ห้าง โบถส์ โรงเรียนเปิดเดือนสิงหาคม ทั้งครู นักเรียน ประมาณจากสายตา 90%ไม่ใส่หน้ากาก
เดือนสิงหาคม มีคอนเสริต์ และตามด้วยทรัมป์มาปราศัย คนไปรวมตัว ไม่ใส่หน้ากากตามเคย พอกลาง ๆ เดือน ห้องไอซียูก็เต็ม คนก็เฉยๆ เดือนต่อมา มีเด็กนักเรียนเสียชีวิตจากโควิดในเมือง คนก็มาส่งใจ แสดงความเสียใจเยอะ แต่ก็เหมือนเดิม ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทุกคนไม่ใส่หน้ากาก โรงเรียนยังคงไม่บังคับใส่หน้ากาก ต่อมาเด็กนักเรียนติดเชื้อ ต้องอยู่บ้านมากกว่า ร้อยละยี่สิบ ของโรงเรียน โรงเรียนถึงบังคับใส่หน้ากาก พอเชื้อลดก็เลิกใส่กันกว่าครึ่ง อาทิตย์ก่อนมีคนเป็นโรคหัวใจ แต่โรงพยาบาลรับไม่ได้ เต็มจากโควิด โรงพยาบาลใกล้ๆ ก็เต็มหมด ต้องไปไกลกว่าสี่ร้อยกิโลเมตร เพื่อหาโรงพยาบาล สุดท้ายคือเสียชีวิต รักษาไม่ทัน ญาติเสียใจ คนก็มาแสดงความเสียใจ แต่ก็มีคนบอกว่า โรงพยาบาลเลวที่ไม่รับรักษาคนไข้ หรือมีคนบอกว่า แก่แล้ว ตายไปก็ไม่เป็นไรหรอก ก็ต้องทำใจนะคะว่า ประชากรมีคนไม่มีคุณภาพเยอะ ก็จะออกมาแสดงความเห็นโง่ ๆ แบบนี้บ้าง
ถึงจุดนี้คือ ประชากรที่ติดเชื้อทั้งหมดของเมืองตั้งแต่เริ่มต้นมีโควิดมาคือ ประมาณ 15% แต่จำนวนติดเชื้อจริงเยอะกว่านี้แน่นอน เพราะอย่างลูกสาวคนโตเราติดแน่ ๆ แต่ตรวจเชื้อไม่เจอครั้งแรกก็ไม่ได้นับ เราเองน่าจะติด แต่ไม่ได้ไปตรวจ ในคนที่เรารู้จักมีคนติดแต่ไม่ได้ไปตรวจอีกเยอะมาก เพราะถึงไปตรวจก็ไม่ได้ยา หรืออะไร เลยรักษาตัวเองอยู่กับบ้าน จำนวนผู้เสียชีวิตในตอนนี้ของเมืองนี้คือ ประมาณ 2.5 คนใน 1,000 คน คาดว่าน่าจะสูงกว่านี้เล็กน้อย เพราะบางคนก็ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลใหญ่ในเมืองอื่น ก็ไม่ได้มานับรวมในตัวเลขของเมืองเรา
ลูกเราใส่หน้ากากไปโรงเรียน เพื่อนสนิทก็ใส่หน้ากาก แต่เวลากินข้าวใกล้กันถอดหน้ากากออกแถมเรียนดนตรี เลือกเครื่องเป่าทั้งคู่ นั่งใกล้กัน พ่อเพื่อนลูกไปงานทรัมป์ ไม่ใส่หน้ากาก ติดเชื้อเอามาแพร่ลูกเมีย ลูกก็เอามาแพร่เพื่อน ลูกเราติดมาเอามาแพร่น้อง กับเราและสามี และไปแพร่บ้านที่รับส่งลูกเราไปโรงเรียน แต่บ้านนั้นร่างกายแข็งแรง ไม่มีใครแสดงอาการใด ๆ ลูกเราคนโต ป่วยอยู่ประมาณอาทิตย์กว่า ๆ มีไข้ต่ำ ๆ สามสี่วัน ท้องเสียสามวัน หลังจากนั้นคือ รส กลิ่น รับรสได้น้อยลง อ่อนเพลียเกือบสิบวันถึงหายเป็นปกติ ลูกคนเล็กไม่มีไข้ ท้องเสียหนึ่งวัน อ่อนเพลียสองสามวัน แต่ลูกคนเล็กตรวจพบเชื้อ คนโตตรวจไม่พบเชื้อ เราไม่พาไปตรวจซ้ำ เพราะอาการบอกชัดว่าคนโตก็ติด สามีเราฉีดไฟเซอร์เมื่อเดือนมีนา ไม่มีอาการใด ๆ เราฉีดจอห์นสันเมื่อเดือนเมษา มีอาการเจ็บคอสามสี่วัน ครูที่เรียนพิเศษลูกเพิ่งฉีดไฟเซอร์ได้เดือนกว่า ๆ สองคน ไม่ติดจากลูกเรา ส่วนญาติสนิทฝั่งสามีไปติดจากไหนมาไม่รู้ ก็เอามาส่งต่อให้แม่สามีเรา แม่สามีเราเพิ่งฉีดไฟเซอร์ได้เดือนกว่า ๆ ก็ไม่มีอาการ พ่อสามีฉีดไฟเซอร์เดือนมีนา มีอาการไข้ขึ้นสองวัน จากนั้นก็หายดี ตอนนี้ญาติฝั่งแม่สามีก็มีอาการ ไปตรวจดูอยู่ว่าติดเชื้อไหม เพื่อนในเมืองที่เรามีก็มีคนติดเชื้อหลายคน ตั้งแต่ต้นปี กลางปีแล้ว มาถึงณ จุดนี้ คือ ติดโควิด คือเรื่องปกติ ไม่มีใครตกใจมาก รักษากันไปตามอาการ คนไทยก็หายาฟ้าทะลายโจร ขมิ้นขาวมากิน คนฝรั่งก็กินยาแก้ไข้ แก้ปวด พักผ่อนอยู่บ้าน คนไหนไม่เชื่อหมอก็ไปหายาถ่ายพยาธิม้ามากิน ใครป่วยมาก ก็ไปหาหมอขอmonoclonal antibody infusion ใครป่วยหนักมาก ๆ ก็ไปโรงพยาบาล บ้างก็รักษาได้ บ้างรักษาไม่ได้ก็เสียชีวิต คนที่เหลือก็ดำเนินชีวิตต่อไป
ณ จุดนี้คือ ทุกคนมีคนรู้จักที่ติดเชื้อ และแทบทุกคนรู้จักคนที่เสียชีวิตจากโควิดเป็นการส่วนตัว โดยเฉพาะคนที่สูงวัย จะมีคนติดเชื้อ และเสียชีวิตมากกว่าวัยอื่น คนมีโรคประจำตัว หรือน้ำหนักเกินเวลาป่วย ก็จะมีอาการแย่กว่าคนอื่น ส่วนตัวเราเอง คนรู้จักที่ติดเชื้อมีเยอะมาก และรู้จักคนเสียชีวิตหนึ่งคน
หลังจากมีคนป่วย คนเสียชีวิตมากขึ้น ผู้คนก็เริ่มใส่หน้ากากกัน แต่ดูด้วยตา ไม่น่าเกิน30% คนฉีดวัคซีนมีมากขึ้นเป็น 40%
อาทิตย์นี้ อัตราคนป่วย และคนในโรงพยาบาลเริ่มลดลง น่าจะเป็นเพราะ ติดกันไปเกือบหมดแล้ว คนป่วยก็ป่วยแล้ว คนตายก็ตายแล้ว ถ้าไม่มีสายพันธุ์ใหม่มา นี่น่าจะเป็นพีคแล้วในความคิดเรา แต่สายพันธุ์ใหม่มันมาแน่ ๆ จะเป็นอย่างไรก็ต้องดูต่อไป ขอให้วงการแพทย์พัฒนาวัคซีนต่อไป เราก็จะตามฉีดต่อไป แม้จะกลัววัคซีน แต่กลัวโควิดมากกว่า ลูกยังเล็ก ผัวยังเด็ก เราต้องฉีดวัคซีน
เพิ่งนึกได้ว่าน่าจะเขียนเล่า ที่ทำงานของเรา ที่ทำงานเราทำงานแยกกันนะคะ พบกันบ้าง แต่ไม่เจอกันตลอด มีประมาณ สิบห้าคน ติดโควิดเท่าที่ทราบสามคน ไม่รวมตัวเรา คนที่ติดโควิด ไม่ฉีดวัคซีนสองคน ส่วนอีกคนฉีดแต่ติดไม่มีอาการ อีกคนที่ไม่ฉีดมีอาการแย่มาก นึกว่าจะตายเสียแล้วจากคำบอกเล่าของเจ้าตัวคนหนึ่ง ส่วนอีกคนหนึ่งเสียชีวิตเลยหลังจากติดไม่นาน มีเพื่อนร่วมงานอีกคนไม่ติดโควิดแต่ครอบครัวติดสมัยยังไม่มีวัคซีน สามีติดโควิดจากที่ทำงาน สามีอาการน้อยมากแต่เอาเชื้อไปแพร่พ่อตัวเอง พ่อสูงวัย เกือบแปดสิบปีต้องไปไอซียู แม่กับภรรยากลับไม่ติด ไม่มีใครเสียชีวิต
อัพเดตสถานการณ์ในความเห็นที่ 15 ค่ะ