สารานุกรมปืนตอนที่ 834 SKS-31

นตอนนี้เราจะพูดถึงปืน SKS-31 ซึ่งถือว่าเป็นบรรพบุรุษโดยตรงของปืนไรเฟิล SKS 

SKS-31 มีต้นกำเนิดมาจากการตั้งโครงการจัดหาปืนเล็กสั้นระบบกึ่งอัตโนมัติที่มีน้ำหนักเบาและใช้กระสุนขนาด 7.62X54 R ซึ่ง SVT-40 ก็มีเวอร์ชั่นปืนเล็กสั้นเหมือนกันแต่ทางกองทัพโซเวียตต้องการอะไรที่มันเบากว่านั้น Sergey Gavrilovich Simonov เลยได้สร้างปืนตัวต้นแบบอันแรกของเขาขึ้นมา SVS-53 แต่ผลการทดสอบโดยรวมแล้วไม่เป็นที่น่าพอใจเขาจึงได้กลับไปพัฒนาปืนของตัวเองขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่งและที่ได้ออกมานั่นก็คือ SKS-30 ก่อนจะพัฒนาอีกครั้งจนกลายเป็นรุ่น 31 ที่บรรจุกระสุนด้วย En-bloc Clip 10 นัด และแบบแหนบ 5 นัด



คุณสมบัติที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่สร้างความประทับใจให้กองทัพโซเวียตคือน้ำหนักของปืน SKS-31 ด้วยความยาวโดยรวม 1,085 มม. (ประมาณ 43 นิ้ว) อาวุธนี้มีน้ำหนักเพียง 2.9 กิโลกรัม (6 ปอนด์ 6 ออนซ์) ซึ่งรวมดาบปลายปืน ฝัก และกระสุน 90 นัดเบากว่าหนึ่งกิโลกรัม (มากกว่า 2 ปอนด์) เมื่อเทียบกับปืนของ Tokarev

ทางกองทัพโซเวียตได้มอบหมายให้โรงงานหมายเลข 341 ซึ่งตั้งอยู่ใน Mednogorsk ให้ผลิตตัวต้นแบบของ SKS-31 ขึ้นมาจำนวน 50 กระบอก เพื่อทำการทดสอบประสิทธิภาพแต่เนื่องจากเวลานั้นเป็นช่วงที่สหภาพโซเวียตทำสงครามกับนาซีเยอรมันแล้วโรงงานหมายเลข 314 จึงไม่มีเวลาพอที่จะผลิตปืนชนิดใหม่ได้เพราะพวกเขากำลังทุ่มเทให้กับการผลิต SVT-40 ทำให้ต้องเลื่อนการผลิตออกไปหลายครั้งจนในที่สุดแล้วก็ได้ผลิตออกมาตามจำนวน Order ที่ได้รับสั่งมาทั้งหมด 50 กระบอกในปี 1944 จากที่ควรผลิตในเดือนกรกฎาคมปี 1942

โดยสรุปผลการทดสอบออกมาว่าตัวปืนมีความแม่นยำเทียบได้กับปืนปืนโมซิน-นากองท์ และ ระบบปฏิบัติการมีความน่าเชื่อถือโดยมีการขัดลำเพียงแค่ 1.76 เปอร์เซ็นต์จากการยิง 8000 นัด แต่ก็มีข้อเสียอยู่มากเหมือนกันนั่นก็คือหากไม่ได้ทำความสะอาดและชโลมน้ำมันอย่างสม่ำเสมอตัวปืนจะมีความขัดข้องในระบบปฏิบัติการหลายอย่างทั้งในเรื่องของการยิงและการบรรจุกระสุนรวมไปถึงปัญหาที่เกิดจากตัวปืนเองนั่นก็คือตัวปืนมีแรงถีบที่ค่อนข้างจะหนักหน่วงเจ้าหน้าที่ที่ทำการทดสอบปืนมีการเขียนรายงานเอาไว้ว่าเริ่มมีอาการเจ็บไหล่อย่างมากเมื่อยิงไปประมาณ 50 นัดด้วยการยิงอย่างต่อเนื่อง

(ซึ่งผมมองว่ามันไม่น่าแปลกสำหรับปืนที่ใช้กระสุน 7.62X54R)

และมีปัญหาจากการที่มีแสงออกจากปากกระบอกปืนในการยิงแต่ละครั้งที่มากทำให้เปิดเผยตำแหน่งของทหารที่ใช้ได้ง่ายแม้ในเวลากลางวันไม่ต้องพูดถึงตอนกลางคืนเลยว่ามันจะสว่างชัดขนาดไหน และสุดท้ายปัญหาที่เกิดจากเสียงจากการยิงปืนชนิดนี้ที่ทำให้ผู้ทำการทดสอบบางคนมีอาการหูหนวกชั่วคราว ปัญหาและข้อเสียทั้งหมดเหล่านี้รวมกันแล้วจึงกลายเป็นข้อสรุปให้กองทัพโซเวียตยุติการใช้ปืนชนิดนี้ทันทีแม้ยังอยู่ในขั้นทดสอบก็ตามต่อมาช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพโซเวียตมีแนวคิดการพัฒนากระสุนปืนไรเฟิลชนิดใหม่ที่จะใช้ครอบคลุมทั้งปืนเล็กยาวมาตรฐานของทหารราบและปืนกลเบาที่ใช้ยิงสนับสนุนนั่นก็คือกระสุนขนาด 7.62x41 มม. ก่อนจะปรับแก้อีกครั้งเป็น 7.62x39 มม. และนำไปสู่การพัฒนาปืนไรเฟิล กึ่งอัตโนมัติที่จะกลายเป็นตำนานของโลกคอมมิวนิสต์อย่าง SKS

https://www.thefirearmblog.com/blog/2018/08/13/sks-31-the-7-62x54mmr-predecessor-of-the-7-62x39mm-sks/?fbclid=IwAR2eHbmZexH4nYNZuYRL_-Hqz_KyuANbKyHE6xouWHp-rRVxLrJxF77LCvs




สวัสดีครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่