[CR] เรียนจบป.ตรี 3 ปีครึ่ง ได้งานทำก่อนเรียนจบท่ามกลางโควิด เพราะอ่านรีวิวพันทิปแล้วเจอสาขาธุรกิจระหว่างประเทศ TNI

สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ และสวัสดีพันทิปด้วย เราชื่อ มัดหยา ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ปี 4 ที่สาขาการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ เรียกย่อ ๆ ว่า สาขา IB ที่สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น เทอมนี้เป็นเทอมสุดท้ายแล้ว จากการเดินทางในชีวิตมหาลัยเพียง 3 ปีครึ่ง ก็รู้สึกว่าใจหาย เพราะมีความทรงจำเกิดขึ้นมากมายจริง ๆ ก็อยากจะเขียนเก็บไว้ และแชร์ให้เพื่อน ๆ ที่สนใจหารีวิวเกี่ยวกับที่เรียนต่อทางสายบริหารธุรกิจค่ะ อาจจะเป็นประโยชน์กับน้อง ๆ ที่กำลังดู ๆ สาขานี้อยู่ค่ะ
               ตอนที่เราเรียนอยู่ ม.6 เราได้เข้ามาอ่านรีวิวในพันทิปเกี่ยวกับการเรียนในมหาลัย แล้วก็ไปเจอรีวิวสาขาการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ ของ ม.ไทย-ญี่ปุ่น อ่านแล้วก็สะดุดใจว่า เป็นสาขาที่เรียน 3 ภาษา ไทย อังกฤษ ญี่ปุ่น ซึ่งมันตรงใจเราแล้วหนึ่งแมช เราคิดว่ามีภาษาเกิน ๆ ไปก่อนได้เปรียบ (ซึ่งเดี๋ยวมันจะเฉลยว่าคิดถูก) แล้วที่เอะใจหนักเลยคือ ทุกรีวิวจะบอกว่าเป็นสาขาที่เน้นเรียนผ่านกิจกรรม คือมีกิจกรรมแน่นมาก เราก็สนใจขนาดที่ว่าทัก inbox ไปคุยกับรุ่นพี่ที่เขียนรีวิวเลยนะ พี่เขาบอกว่าจริงทุกอย่าง ไม่ได้ค่าโฆษณา ไม่ขายฝัน เรียล ๆ พี่เขาถามกลับว่า
"ที่นี่มีสโลแกนลับว่า เรียนได้อย่าให้กระทบกิจกรรม
ถ้าเชื่อว่าลงมือทำจริง แล้วได้ประโยชน์มากกว่าเรียนไปสอบ
ก็มา แต่ถ้าอยากอ่านหนังสือไปสอบอย่างเดียว หนีไปนะคะ"
และที่ทุกคนจะพูดตรงกันก็คือ จบจากนี่ไปแล้วได้งานทำ 100% ส่วนสาขา IB จะพิเศษตรงที่เรียนจบภายใน 3 ปีครึ่ง แล้วหลายคนได้งานทำก่อนเรียนจบ ซึ่งวันนี้เรามาคอนเฟิร์มว่าไม่เกินจริงค่ะ ในวันนี้ท่ามกลางสถานการณ์โควิด ที่งานหายาก ธุรกิจต่าง ๆ ก็ปิดตัว การจ้างงานลดลง แต่เราได้งานทำตั้งแต่ยังเรียนไม่จบค่ะ ตอนนี้ก็ยังเรียนเทอมสุดท้ายอยู่เลย เราได้งานทำในบริษัทโลจิสติกส์ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในประเทศไทยค่ะ บริษัทใหญ่เลย เงินเดือนก็เกินค่าเฉลี่ยเด็กจบใหม่ค่ะ บริษัทเขายอมให้เราแบ่งเวลางานไปเข้าคลาสเรียนได้ด้วยค่ะ แต่ว่าให้เริ่มงานเลย เรื่องเอกสารใบจบ ใบปริญญาบัตร เดี๋ยวค่อยส่งตามทีหลัง
 
             สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น เป็นมหาลัยเอกชนค่ะ ค่าเทอมราว ๆ 4 หมื่นบาท (แล้วแต่สาขา) ใช่ค่าเทอมแรงใช้ได้เลย แต่ว่าเราก็ได้มาปรึกษากับแม่ก่อน แม่เราใจดีมาก ให้เราเลือกสิ่งที่เราอยากเรียน เพราะเค้าบอกกับเราว่า "เลือกสิ่งที่เราอยากเรียน แล้วเราจะเรียนได้อย่างมีความสุข" แม่พร้อมซัพพอร์ท แม่เราบอกว่าลงทุนซื้อสังคมดี ๆ ซื้อโอกาสให้ลูก แม่ว่ามันคือการลงทุนที่คุ้มค่า  เราไม่ได้ทุนการศึกษานะ มีทุนเบิกค่าเทอมข้าราชการนิดหน่อยมาช่วย ปีละ 2 หมื่นบาท วันที่เราได้งานทำก่อนเรียนจบ แม่เราแฮปปี้มาก ไม่รู้ว่าคนอื่นจะอินกับเรื่องครอบครัวมั้ยนะ แต่เราอินกับเรื่องอะไรแบบนี้มาก
 
เรามาคิด ๆ ดูว่าถ้าวันนั้นเราไม่ตัดสินใจเลือกเรียนที่นี่ เราคงไม่ได้เรียนจบเร็ว ได้งานทำก่อน และได้เงินเดือนที่ค่อนข้างดีมาก แน่ ๆ เลย
 
--------------------------------------------
 
            ถัดไปเราจะเล่าว่าเจออะไรมาบ้างในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา กิจกรรมอะไรพวกนี้ช่วยปั้นเราให้แตกต่างได้จริง ๆ โปรไฟล์สมัครงานของเราต่างจากเพื่อนที่เรียนแบบท่องจำไปสอบจริง ๆ นะ และนั่นคือความลับที่เราได้งานสวนกระแสงานหายากเลย
[เด็ก IB ไทย-ญี่ปุ่น ทุกคนต้องโดน House Project]
            เข้ามาเรียนปีแรก เราทุกคนจะต้องเจอกับสิ่งที่เรียกว่า House Project ซึ่งถ้าอธิบายแบบเร็ว ๆ ก็คล้าย ๆ บ้านในแฮรี่ พ็อตเตอร์อ่ะ คือแต่ละบ้านจะมีปี 1 จนถึงปี 4 ทำงานร่วมกัน แต่ที่แตกต่างออกไปคือ เราจะต้องทำธุรกิจจริง ๆ เลย ซึ่งไม่เหมือนที่น้องเคยจินตนาการไว้ มันจริงจังกว่าที่น้องคิด สินค้า House Project คือใกล้กับคำว่าธุรกิจจริง ๆ มาก
        ถ้าเป็นที่อื่นก็อาจจะทำขนมมาขาย หรือไปซื้อขนมมาแพ็คถุงขาย หรือไปรับสินค้าจากแบรนด์ดัง ๆ ที่มีอยู่แล้ว แล้วก็เอานักศึกษามาเป็นเซลล์แมนขายสินค้าให้ แต่ที่นี่ไม่ใช่ อาจารย์ของสาขาเราเขาเน้นให้เป็นผู้ประกอบการเอง สร้างแบรนด์เอง ไม่ใช่เป็นแค่พนักงานขายให้แบรนด์อื่น แล้วด้วยความที่มี ปี 1 ถึงปี 4 ทำงานต่อกันมันทำให้ธุรกิจดำเนินต่อเนื่อง เราจะได้เน้นการรักษาลูกค้าได้ด้วย จะต่างจากโปรเจกต์ของที่อื่นที่ทำเทอมเดียว หรือทำปีเดียว ก็ล้มเลิกไป แบบนั้นก็เท่ากับทิ้งลูกค้า ซึ่งตรงนี้พี่เอาไปคุยให้ใครฟัง ก็มีแต่คนบอกว่า ในประเทศไทยมีแบบนี้ด้วยเหรอ ทำได้จริง ๆ เหรอ? อ่ะ 
 
         House Project มีทั้งหมดเกือบ ๆ 10 บ้านค่ะ แต่ละบ้านก็จะสร้างแบรนด์ที่ไม่เหมือนกัน และต่างประเภทกัน มีบ้านที่รับจัดอีเว้นท์ บ้านที่ทำ content creator บ้านที่สร้างแบรนด์บราวนี่แครกเกอร์ บ้านที่สร้างแบรนด์กราโนล่า บ้านที่สร้างแบรนด์เครื่องสำอางเป็นเซรั่มแต้มสิว แต่บ้านที่พี่เลือกคือ บ้าน Ethelbert อ่านว่า เอธ-เทล-เบิร์ท ค่ะ บ้านนี้มีสินค้ามังคุดฟรีซดราย ทุเรียนทอด และผักอบกรอบ เป็นบ้านที่ครองตำแหน่งชนะเลิศในการประกวดผลงานบ้านประจำปีมาหลายปีติดต่อกันค่ะ แต่ว่าเราไม่ได้เลือกเข้าบ้านนี้เพราะคะแนนดีหรอกนะ เราเห็นว่าเป็นบ้านที่ทำอะไรจริงจัง ถ้าเราได้อยู่บ้านนี้จะได้โอกาสทำนู่นทำนี่เยอะเลย น่าจะดีกับตัวเรานะ ซึ่งเราคิดว่าคิดถูกอีกแล้ว 
 
       เราใช้เวลาปีแรกไปกับการเรียนรู้วัฒนธรรมการทำงาน และได้รับการเลือกให้เป็น CEO บ้านตั้งแต่ยังอยู่ปี 2 ซึ่งนับว่าเร็วมาก ๆ แต่นั่นก็ทำให้เราได้รับประสบการณ์มามากมาย ทั้งเรื่องการวางแผนให้ธุรกิจเติบโต การรับมือกับวิกฤต เช่น ตอนที่ล็อกดาวน์ปิดประเทศ ยอดขายมังคุดฟรีซดรายตกฮวบเลย เพราะลูกค้าหลักเราเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน แต่ว่ารายได้ของธุรกิจโดยรวมไม่กระเทือนมาก เพราะว่าก่อนหน้านั้น พี่กับทีมได้พัฒนาธุรกิจเอาไว้หลายอย่าง เรียกว่ากระจายความเสี่ยงธุรกิจ ทำให้บ้าน Ethelbert เป็นบ้านที่มีช่องทางรายได้หลายทางค่ะ และทำให้เราเหมือนลอยอยู่เหนือวิกฤตโควิดไปเลย
           เราชอบโครงการ House Project ตรงที่ว่าพวกเราแต่ละคนสามารถแยกย้ายไปทำในสิ่งที่ตัวเองสนใจ หรือถนัดได้เลย เพราะในธุรกิจมีหลายบทบาทหน้าที่ การตลาด การเงิน ทำกราฟฟิก ตัดคลิป ทำ content creator หรือจัดเทรนนิ่งพัฒนาคนในบ้าน นักศึกษาสาขานี้ไม่มีวัฒนธรรมรอคอยให้มหาลัยมาจัดสัมมนาให้ค่ะ แต่ว่าเวลาพวกเราอยากรู้เรื่องอะไร เราก็จัดสัมมนาเองเลย เชิญวิทยากรเอง แบบนี้หัวข้อก็โดนใจกว่า และไม่น่าเบื่อ
 
            นี่เป็นตัวอย่างผลิตภัณฑ์ของบ้านเอธเทลเบิร์ทที่เราอยู่ค่ะ จะเห็นได้ว่าจริงจังมาก ถุงสกรีนข้าง เป็นฟู้ดเกรด ปลอดภัย อัดลมไนโตรเจนไม่ให้มีอ็อกซิเจนเข้าไป ช่วยทำให้มังคุดไม่เสื่อมสภาพง่ายค่ะ มีฉลากโภชนาการ มี อย. และสินค้าคุณภาพดีมาก พิถีพิถันทุกกระบวนการสรรหาเลยค่ะ บรรจุภัณฑ์พวกนี้ดูดีกว่า โครงการธุรกิจจำลองทั่ว ๆ ไปใช่มั้ยล่ะคะ แล้วคนมักเข้าใจผิดว่าต้นทุนสูงกว่า ซึ่งตรงนี้ถ้าไม่ได้มาทำเองจะไม่รู้เลยว่า ยิ่งแพคเก็จจิ้งสวย ต้นทุนต่อหน่วยยิ่งถูก และนั่นทำให้กำไรต่อชิ้นเพิ่มด้วย เมื่อเวลาเดินผ่านไปไม่กี่ปี ทำให้เรารู้ว่าประสบการณ์ธุรกิจอะไรแบบนี้มันเหมือนเป็นขั้นบันไดพาเราไปพบบันไดขั้นอื่นค่ะ ถ้าไม่ได้ลงมือทำ ก็คงไม่เจอโอกาส
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
---------------------------------------
ตอนที่เราจะขึ้นปี 2
 
       ช่วงนั้นอาจารย์เขาเปิดรับสมัครนักศึกษาทำค่าย Cross Culture Program ซึ่งเล่าสั้น ๆ ก็คือค่ายที่เราทำไปทาร์เก็ตตลาดนักศึกษาญี่ปุ่นให้เขาสนใจมาศึกษาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับนักศึกษาของสาขาเราค่ะ เป็นค่าย 2 สัปดาห์ที่สนุกมาก เพราะนอกจากจะได้เรียนรู้วัฒนธรรมไทย-ญี่ปุ่นในคลาสแล้ว เรายังได้ออกไปทำกิจกรรมนอกห้องเรียนมากมายเลย สมกับสโลแกนลับ "เรียนได้อย่าให้กระทบกิจกรรม" จริง ๆ ค่ะ
 
ซึ่งกิจกรรมยาวเหยียดมาก ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมดินเนอร์ครูซล่องแม่น้ำเจ้าพระยา 555 มื้อค่ำใต้แสงเทียนไปอีก พาเพื่อนญี่ปุ่นไปวัดพระแก้ว วัดโพธิ์ ช้อปปิ้งจตุจักร ขี่ช้างอยุธยา นอกจากนี้ยังมีฟรีเดย์ที่พากันยกแก๊งไปเที่ยวสวนน้ำ ramayana ที่พัทยา แถมดูโชว์  KAAN SHOW เป็นธุรกิจบันเทิงของเครือสิงห์ คอร์เปอเรชั่นด้วย ไม่รู้สึกเหมือนเป็นสต๊าฟค่ายเลย รู้สึกเหมือนได้มาเที่ยวกับเพื่อนจริง ๆ ซึ่งทุก ๆ คนน่ารักมาก มาจากทั่วประเทศญี่ปุ่นเลย นอกเวลาเรียนก็พากันไปเดินตลาดรถไฟบ้าง เดิน MBK เดินสยามสแควร์บ้าง วันสุดท้ายที่ทุกคนจะต้องแยกย้ายกลับบ้าน คือร้องไห้ระงมกันเลย ตั้งแต่ที่มหาลัย จนถึงที่สนามบิน อันนี้น่าจะเป็นกิจกรรมที่ประทับใจมากที่สุดแล้วค่ะ ไปดูรูปความทรงจำกันสักนิดสักหน่อยนะคะ
  
เราว่าใครที่ชอบกิจกรรม และเชื่อว่าประสบการณ์ หรือการรู้จักมิตรภาพกับเพื่อนต่างชาติเป็นสิ่งที่หาไม่ได้จากตำราเรียนจะต้องถูกใจกับแนวการเรียนการสอนของสาขา IB ที่ TNI ไทย-ญี่ปุ่น เป็นสาขาเดียวของ ม.ไทย-ญี่ปุ่นที่จะได้มีโอกาสทำอะไรมากมายอย่างนี้ แต่ว่านั่นก็ยังไม่หมดค่ะ 555 กิจกรรมเยอะเหนือจินตนาการค่ะ
[ มีต่อที่คอมเมนต์นะคะ ]
ชื่อสินค้า:   สาขาการจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ สถาบันเทคโนโลยีไทย-ญี่ปุ่น
คะแนน:     

CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้

  • - จ่ายเงินซื้อเอง หรือได้รับจากคนรู้จักที่ไม่ใช่เจ้าของสินค้า เช่น เพื่อนซื้อให้
  • - ไม่ได้รับค่าจ้างและผลประโยชน์ใดๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่