หลังจากที่ผมซื้อ สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า มาใช้ได้สัปดาห์กว่า ๆ ก็สะดวกสบาย และประหยัดเงินค่าเดินทางประจำวันอย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งก็มีการเล่าให้ครอบครัว พ่อ แม่ และพี่สาว ฟัง ว่าใช้งานแล้วเป็นยังไง จนทางครอบครัว มาสนใจลองขี่บ้าง
จนแม่เอ่ยปากบอกว่า ก็ดีนะสะดวกดี ทุ่นแรงได้เยอะ และประหยัดด้วย
...แต่ แม่ ก็ เปรยว่า ถ้ามันเป็นจักรยานก็คงดี น่าจะปลอดภัยกว่านี้ เพราะสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า คนแก่แล้วคงไม่สะดวก
ผมก็นึกถึงตอน ผมลังเลตัดสินใจซื้อ ระหว่าง สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า กับ จักรยานไฟฟ้า ก็เลยตัดสินใจ พาแม่ ไปดูจักรยาน
ที่ร้านที่ซื้อมาเลย เพราะตัว EM1 ที่ซื้อมารีวิวไปก่อนหน้านี้ ก็คุณภาพดี ใจก็แอบอยากได้อีกคันเหมือนกัน
พอให้แม่ และพี่สาว ลองแล้ว เค้าก็ชอบ ไม่ต้องดูเมนู กดปุ่มอะไรมากมาย ใช้งานง่าย พ่อก็ชอบตรงที่ มันพับเก็บได้
เอาใส่ท้ายรถไปปั่นออกกำลังกาย ตามที่ต่างๆ หรือเวลาไปเที่ยวได้ ป้ายยา แม่ และ พ่อ เรียบร้อย
ได้กลับมาบ้าน 1 คัน ในราคา 17,900 บาท แพงกว่า ตัวสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าแค่ 1,000 บาท เท่านั้น ผมก็เลยเอามารีวิว
ไว้เป็นข้อมูลสำหรับคนที่ สนใจหาข้อมูล ประกอบการตัดสินใจนะครับ
- ขนาดรถโดยรวม 1285 x 565 x 1070
- น้ำหนักประมาณ 19 กก.
- กำลังมอเตอร์ไฟฟ้า : 250 วัตต์
- น้ำหนักบรรทุกสูงสุด : 120 กก.
- ชนิดแบตเตอรี่ : Lithium-ion/ลิเธียม
- ขนาดแบตเตอรี่ : 36V 5.2AH - เวลาชาร์จ : 4-6 ชั่วโมง
- อายุแบตเตอรี่ : 1000 Charging Cycle/รอบชาร์จ
- ความเร็วสูงสุด : 25 กิโลเมตร/ชั่วโมง
- ระยะทางสูงสุด : 40 กม. (ขึ้นอยู่กับการขับขี่)
- วงล้อ : 16 นิ้ว
- เบรค : ดรัมเบรค
- จอแสดงผล : จอ LCD โชว์ระดับความเร็ว/สถานะแบตเตอรี่/ไมล์แต่ละทริป
โดยภาพรวมก็จะเหมือนกับจักรยาน โดยทั่ว ๆ ไปเลย
จะมีความพิเศษอยู่ที่ จะมีแบตเตอร์รรี่ อยู่ด้านหลังใต้เบาะนั่ง
ซึ่งใช้งานเข้าใจได้ง่าย คือ
มีปุ่มบนสุดกดเพื่อดูสถานะ ของแบตเตอรี่
ปุ่มกลาง คือ ปุ่ม Power ให้ทำการกดค้าง ประมาณ 3 วินาที เพื่อเปิด-ปิด แบตเตอร์รี่
ส่วนล่างสุด จะเป็นที่เสียบไฟ อะแดปเตอร์ เพื่อชาร์จไฟ
และที่ชอบที่สุดก็คือ ในส่วนของแบตเตอรรี่ก็ มีกุญแจล็อค ไม่ให้ใครแอบมาถอดแบตเตอรี่ออกไปได้
และก็สามารถถอดแบตเตอรี่ แยกออกมาชาร์จได้ด้วย
และในส่วนของเบาะนั่งนั้น แม่และพี่สาว ถูกใจมากคือ
มันมีแบบโช๊คสปริง เพื่อซับแรงกระแทกเวลาเจอพื้นขรุขระด้วย
และตัวแกนเบาะก็สามารถปรับขึ้นลงได้ตามความสูงของคนขับ
ในส่วนของท้ายรถ ก็มีตัวสะท้อนแสง ให้ที่บังโคลนด้านหลัง และซ้ายขวา
การใช้งานก็สบาย ๆ ถูกใจคนไม่ชอบจำเมนู หรือกดอะไรมากมาย หลังจากเปิดไฟที่แบตเตอรี่แล้ว
ก็กดปุ่มสีแดง ที่แฮนด์ฝั่งขวา เพื่อเปิด-ปิด ระบบการทำงาน จอก็จะแสดงผลสถานะแบตเตอรี่คงเหลือ
ในส่วนของแฮนด์ฝั่งซ้าย ก็จะมีปุ่มแตร เสียงน่ารัก ๆ และปุ่มเปิดปิดไฟหน้า
ซึ่งไฟหน้าก็สว่างพอดี และ สามารถปรับระดับการส่องสว่างได้ด้วย
แค่นี้ครับในการใช้งานหลัก ๆ ของปุ่มต่าง ๆ ในรถ
ส่วนของระบบเบรกก็จะมีในแฮนด์ทั้งสองข้าง โดยจะเป็นระบบดรัมบรก เข้าใจง่าย ๆ ก็คือเบรกมือทั่ว ๆ ไปของจักรยานนั้นเอง
และแฮนด์ก็จะสามารถดึงปรับได้ง่าย ๆ เหมาะกับบ้านที่มีหลายคน สามารถปรับตอนที่แต่ละคนขี่เอาตามที่ถนัด
ความพิเศษที่เป็นตัวไฮไลต์ในการตัดสินใจซื้ออีกจุดของ ครอบครัวผมคือ ตัวรถเองจะสามารถพับได้
ซึ่งเริ่มจากการดึงปลดล็อคตรงคอด้านหน้า ให้พับลงมา จากนั้น ก็ดึงปลดล็อค ตรงตัวแกนกลางเพื่อจะพับเข้าหากัน
จะใส่ไว้หลังรถ หรือจะเดินทางไปกับรถไฟฟ้า ก็ได้เลย เพราะเข้าอนุญาตให้จักรยานที่พับได้ ขึ้นรถไฟฟ้าได้
(ถ้าพับไม่ได้ ก็ขึ้นได้เฉพาะเวลาที่เค้ากำหนด)
ตัวรถเองก็มีแกนสามารถตั้งได้แม้จะพับแล้วก็ตาม ดีงามเลย
มาถึงในส่วนของการขับขี่ เอาแค่เรื่องปั่นด้วยเท้าธรรมดาก่อนนะครับ ได้ฟิลแบบ ตัวเราเองไปได้พลังวิเศษมาเลยครับ
คือ ปั่นแบบไม่ต้องออกแรงอะไรมาก ระบบไฟฟ้า ก็ช่วยพลังส่งกำลังให้มันวิ่งฉิว แบบมีพลังวิเศษเลย
เรียกได้ว่าปั่นด้วยเท้าก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรเลย ได้ฟิวถึงความพุ่งได้ดีเลย
…แต่ถ้าไม่อยากปั่น ก็สามารถบิดที่แฮนด์ขวา ตรงบริเวณ นิ้วโป้งและนิ้วชี้ รถก็พุ่งตัวไปข้างหน้าแบบสบาย ๆ ไม่ต้องปั่นล่ะ
ซึ่งแม้แบตเตอรี่จะหมดกลางทาง เราก็ยังสามารถที่จะปั่นต่อได้ แต่ก็อาจจะหนักหน่อยเท่านั้นเอง
โดยรวมถือว่า แฮปปี้กันทั้งครอบครัว เพราะใช้งานกันได้ทั้งครอบครัว และประหยัด ไม่ต้องเสียค่าน้ำมัน ค่าภาษีประจำปี หรือ พรบ.
แบบรถมอเตอร์ไซค์ ส่วนผมเองวันไหนขี้เกียจยืนกับสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ก็เอามาปั่นขึ้นรถไฟฟ้าไปทำงานได้ และคงเป็นอีก 1 ไอเทม
ที่เวลาไปเที่ยวทะเล ภูเขา ไปตจว. ก็คงต้องพกใส่รถไปทุก ๆ ครั้งแน่นอน
หวังว่าจะเป็นข้อมูลให้กับท่านอื่น ๆ ในการประกอบการตัดสินใจ ไม่มากก็น้อยนะครับ
ขอบคุณครับ
[CR] จากสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ของตัวเอง มาถึงจักรยานไฟฟ้า ของครอบครัว
ซึ่งก็มีการเล่าให้ครอบครัว พ่อ แม่ และพี่สาว ฟัง ว่าใช้งานแล้วเป็นยังไง จนทางครอบครัว มาสนใจลองขี่บ้าง
จนแม่เอ่ยปากบอกว่า ก็ดีนะสะดวกดี ทุ่นแรงได้เยอะ และประหยัดด้วย
...แต่ แม่ ก็ เปรยว่า ถ้ามันเป็นจักรยานก็คงดี น่าจะปลอดภัยกว่านี้ เพราะสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า คนแก่แล้วคงไม่สะดวก
ผมก็นึกถึงตอน ผมลังเลตัดสินใจซื้อ ระหว่าง สกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า กับ จักรยานไฟฟ้า ก็เลยตัดสินใจ พาแม่ ไปดูจักรยาน
ที่ร้านที่ซื้อมาเลย เพราะตัว EM1 ที่ซื้อมารีวิวไปก่อนหน้านี้ ก็คุณภาพดี ใจก็แอบอยากได้อีกคันเหมือนกัน
พอให้แม่ และพี่สาว ลองแล้ว เค้าก็ชอบ ไม่ต้องดูเมนู กดปุ่มอะไรมากมาย ใช้งานง่าย พ่อก็ชอบตรงที่ มันพับเก็บได้
เอาใส่ท้ายรถไปปั่นออกกำลังกาย ตามที่ต่างๆ หรือเวลาไปเที่ยวได้ ป้ายยา แม่ และ พ่อ เรียบร้อย
ได้กลับมาบ้าน 1 คัน ในราคา 17,900 บาท แพงกว่า ตัวสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้าแค่ 1,000 บาท เท่านั้น ผมก็เลยเอามารีวิว
ไว้เป็นข้อมูลสำหรับคนที่ สนใจหาข้อมูล ประกอบการตัดสินใจนะครับ
- ขนาดรถโดยรวม 1285 x 565 x 1070
- น้ำหนักประมาณ 19 กก.
- กำลังมอเตอร์ไฟฟ้า : 250 วัตต์
- น้ำหนักบรรทุกสูงสุด : 120 กก.
- ชนิดแบตเตอรี่ : Lithium-ion/ลิเธียม
- ขนาดแบตเตอรี่ : 36V 5.2AH - เวลาชาร์จ : 4-6 ชั่วโมง
- อายุแบตเตอรี่ : 1000 Charging Cycle/รอบชาร์จ
- ความเร็วสูงสุด : 25 กิโลเมตร/ชั่วโมง
- ระยะทางสูงสุด : 40 กม. (ขึ้นอยู่กับการขับขี่)
- วงล้อ : 16 นิ้ว
- เบรค : ดรัมเบรค
- จอแสดงผล : จอ LCD โชว์ระดับความเร็ว/สถานะแบตเตอรี่/ไมล์แต่ละทริป
โดยภาพรวมก็จะเหมือนกับจักรยาน โดยทั่ว ๆ ไปเลย
จะมีความพิเศษอยู่ที่ จะมีแบตเตอร์รรี่ อยู่ด้านหลังใต้เบาะนั่ง
มีปุ่มบนสุดกดเพื่อดูสถานะ ของแบตเตอรี่
ปุ่มกลาง คือ ปุ่ม Power ให้ทำการกดค้าง ประมาณ 3 วินาที เพื่อเปิด-ปิด แบตเตอร์รี่
ส่วนล่างสุด จะเป็นที่เสียบไฟ อะแดปเตอร์ เพื่อชาร์จไฟ
และก็สามารถถอดแบตเตอรี่ แยกออกมาชาร์จได้ด้วย
มันมีแบบโช๊คสปริง เพื่อซับแรงกระแทกเวลาเจอพื้นขรุขระด้วย
และตัวแกนเบาะก็สามารถปรับขึ้นลงได้ตามความสูงของคนขับ
ก็กดปุ่มสีแดง ที่แฮนด์ฝั่งขวา เพื่อเปิด-ปิด ระบบการทำงาน จอก็จะแสดงผลสถานะแบตเตอรี่คงเหลือ
ซึ่งไฟหน้าก็สว่างพอดี และ สามารถปรับระดับการส่องสว่างได้ด้วย
ส่วนของระบบเบรกก็จะมีในแฮนด์ทั้งสองข้าง โดยจะเป็นระบบดรัมบรก เข้าใจง่าย ๆ ก็คือเบรกมือทั่ว ๆ ไปของจักรยานนั้นเอง
และแฮนด์ก็จะสามารถดึงปรับได้ง่าย ๆ เหมาะกับบ้านที่มีหลายคน สามารถปรับตอนที่แต่ละคนขี่เอาตามที่ถนัด
ซึ่งเริ่มจากการดึงปลดล็อคตรงคอด้านหน้า ให้พับลงมา จากนั้น ก็ดึงปลดล็อค ตรงตัวแกนกลางเพื่อจะพับเข้าหากัน
จะใส่ไว้หลังรถ หรือจะเดินทางไปกับรถไฟฟ้า ก็ได้เลย เพราะเข้าอนุญาตให้จักรยานที่พับได้ ขึ้นรถไฟฟ้าได้
(ถ้าพับไม่ได้ ก็ขึ้นได้เฉพาะเวลาที่เค้ากำหนด)
มาถึงในส่วนของการขับขี่ เอาแค่เรื่องปั่นด้วยเท้าธรรมดาก่อนนะครับ ได้ฟิลแบบ ตัวเราเองไปได้พลังวิเศษมาเลยครับ
คือ ปั่นแบบไม่ต้องออกแรงอะไรมาก ระบบไฟฟ้า ก็ช่วยพลังส่งกำลังให้มันวิ่งฉิว แบบมีพลังวิเศษเลย
เรียกได้ว่าปั่นด้วยเท้าก็ไม่ได้เหนื่อยอะไรเลย ได้ฟิวถึงความพุ่งได้ดีเลย
…แต่ถ้าไม่อยากปั่น ก็สามารถบิดที่แฮนด์ขวา ตรงบริเวณ นิ้วโป้งและนิ้วชี้ รถก็พุ่งตัวไปข้างหน้าแบบสบาย ๆ ไม่ต้องปั่นล่ะ
ซึ่งแม้แบตเตอรี่จะหมดกลางทาง เราก็ยังสามารถที่จะปั่นต่อได้ แต่ก็อาจจะหนักหน่อยเท่านั้นเอง
โดยรวมถือว่า แฮปปี้กันทั้งครอบครัว เพราะใช้งานกันได้ทั้งครอบครัว และประหยัด ไม่ต้องเสียค่าน้ำมัน ค่าภาษีประจำปี หรือ พรบ.
แบบรถมอเตอร์ไซค์ ส่วนผมเองวันไหนขี้เกียจยืนกับสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า ก็เอามาปั่นขึ้นรถไฟฟ้าไปทำงานได้ และคงเป็นอีก 1 ไอเทม
ที่เวลาไปเที่ยวทะเล ภูเขา ไปตจว. ก็คงต้องพกใส่รถไปทุก ๆ ครั้งแน่นอน
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้