"ทฤษฎีหมูกรอบ"

ช่วงสาร์ทจีน นอกจาก ขนมเทียน ขนมเข่ง ผลไม้ เครื่องใน ปลาหรือ กุ้งและไก่
ของไหว้อีกหนึ่งอย่างที่มักต้องมีให้ครบ เป็นชุดไหว้ โหงวแซ คือ เนื้อหมู

หลังจากไหว้เทพเจ้าเสร็จ และธูปหมดดอก
กายหยาบของของไหว้ ก็เป็นเหมือนของขวัญที่เทพประทานให้กับมนุษย์

แต่ของที่เทพท่านประทานลงมา มักจะมากเกินกว่าความจำเป็นมนุษย์ในแต่ละครอบครับเสมอ
จะเกินมามาก หรือเกินมาน้อย ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่าง

แต่เราก็พอจะสามารถแบ่งปัจจัยที่เกี่ยวข้องได้ออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

1. ปัจจัยผันแปร - ก็ได้แก่ สภาวะเศรษฐกิจ ณ ขณะนั้น
เช่นในตอนนั้น น้ำมันแพงไหม ทองจะขึ้นราคาอีกหรือเปล่า  ตลาดหุ้นคึกคักไหม เมื่อไหร่โมเดอร์น่าจะเข้า
หรือลุงตู่ จะอยู่ถึงเมื่อไหร่ ?

สิ่งเหล่านี้ พูดง่ายก็ขึ้นอยู่กับเงินในกระเป๋าของแต่ละท่าน มีมาก ย่อมไหว้มาก และ กายหยาบของของไหว้ก็จะดูละเอียดมากยิ่งขึ้น

2. ปัจจัยไม่แปรผัน - เช่น ฐานะ หน้าตา และเกียรติยศของเจ้าของบ้าน
สิ่งเหล่านี้ เปรียบเสมือน Fix Cost ในการลงทุน ที่ยังไง ก็ต้องจ่ายเท่านี้
และไม่สามารถลดต่ำลงกว่านี้ได้ เนื่องจาก มันเป็นเครื่องส่งเสริมบารมี
และดำรงค์ไว้ ซึ่งหน้าตา ของเจ้าของบ้าน

ต่อให้ไห้เศรษฐกิจจะแย่แค่ไหน โควิดยังคงระบาด ของไหว้ก็ไม่สามารถลดปริมาณและคุณภาพได้มากกว่านี้
มิเช่นนั้น จะกระทบกระเทือนถึงบารมีที่สั่งสมมา

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ยังไงของไหว้ย่อมมีเหลือรับประทาน อย่างแน่นอน
กระบวนการจัดการ ของที่ฟ้าประทานมาให้ จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง

ดังนั้นเราจึงควรทำการบริหารจัดการให้ดี มิเช่นนั้นจะเกิดสภาวะขาดแคลนพื้นที่ว่างในตู้เย็น
ซึ่งนำไปสู่สภาวะกับข้าวซ้ำซากในที่สุด และจะกระทบกระเทือนถึงสภาวะอยากอาหารได้

ตัวอย่าง ของการบริหารจัดการ ของฟ้าประทาน ประทาน นั้นมีหลากหลายวิธี

เช่น การแจกจ่ายให้บริวาร และญาติมิตร

แต่วิธีนี้มักมีประสิทธิภาพต่ำ
เนื่องจากมักมีมีการชิงตัดหน้า โดยการเอาของไหว้มาฝากเราก่อน
เพราะเราไหว้ เขาก็ไหว้ ใครไหว้ก่อนได้เปรรียบ

ดังนั้นจากวิกฤตของไหว้ที่เกิดขึ้น มันบีบบังคับให้
อาหารเกิดวิวัฒนาการ ตามทฤษฎี ของชาล์ ดาร์วิน

ที่กล่าวไว้ว่า

"วิกฤติทำให้เกิดการวิวัฒนาการ ผู้ที่อยู่รอดคือผู้เหมาะสมที่สุด"

ตัวอย่างของการวิวัฒนาการของของไหว้ เช่น
นำมามาแปรรูป

ขนมเข่ง ก็จะวิวัฒนาการ เป็นขนมเข่งชุบไข่ทอด ไก่ต้ม วิวัฒนาการ เป็นข้าวมันไก่ หรือ ไก่รวนเค็ม
ปลาก็อาจกลายวิวัฒฯเป็นปลาต้มซีอิ้ว หรือ นึ่งซีอิ๊ว
แต่นั้นมันก็ต้องเรียกว่ากระบวนการวิวัฒนาการขั้นต้น

จากทฤษฎีของผม

สุดยอดวิวัฒนาการของอาหารไหว้ คือหมูกรอบ !!!


หมูกรอบ นั้น แท้จริงแล้ว วิวัฒนาการ มาจาก

"หมูสามชั้นต้ม" ในฤดูการไหว้ ทั้งตรุษจีน และปีใหม่

หมูต้ม....แม้จะบูดเสียยากเมื่อเทียบกับ ของไหว้อื่นๆ แต่ ด้วยข้อดีของหมูต้มนั้นแหละ มันจึงถูกละเลย
ของที่ไหว้ที่เสียง่าย มันถูกบริโภคก่อน อาทิ กุ้ง ปลา เป็ดหรือไก่

หลังจากของไหว้เหล่านี้นี้ถูกจัดการ ความสามารถในการบริโภคย่อมลดลง
หมูสามชั้นต้มซึ่งจืดชืดมักจะเหลือมากมาย !!

อยู่เมืองไทยก็อาจจะดีหน่อย ตรงที่เรามีน้ำจิ้มซีฟู๊ด สุดยอดน้ำจิ้มของโลกที่เอาไปจิ้มกับอะไรก็อร่อย
แต่ในประเทศที่ไม่มีน้ำจิ้มนั้นเล่า จะทำเยี่ยงไร

พะโล้หรือ น้องเป็ดก็จองไว้แล้ว!!
นั้นแหละฮะ ++

การกำเนิดของหมูกรอบจึงเริ่มจากจุดจุดนี้
หมูสามชั้นต้ม ที่ถูกเก็บไว้ จะถูกทาเกลือที่หนัง (อาจมีการใส่เครื่องเทศได้ ตามแต่รสนิยม)
และนำไปตากแดด เพื่อรีดน้ำออกมาให้มากที่สุด หรือ จะเอาไปแช่เย็นทิ้งไว้ก็ได้ เราก็จะได้หมูต้มที่ถูกรีดน้ำออกมาเช่นเดียวกัน

แต่ห้ามแช่แข็งนะครับ มิเช่นนั้น น้ำในหมูจะถูกฟรีชเก็บไว้ในเซลล์และไม่สามารถระเหยออกมาได้
ขั้นตอนนี้ เราจะได้เนื้อหมูที่มีรสชาติเข้มข้นขึ้น คล้ายกับเนื้อวัวที่ผ่านกระบวนการดายเอจ (Dry Age)

เพื่อสร้างสภาวะที่ ไม่เหมาะสม ต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย (บางครั้งน้ำส้มสายชูก็ถูกใส่ลงไป ด้วยเหตุผลนี้เช่นเดียวกัน)
หลังจากนั้น จึงทำการทอดหมูที่ตากเอาไว้ ด้วยไฟอ่อน น้ำมันมากหรือน้อยก็ได้

เนื่องจากการใช้ไฟอ่อน จะช่วยรีดไขมันที่อยู่ในหมูสามชั้นออกมาได้อีกทางหนึ่ง
และเกิดน้ำมันหมูเป็น By Product ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากระยะเวลาในการบ่มของหมูกรอบ ไม่ยาวนานเท่ากระบวนกายดรายเอจของเนื้อวัว
ทำให้ยังคงมีน้ำแทรกอยู่ในเซลล์ของหมูต้มอยู่มาก

การดึงน้ำออกจากหมูต้มหนังที่อุดมไปด้วยคอลลาเจนผสมเจลาติน อาจทำให้เกิดการระเบิดได้ตลอดเวลา

ดังนั้นจึงควรปิดฝาระหว่างทอด และหลังจากทอดเสร็จผึ่งไว้ ให้สะเด็ดน้ำมัน

เราก็จะได้หมูกรอบ!!!

ซึ่งเก็บไว้ได้นาน เป็นอาทิตย์ โดยเฉพาะหากเก็บไว้ในตู้เย็น

ความจริงแล้ว แม้หมูสามชั้นต้ม จะวิวัฒนาการ เป็น หมูรวนเค็ม หรือ หมูหวาน ก็สามารถทำได้

แต่นั้น มันไม่ใช่ร่างเทพ ของหมูสามชั้นต้ม
เพราะ หมูรวนเค็ม หมูหวาน จะสิ้นสุดสายวิวัฒนาการ เพียงเท่านั้น
และอายุการจัดเก็บยังค่อนข้างสั้น

แต่หมูกรอบ ร่างมหาเทพ ของหมูสามชั้นต้ม ยังสามารถวิวัฒน์ ได้ต่อ
ไม่ว่าจะเป็นพื้นๆ อย่างข้าวหมูกรอบ !!  ผัดคะน้าหมูกรอบ !! ยำหมูกรอบ !! !
หรือจะเป็น ผัดกระเพราจะหมูกรอบ !!

ที่ความนิยมในตอนนี้น่าจะสูงสุดในห่วงโซ่ของผัดกะเพรา แม้จะเป็นกะเพราที่มาที่หลัง 

(อ้างอิงจากกระทู้จากกระทู้พันทิป https://ppantip.com/topic/40122800)     

         

จากข้อมูลทั้งหมด คุณจะเห็นได้ว่า วิกฤติของไหว้ นั้นมีอยู่จริง

แต่ในวิกฤต ย่อมทำให้เกิดโอกาส และมีการสร้างสรรค์ เพื่อการดำรงค์อยู่
แล้วคุณละ!! จะเผชิญหน้ากับวิกฤติของไหว้ในเทศกาลสาร์ทจีนนี้อย่างไร??

จงอภิปราย!!
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่