แยงกี้พระนายกอง : ทหารเอกมะริกันของฟิเดล คาสโตร ตอนที่ 1

ตอนที่ 1 : บิลลี่บอยจอมขบถ



​ในหน้าประวัติศาสตร์โลกมีการจารึกถึงวีรบุรุษที่เป็นชาวต่างชาติแต่มาร่วมสู้รบกับชาติอื่นๆ ช่วยเหลือคนในชาตินั้นขับไล่ศัตรู หรือกอบกู้อิสรภาพ อาทิเช่น ลอว์เรนซ์แห่งอาระเบียที่เป็นชาวอังกฤษช่วยซาอุดิอาระเบียในการรบกับออตโตมาน นายพันซูซูกิ เคอิจิ ผู้ก่อตั้งขบวนการกู้ชาติแห่งพม่าที่เป็นนายทหารชาวญี่ปุ่นผู้ร่วมสู้รบกับกองทัพอังกฤษเจ้าอาณานิคม เป็นต้น แต่เชื่อว่าน้อยคงจะรู้ว่า ในการปฏิวัติคิวบาในปลายทศวรรษที่ 1950 ที่นอกจากเช เกบารา หรือเชกูวาร่า คุณหมอชาวอาร์เจนติน่าที่เรารู้จักว่าเป็นชาวต่างชาติที่ร่วมกับคณะปฏิวัติที่นำโดยฟิเดล คาสโตรแล้ว ยังมีชาวอเมริกันอีกจำนวน 12 คนที่มาร่วมรบกับฝ่ายปฏิวัติ ซึ่งมีอยู่คนหนึ่งที่โดดเด่นเป็นพิเศษจนทำให้ได้รับการอวยยศเป็นแม่ทัพนายกอง ซึ่งชาวคิวบาล้วนเรียกเขาว่า แยงกี้คอมมันดันเต้ หรือแยงกี้พระนายกองนั่นเอง เดี๋ยวเราค่อยๆมาติดตามเรื่องราวของเขาพร้อมกันเลยครับ



​ในคืนเงียบสงัดวันหนึ่งในเดือนมีนาคม 1961 มีชายชาวต่างชาติหรือทีเรียกกันว่า กริงโก้ เขาถูกพาตัวออกจากเรือนจำที่ค่ายทหารลา คาบาน่า อากาศวันนั้นปลอดโปร่ง เสียงลมทะเลพัดผ่าน วิลเลี่ยม อเล็กซานเดอร์ มอร์แกน คือชื่อของเขา ครั้งหนึ่งเขาเคยได้รับสมญานามว่า แยงกี้พระนายกอง หรือ แม่ทัพแยงกี้ มาบัดนี้เขากำลังจะถูกยิงเป้า เบื้องหลังของเขายังมีรอยเลือดสดๆ ที่ยังไม่ทันจางหายดีจากเพื่อนที่ถูกยิงเป้าไปก่อนหน้านั้น แม่ทัพแยงกี้เอ่ยปากกับเพชฌฆาตว่าขอคุยกับฟิเดล คาสโตร ที่ในวันนั้นฟิเดลก็มาดูการประหารด้วย ฟิเดล ผู้นำคิวบาคนนี้แหละที่วิลเลี่ยมเชื่อว่าเขายังคงเป็นเพื่อนแท้ แต่แล้วคำขอก็ถูกปฏิเสธลง แล้วการดำเนินการประหารก็ดำเนินการต่อไป “ระวัง....” เสียงออกจากผู้ควบคุมการประหาร จากนั้นตามด้วยเสียง “เปรี้ยง!!!! เปรี้ยง!!!! เปรี้ยง!!!!!” เสียงดังลั่นออกจากปลายกระบอกปืน บ่งบอกถึงการเสร็จสิ้นของพิธีการ แล้วผู้คนก็แยกย้ายกันออกไป และนี่คือจุดจบที่เป็นจุดเริ่มต้นของเรา เดี๋ยวเรามาค่อยๆเรียนรู้กันไปว่า ทำไมเรื่องถึงเป็นเช่นนี้กันครับ และก่อนที่เราจะไปถึงตรงนั้น เรามาที่จุดเริ่มต้นของเขากันก่อนนะครับ


 
​วิลเลี่ยม อเล็กซานเดอร์ มอร์แกน เกิดในครอบครัวอเมริกันฐานะปานกลางที่ คลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกา ในวัยเด็กมอร์แกนเป็นคนซุกซนกระตือรือร้น แต่เป็นเด็กที่ค่อนข้างหัวดี แม่ของเขาเล่าให้ฟังว่า “บิลลี่ (ชื่อเล่นของเขาที่พ่อแม่เรียก) แกเป็นเด็กเอเนจี้สูงปรี๊ด แกชอบอยู่ในจินตนาการ ชอบสมมติสิ่งต่างๆ รอบตัวเป็นเหมือนฉากในนิยายปรัมปราที่แกชอบอ่านโดยเฉพาะคิงอาร์เธอร์และอัศวินโต๊ะกลม บางครั้งแกก็เล่นเกินเลย ถึงขั้นจะกระโดดออกจากชั้นบนของบ้านโดยทำร่มชูชีพเอง แหม่...อิชั้นนี่หัวใจจะวาย ต้องรีบขึ้นไปห้ามแก ไม่งั้นแกโดดลงมาแน่ๆ” ลอเร็ตต้าแม่ของเขาเล่าถึงความหลังครั้งเยาว์วัย เมื่อเขาเข้าสู่ช่วงวัยหนุ่ม ฮอร์โมนก็พลุ่งพล่าน บิลลี่บอยก็เริ่มก่อปัญหาตามปกติของวัยรุ่น ไม่ว่าจะเป็นหนีออกจากบ้าน โดดเรียน ขโมยรถพ่อออกไปขับแล้วฝ่าไฟแดงจนโดนตำรวจจับ แล้วโดนส่งเข้าสถานพินิจ แต่แล้วก็แหกค่ายมันออกมาซะเลย เท่านั้นไม่พอ แล้วเขาก็หนีไปอยู่กับคณะละครสัตว์จนพ่อต้องไปตามตัวกลับบ้าน


 
​ต่อมาเมื่อบิลลี่อายุได้ 15 ก็มาถึงจุดสูงสุดที่เด็กเกจะทำได้ นั่นคือออกจากโรงเรียนมันซะเลย แล้วหนีออกไปใช้ชีวิตข้างนอก เขาออกไปทำงานเป็นเสมียนที่ร้านชำ ไปเป็นคนงานขนถ่านหิน ไปทำงานที่ฟาร์มปศุสัตว์ ไปเป็นเด็กเก็บตั๋วในโรงหนัง จนสุดท้ายก็ไปเป็นชาวประมงมันซะเลย อเล็กซานเดอร์พ่อของเขาถึงกับส่ายหัวแล้วบอกกับเขาว่า “ไอ้หนูพ่อยอมเอ็งแล้ว ถ้าเอ็งอยากจะผจญภัยนัก ก็เชิญเอ็งเลย ตามที่เอ็งสบายใจ เอาให้เต็มที่เลยนะ แต่ถ้าเอ็งอยากกลับบ้านเมื่อไหร่ ขอให้รู้เอาไว้ ว่าที่แห่งนี้ คือบ้านของเอ็งเสมอ” แต่แล้วเขาก็เริ่มเข้าสู่วงการสีดำ โดยการไปคบเพื่อนที่เกี่ยวข้องกับมาเฟียที่มีหน้าที่ในการลักลอบขายปืนเถื่อน แม่ของบิลลี่ก็บ่นในภายหลังว่า “บิลลี่บอยนี่ก่อเรื่องให้อิชั้นไม่หยุดไม่หย่อนเลย ตั้งกะอยู่ในท้องแล้ว คุณเห็นมั้ย หัวอิชั้นหงอกไปหมดแล้วเนี่ย”


 
​บิลลี่ใฝ่ฝันเสมอว่าอยากจะไปรบในสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาสมัครไปหลายหนแต่กองทัพก็ไม่รับ จนสงครามจบได้หนึ่งปี เขาก็ได้เป็นทหารสมใจในวัย 18 ปี โดยบิลลี่จะต้องไปประจำที่ญี่ปุ่น แน่นอนด้วยวัยเพียงเท่านี้ เขาก็ร้องห่มร้องไห้ฟูมฟายเพราะความกลัว ซึ่งมันทำให้ดูย้อนแย้งกับความแข็งกร้าวที่เขาเคยแสดงให้ที่บ้านเห็น แต่เมื่อตัดสินใจไปแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อไป บิลลี่ต้องไปฝึกที่แคลิฟอเนียร์ เมื่อเขาไปถึงที่นั่นแล้ว เขาก็ได้ทำให้ที่บ้านช็อคอีกครั้งเมื่อเขาโทรเลขถึงที่บ้านว่า “แม่จ๋า หนูมาถึงแล้วนะ ฝึกเสร็จแล้วเดี๋ยวจะไปประจำที่ญี่ปุ่น แต่ก่อนไปหนูจะบอกข่าวดีกับแม่สักหน่อย หนูแต่งงานแล้วนะ เธอสวยมากเลย เรารู้จักกันเมื่อวันก่อน หนูบอกได้เลย คนนี้แหละใช่เลย” 



หญิงสาวรักแรกของเขาคนนี้เธอชื่อ ดาร์ลีน เอ็ดเกอร์ตัน บิลลี่พบเธอบนรถไฟ เธอเล่าถึงความหลัง "ชั้นยังจำภาพนั้นได้เลย มันอยู่ในความทรงจำของชั้น บิลลี่เขาสูงและหล่อมากเลย ยิ่งใส่เครื่องแบบนะ ยิ่งน่าดึงดูดมาก หัวใจชั้นแทบหยุดเต้นไปเลยทีเดียว" ดาร์ลีนในขณะนั้นกำลังกลับบ้านที่รีโน เธอกะว่าจะหาผู้ชายดีๆสักคนเพื่อแต่งงาน แล้วก็เหมือนดั่งสวรรค์ประทานเมื่อเธอมาเจอกับบิลลี่ ซึ่งทั้งคู่ก็ใช้เวลาทำความรู้จักกันเพียงหนึ่งวัน แล้วก็ใช้ชีวิตด้วยกันที่โรงแรมสองวัน แล้วจึงจูงมือกันแต่งงาน หลังจากนั้นเมื่อเขาไปประจำการที่ญี่ปุ่นได้เพียงปีครึ่ง ทั้งคู่ก็เลิกรากัน เมื่อเธอไปคบคนใหม่ แม่ของบิลลี่เล่าว่า “อิชั้นเชื่อว่าเขาคงเสียใจ แต่คุณเชื่อไหม พอเขาเจอคนใหม่ เดี๋ยวเขาก็ลืมเธอไปเอง”
 


​แล้วก็เป็นไปตามคาด เมื่อบิลลี่ไปอยู่ที่ญี่ปุ่นเขาไปติดเด็กดริ๊งค์ที่นั่น เธอเป็นคนสวยมาก เธอชื่อว่า เซ็ทสึโกะ ทาเคดะเป็นสาวลูกครึ่งเยอรมัน-ญี่ปุ่นจนเธอตั้งท้องลูกของเขา จนวันนึงขณะที่บิลลี่อยู่ในค่าย เขาก็ต้องแหกค่ายออกมาเพื่อมาหาเซ็ทสึโกะเพราะเธอกำลังจะคลอดลูก ซึ่งเขาก็ถูกสห.จับและขังในข้อหาหนีทหาร ในระหว่างที่ถูกขังอยู่นั้นเขาก็แหกคุกออกมาอีกครั้งและได้ทำร้ายผู้คุมโดยอ้างว่า เซ็ทสึโกะกำลังเดือดร้อนเพราะถูกรังแก ระหว่างที่กำลังไปหานั้นเธอ สห.ก็ได้ไปพบกับเซ็ทสึโกะ เธอก็ได้บอกกับ สห. ว่าบิลลี่จะต้องมาหาแน่ แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริง เมื่อเขามาถึง ซัทสึโกะก็ผวาเข้ากอดพร้อมทั้งน้ำตา จากนั้น สห. ก็กระโดดเข้าชาร์จจับตัวเขา แล้วส่งเข้าซังเตอีกครั้ง แล้วก็ถูกส่งตัวกลับไปขังที่อเมริกาต่อโดยโดนโทษไป 5 ปี ปิดฉากความรักในครั้งที่ 2 ของเขาไปโดยปริยาย
 


​บิลลี่ถูกปล่อยตัวก่อนกำหนดในอีก 2 ปีต่อมา เขาพยายามจะติดต่อกับเซ็ทสึโกะและลูกเพื่อกลับไปอยู่ด้วยกัน แต่ก็ติดต่อไม่ได้ ซึ่งเขาก็เศร้าได้ไม่นาน เมื่อเขาได้พบรักใหม่กับหมองูเจ้าเสน่ห์ที่ฟลอริด้า หลังจากที่ได้ไปทำงานในคณะละครสัตว์ จนทั้งคู่มีลูกหญิงชายด้วยกันอย่างละคน ในปี 1955 บิลลี่ก็เริ่มเดินทางสายมาเฟียอย่างสมบูรณ์เมื่อว่ากันว่าเขาไปทำงานให้กับ มายเยอร์ แลนสกี้ เจ้าพ่อมาเฟียชาวยิวผู้มีอิทธิพลที่เป็นเพื่อนซี้ของ ลัคกี้ ลูเชียโน่ เจ้าพ่อมาเฟียเชื้อสายอิตาเลียนผู้เป็นตำนาน เขาคอยเป็นมือไม้ให้กับ มายเยอร์ คอยเรียกเก็บค่าคุ้มครอง กรรโชกทรัพย์ ข่มขู่และทวงหนี้ แต่เขาก็ไม่ได้มีความสุขกับสิ่งที่ทำ “ชั้นว่าชั้นรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่าว่ะพวก” เขาเคยบอกความรู้สึกในใจกับเพื่อนร่วมแก๊งครั้งหนึ่ง


 
​แล้ววันหนึ่งในปี 1957 ไฟความหวังของบิลลี่ก็ถูกจุดประกายขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเขาได้อ่านข่าวเกี่ยวกับหัวหน้ากบฎในคิวบา ฟิเดล คาสโตร ที่เขาเคยรับรู้มาว่าตายไปแล้วจากการปล่อยข่าวของรัฐบาลคิวบา “เขายังไม่ตาย ฟิเดลยังไม่ตาย” บิลลี่รำพึงภายในใจ จากนั้นเขาก็เอ่ยกับเพื่อนของเขา "ชั้นจะไปคิวบาว่ะเพื่อน ชั้นอยากจะเป็นคนมีตัวตนอยากจะทำอะไรสักอย่างที่ไม่ใช่คนไร้ตัวตนอย่างนี้" จากนั้นเขาก็อาสากับทางแก๊งว่าจะเอาอาวุธไปส่งให้กบฏที่คิวบาเอง เนื่องจากตอนนั้นลมในคิวบากำลังเริ่มเปลี่ยนทิศ บรรดาเหล่ามาเฟียก็เริ่มเปลี่ยนข้างจากรัฐบาลเผ็ดกลางมาเป็นฝ่ายกบฎแทน เพื่อหวังว่าเมื่อปฏิวัติสำเร็จ พวกคณะปฏิวัติจะอนุญาตให้ตนเปิดบ่อนและไนต์คลับต่อ ซึ่งคิวบาในยุคนั้น ธุรกิจบ่อนคาสิโน และไนต์คลับ รวมไปถึงโรงแรมล้วนเป็นของนักลงทุนชาวอเมริกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะพวกมาเฟียและนี่คือจุดเริ่มต้นของเขา ก่อนที่จะไปสานต่อความฝันที่คิวบา

เรื่องราวของเขาจะเป็นเช่นไรต่อไป โปรดรับชมในตอนที่ 2 : กำเนิดแยงกี้พระนายกอง
https://ppantip.com/topic/40963887/desktop
หากใครอยากตืดตามเรื่องราวของคนอื่นๆเพิ่มเติม เชิญรับชมได้ที่เพจ Someone in History : ใครสักคนในประวัติศาสตร์ได้เลยนะครับ
https://www.facebook.com/someoneinhistory/

Cr : https://www.newyorker.com/magazine/2012/05/28/the-yankee-comandante
       https://en.m.wikipedia.org/wiki/William_Alexander_Morgan
       https://www.buzzfeednews.com/article/mikesallah/adam-driver-yankee-comandante-william-morgan-cuba
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่