JJNY : 4in1 เตือนไทย-อินโดฯ เสี่ยงรอบใหม่│หอค้าจี้หาBoosterให้ปชช.│‘ธงทอง’ชี้ปรากฎการณ์ใหม่│คนไทยขาดความมั่นคงทางการเงิน

เตือน 'ไทย-อินโดฯ' ผ่อนมาตรการคุมโควิด เสี่ยงติดเชื้อพุ่งสูงรอบใหม่
https://www.thebangkokinsight.com/news/world-news/covid-19-world-news/701629/
 
ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขเตือน ยอดผู้ติดเชื้อโควิดในไทย และอินโดนีเซีย อาจกลับมาพุ่งขึ้นสูงได้อีกครั้ง จากการเริ่มผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ เนื่องจากอัตราการฉีดวัคซีนยังอยู่ในระดับต่ำ
 
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า ในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลายเป็นศูนย์กลางการระบาดของเชื้อไวรัสโควิดกลายพันธุ์ สายพันธุ์เดลตา สวนทางกับสถานการณ์เมื่อปีที่แล้ว ที่มีการควบคุมการระบาดได้ดีกว่าภูมิภาคอื่น ๆ
 
แม้พื้นที่ส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้ ยังคงมียอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง แต่ไทย และอินโดนีเซีย  2 ชาติที่อยู่ในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจใหญ่สุดในภูมิภาค  ได้เริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุม และป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รวมถึง การอนุญาตให้นั่งรับประทานอาหารในร้าน และห้างสรรพสินค้า เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบด้านเศรษฐกิจ
 
เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (31 ส.ค.) อินโดนีเซีย มียอดผู้ติดเชื้อใหม่ 10,534 คน ซึ่งเป็นจำนวนต่ำกว่ายอดผู้ติดเชื้อช่วงกลางเดือนกรกฎาคมถึง 5 เท่า ในขณะที่ไทยมียอดผู้ติดเชื้อใหม่ 14,802 คนเมื่อวานนี้ (1 ก.ย.) ซึ่งเป็นจำนวนที่ต่ำกว่าช่วงที่มียอดผู้ติดเชื้อสูงสุด เมื่อกลางเดือนสิงหาคมถึง 37%
 
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า การผ่อนคลายมาตรการดังกล่าว มาพร้อมกับความเสี่ยง เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศ มีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ และการตรวจหาเชื้อโควิดที่ยังไม่ทั่วถึง โดยมีอัตราของผู้ที่ตรวจพบเชื้อ สูงกว่าอัตราที่องค์การอนามัยโลก (WHO) แนะนำ เพียง 5% โดpอินโดนีเซีย มีอัตราผู้ตรวจพบเชื้อไวรัสที่ 12% และไทยอยู่ที่ 34%
 
นายอภิเชค ริมาล ผู้ประสานงานฉุกเฉินภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก ของสหพันธ์สภากาชาด และสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ กล่าวว่า ทางองค์กรกังวลถึงการผ่อนคลายมาตรการ ทั้งที่สถานการณ์ของทั้ง 2 ประเทศยังไม่เข้าเงื่อนไขตามที่ WHO แนะนำ โดยเฉพาะเมื่อมีการระบาดของไวรัสโควิดกลายพันธุ์ สายพันธุ์เดลตา ที่แพร่เชื้อติดต่อกันได้ง่าย และอัตราการฉีดวัคซีนยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งอาจทำให้ไวรัสโควิด-19 กลับมาระบาดหนักอีกได้
 
ทั้งนี้ อินโดนีเซียมีผู้ติดเชื้อแล้วทั้งสิ้นกว่า 4 ล้านคนและมีผู้เสียชีวิตกว่า 133,000 คน นับตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของไวรัส ในขณะที่ไทยมีผู้ติดเชื้อกว่า 1.2 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิต 11,841 คน
 
ไทย และอินโดนีเซีย มีอัตราผู้ฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 อยู่ราว 30% ในขณะที่อินโดนีเซีย มีอัตราผู้ที่ฉีดวัคซีนครบแล้ว 17%  ส่วนของไทยอยู่ที่ 11%  โดยกรุงจาการ์ตาและกรุงเทพมหานคร  มีอัตราการฉีดวัคซีนที่สูงกว่าภูมิภาคอื่นๆ ในประเทศมาก
 
ภายใต้การผ่อนคลายครั้งล่าสุดนี้ ร้านอาหารตามห้างสรรพสินค้า ในกรุงจาการ์ตา เมืองหลวงของอินโดนีเซีย และพื้นที่อื่น ๆ บนเกาะชวา ที่มีผู้อยู่อาศัยหนาแน่น สามารถเปิดให้ลูกค้านั่งรับประทานอาหารในร้านได้ 50%  ส่วนห้างสรรพสินค้า เปิดทำการได้ถึงเวลา 21.00 น. ในขณะที่โรงงาน เปิดทำการได้เต็มที่ 100%
 
ส่วนที่ กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของไทย และอีก 28 จังหวัด ที่มีการะบาดของเชื้อไวรัสโควิดอย่างรุนแรง 28 จังหวัดนั้น ร้านอาหารสามารถเปิดให้ลูกค้านั่งรับประทานอาหารในร้านได้ราว 50-75% โดยที่ร้านอาหาร และห้างสรรพสินค้า สามารถเปิดทำการได้ถึงเวลา 20.00 น.
 
นายเดล ฟิชเชอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดอาวุโส จากโรงพยาบาลแห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์ (National University Hospital) ระบุว่า แม้การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่การเร่งฉีดวัคซีนประชาชน ก็เป็นเรื่องที่ต้องทำเช่นเดียวกัน

ที่มา : VOA
 


หอการค้า จี้ รัฐบาลจัดหาวัคซีน Booster ให้ปชช. ชี้ คนรับวัคซีนช่วงต้นปีภูมิเริ่มลด
https://www.innnews.co.th/news/economy/news_181224/

หอการค้า จี้ รัฐบาลจัดหาวัคซีน Booster ให้ปชช. ชี้ คนรับวัคซีนช่วงต้นปีภูมิเริ่มลด ขณะ 25ศูนย์ฉีดพร้อมบริการต่อ
 
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการ หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า โครงการไทยร่วมใจได้ฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชนไปแล้วมากกว่า 1.4 ล้านโดส และในเวลานี้ศูนย์บริการฉีดวัคซีนต่างๆ ทั้ง 25 ศูนย์ กำลังอยู่ระหว่างฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ให้กับประชาชนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ โดยหอการค้าไทยต้องการให้รัฐบาลเร่งรัดจัดหาวัคซีนเพิ่มเติมเพื่อฉีดเป็น Booster ให้กับประชาชนที่ได้ฉีดวัคซีนไปตั้งแต่ช่วงต้นปีเพราะมีความเสี่ยงที่ภูมิจะเริ่มน้อยลง โดยศูนย์ฉีดวัคซีนของหอการค้าไทยทั้ง 25 ศูนย์ ยังยินดีที่จะบริการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนกลุ่มนี้อย่างต่อเนื่อง
 
อย่างไรก็ตามปัจจุบันสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น มาตรการควบคุมโรคบางส่วนในเดือนกันยายนเริ่มผ่อนคลายแล้ว ซึ่งภาคเอกชนเห็นด้วยกับภาครัฐที่เริ่มผ่อนคลายในธุรกิจมากขึ้นและมองว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจจะดีขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะในช่วงสิ้นปี หากสามารถเปิดเมืองเปิดการท่องเที่ยวได้จะยิ่งช่วยกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยได้มากขึ้น


 
‘ธงทอง’ ชี้ ปรากฎการณ์ใหม่ ศึกซักฟอก ขรก.ช่วยแก้ต่างแทน รมต.
https://ch3plus.com/news/program/255963
 
“อ.ธงทอง” วิจารณ์ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐมนตรีให้ข้าราชการแก้ต่างแทน เป็นปรากฎการณ์ใหม่นอกขนบ ตั้งคำถาม หรือคิดคำตอบไม่ได้?
 
ศาสตราจารย์พิเศษ ธงทอง จันทรางศุ อดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และอดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก  Tongthong Chandransu หลังเห็นรัฐมนตรีบางรายให้ข้าราชการประจำออกมาชี้แจงข้อโต้แย้ง กรณีถูกฝ่ายค้านกล่าวหาในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ พร้อมเผยว่า นี่ถือเป็นปรากฎการณ์ใหม่นอกขนบ
 
โดย อ.ธงทอง ระบุว่า 
  
“การให้ข้าราชการประจำมาช่วยตอบคำถามแก้ต่างให้รัฐมนตรีสำหรับประเด็นที่เกิดขึ้นในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาผู้แทนราษฎร เป็นปรากฎการณ์ใหม่นอกขนบ และมีประเด็นให้ขบคิดหลายอย่าง เช่น ลำพังรัฐมนตรีไม่มีเครดิตมากพอที่จะทำให้คนเชื่อถือหรืออย่างไร”
 
“จึงต้องให้ฝ่ายประจำมาช่วยอธิบายนอกเวทีที่เป็นทางการ หรืออาจจะคิดไปไกลถึงขนาดว่า รัฐมนตรีคิดไม่ออกว่าจะตอบอย่างไร จึงต้องหาไพร่พลมาช่วยอธิบาย เรื่องเป็นเช่นนั้นหรือ”
   
https://www.facebook.com/nha.chandransu/posts/10220515396267477
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่