เรื่องสั้นต่อไปนี้ เป็นเรื่อง
ที่ผมไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลย เพราะอย่างแรกคือ
เป็นเรื่องที่ไม่ดีของผมเอง
แต่...ความลับไม่มีในโลก
หรอกครับ ถึงวันหนึ่งเราเอง
นี่แหละที่อยากเปิดเผย
อยากบอกใคร ว่าเราเองก็ไม่ได้ดีหรือวิเศษ ยังคงมีเรื่องที่น่าอายๆเก็บไว้ใน
มุมหนึ่งของชีวิตเช่นกัน
เอาละ...ถึงเวลาเปิดเผย
แล้วครับ
เรื่องที่1.
ตอนนั้น ผมเรียนอยู่ป.3แล้ว
ระยะทางจากบ้านถึงร.ร.
ก็ประมาณ3-4กิโลได้
นักเรียนส่วนใหญ่จะเดินไป
ร.ร. กันครับ ผมก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย
สองข้างทางก็จะเป็นป่าอ้อย,ป่ามัน และท้องนา
สลับกับบ้านหลังเล็กหลังน้อยเป็นระยะ
จนมีอยู่ช่วงหนึ่ง เป็นสวนแตงโม ซึ่งพวกผมตื่นเต้นกันมาก(เพราะไม่เคยเห็น
มาก่อน สมัยนั้นยังปลูกแบบ
ธรรมดาอยู่เลย แต่ก็มีการ
ใช้สายยางรดน้ำครับ)
เช้ามาพวกเราก็จะไปเล็ง
สวนนี้(ตอนเดินผ่าน)ตลอด
จนถึงเวลาผลิดอกออกผล
เด็กๆก็ยังเล็งกันอยู่😆
อยากกินแหละ แต่กลัวเจ้า
ของเพราะเขามาเฝ้าทุกวัน
จนในที่สุดเขาก็ขาย จนเหลือแค่แตงก้นไร่(แต่ก็ยังมีอยู่มากและลูกโตๆ ก็มี
😹)หลังจากเล็งมานานแสนนาน(หลายเดือนอยู่นะ55)
วันหนึ่งเด็กชายเจ็ดกะเพื่อน
ก็ตัดสินใจขโมย
ใช่แล้วครับ ผมถูกใช้ให้ดูต้นทาง(เค้าปลูกเพิงพักไว้กลางไร่) ส่วนเพื่อนอีก2คน
ก็ไปหาเก็บลูกสวยๆกะกันไว้คนละ2ลูก(นิสัยๆ)
เพื่อนก็ดีดๆหาๆ ผมก็นั่งจ้องยืนจ้องที่พักกลางไร่ กำลัง
เพลินๆ เจ้าของก็เผอิญโผล่
พรวดออกมาจากป่าอ้อยอีก
ฟาก โห...ชีวิต
อย่าว่าแต่จะหนีเลย แค่ขยับตัวก็ยังไม่ทันด้วยซ้ำ
แล้วขโมยวัยจิ๋วทั้ง3ก็ถูกจับได้อย่างละมุนละม่อม
หลังจากถูกซักฟอกและสั่งสอนกันพอสังเขปแล้ว
สามขโมยก็ถูกแจกแตงโมไปคนละ1กระสอบปุ๋ย
และวันนั้นนอกจากผมจะ
เป็นขโมยแล้ว ผมยังกลายเป็นคนโกหกด้วย(เพราะไม่กล้าเล่าความจริงถึงที่มาของแตงโมหลังเกือบหักถุงนั้น)เห็นไหมครับ แค่อยากกินเท่านั้นเองผิดศีลไป2ข้อ
แถมยังต้องเก็บเป็นความลับ เพราะกลัวถูกลงโทษอีก ถึงทุกวันนี้ที่บ้านผม
ก็ยังไม่รู้เรื่องนี้เลย😅
แต่ถ้าถามว่าเข็ดไหม
สุดจะเข็ดเลยละครับ
โธ่...ทำผิดปั๊บถูกจับได้ปุ๊บ
ไม่เข็ดก็หนังหนาเต็มทีละ
เรื่องที่2.
เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนปี2556
มีอยู่วันหนึ่ง ผมทะเลาะกับ
แม่(เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต) ขอไม่ลงรายละเอียดว่าเรื่องอะไรนะครับ แต่ที่แน่ๆคือ ต่างคนต่างแรงใส่กันเลยละ
และแม่ก็ด่าว่า ผมเป็นตัว
*วรนุช *.ตั้งแต่เกิดมาทั้งแม่และพ่อไม่เคยด่าลูกๆเลยครับ ถ้าทำผิดก็มีถูกตีแต่
ไม่เคยด่า วันนั้นผมโกรธแม่มาก โกรธชนิดไม่มองหน้าไม่คุยด้วย ไม่สนใจอยู่
1อาทิตย์เต็มๆเลยครับ
จริงๆก็อยากจะเลิกโกรธ
แต่ใจมันไม่ยอมไง
มันเสียใจ มันน้อยใจ มัน
ผิดหวัง มันเคือง 😂
ผมโกรธขนาด วันอาทิตย์
ไม่ยอมกินข้าวที่บ้านเลยละ(จ.-ส.ทำงานนอกบ้าน
ก็ไปหากินเอาข้างหน้า)
อาทิตย์ก็กินขนมปัง,นม,มาม่า ไม่ยอมแตะอาหารของแม่ แต่ก็กลับบ้านทุกวันนะ
ครับ ดูผมเป็นสิ น้อยซะที่ไหน แต่บอกตรงๆเลย
ว่า ช่วงเวลานั้นผมไม่เคยมี
ความสุขเลย ผมอยากลืม
แล้วก็กลับมาดีกับแม่
แต่พอถามตัวเองว่าเราผิดอะไร แล้วสมควรไหมกับคำ
นั้น สมองก็สั่งให้โกรธต่อ😹
จนวันนั้น .ผมเลิกงานกลับมาถึงบ้าน ก็อาบน้ำเตรียม
จะนอน ก็ได้ยินเสียงทีวี
ปกติพอแม่เข้านอนแกก็จะปิดและทุกวันแกจะรอผม
กลับจากทำงานถึงจะเข้านอน แต่ตั้งแต่ทะเลาะกัน
แกก็ไม่อยู่รอ ดังนั้นเมื่อกลับมาถึงทุกคนก็จะหลับ
หมดแล้ว
แต่วันนี้ผิดปกติ ผมก็เลย
ไปชโงกหน้าดู เห็นแม่หลับให้ทีวีดูแทนไปแล้ว
แต่สาระสำคัญไม่ได้อยู่ตรงนี้ครับ รายการในทีวีต่างหากที่ทำให้ผมหยุดดู
คุณวิทวัสกับรายการตีสิบ
ของเขา ผู้ชายที่เขานำเสนอชื่อ คุณไพรัตน์ เขายอมทิ้งรายได้เป็นแสนบาท
ต่อเดือนเพื่อ มาดูแลแม่ซึ่งเป็นผู้ป่วยติดเตียง เขาทำทุกอย่างที่อภิชาตบุตรควร
กระทำ แม้กระทั่งอาบน้ำ
ป้อนข้าว เช็ดสิ่งปฏิกูล
และคำพูดบางคำของเขา
มันแทงใจดำผม
ทำให้หันมามองตัวเอง
เขา.. แม่ป่วย ช่วยตัวเองไม่ได้ แต่เขาก็ดูแลอย่างดีไม่มี ขาดตกบกพร่อง
แต่ผม.. แม่ไม่ได้เจ็บป่วย
ช่วยตัวเองได้ทุกอย่าง
แค่ผมโกรธ ผมก็กลับไม่สน
ใจใยดี แล้วแบบนี้ถ้าวันหนึ่งแม่ผมเจ็บป่วยอย่างเขา แม่ผมจะได้ใครดูแล
เพราะมีลูกก็..มิจฉาทิฏฐิ
ขนาดนี้
คืนนั้นถึงผมไม่ได้ปลุกแม่เข้าห้องนอน แต่ผมก็ไปเอาผ้าห่มมาคลุมให้
และเช้าวันรุ่งขึ้น ผมก็ไปง้อแม่จนเราคืนดีกันเหมือนเดิมในที่สุด
ดูสิครับ แค่คำ คำเดียวโกรธจนจะเป็นจะตาย
พระคุณของแม่ที่รินรดทั้งหัวทั้งใจตัวเองอยู่ทุกวัน
ก็มองเห็นแต่กลับคิดไม่ได้
ต้องให้ลูกคนอื่นกับแม่คนอื่นมาสอนถึงจะได้คิด
ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้
ผมก็ไม่เคยโกรธแม่อีกเลย
ครับ และเราก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กันอีก
เรื่องสั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่อง
ที่ใครคนนั้นของผมไม่ได้อ่านอย่างแท้จริง
เพราะใครคนนั้นไม่เล่นโซเชียล
แต่ถึงได้อ่าน ก็คงไม่เป็นอะไรหรอกครับ เพราะผมสำนึกผิดแล้ว
เรื่องสั้นที่ ....ไม่เคยมีใครได้อ่าน
ที่ผมไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลย เพราะอย่างแรกคือ
เป็นเรื่องที่ไม่ดีของผมเอง
แต่...ความลับไม่มีในโลก
หรอกครับ ถึงวันหนึ่งเราเอง
นี่แหละที่อยากเปิดเผย
อยากบอกใคร ว่าเราเองก็ไม่ได้ดีหรือวิเศษ ยังคงมีเรื่องที่น่าอายๆเก็บไว้ใน
มุมหนึ่งของชีวิตเช่นกัน
เอาละ...ถึงเวลาเปิดเผย
แล้วครับ
เรื่องที่1.
ตอนนั้น ผมเรียนอยู่ป.3แล้ว
ระยะทางจากบ้านถึงร.ร.
ก็ประมาณ3-4กิโลได้
นักเรียนส่วนใหญ่จะเดินไป
ร.ร. กันครับ ผมก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย
สองข้างทางก็จะเป็นป่าอ้อย,ป่ามัน และท้องนา
สลับกับบ้านหลังเล็กหลังน้อยเป็นระยะ
จนมีอยู่ช่วงหนึ่ง เป็นสวนแตงโม ซึ่งพวกผมตื่นเต้นกันมาก(เพราะไม่เคยเห็น
มาก่อน สมัยนั้นยังปลูกแบบ
ธรรมดาอยู่เลย แต่ก็มีการ
ใช้สายยางรดน้ำครับ)
เช้ามาพวกเราก็จะไปเล็ง
สวนนี้(ตอนเดินผ่าน)ตลอด
จนถึงเวลาผลิดอกออกผล
เด็กๆก็ยังเล็งกันอยู่😆
อยากกินแหละ แต่กลัวเจ้า
ของเพราะเขามาเฝ้าทุกวัน
จนในที่สุดเขาก็ขาย จนเหลือแค่แตงก้นไร่(แต่ก็ยังมีอยู่มากและลูกโตๆ ก็มี
😹)หลังจากเล็งมานานแสนนาน(หลายเดือนอยู่นะ55)
วันหนึ่งเด็กชายเจ็ดกะเพื่อน
ก็ตัดสินใจขโมย
ใช่แล้วครับ ผมถูกใช้ให้ดูต้นทาง(เค้าปลูกเพิงพักไว้กลางไร่) ส่วนเพื่อนอีก2คน
ก็ไปหาเก็บลูกสวยๆกะกันไว้คนละ2ลูก(นิสัยๆ)
เพื่อนก็ดีดๆหาๆ ผมก็นั่งจ้องยืนจ้องที่พักกลางไร่ กำลัง
เพลินๆ เจ้าของก็เผอิญโผล่
พรวดออกมาจากป่าอ้อยอีก
ฟาก โห...ชีวิต
อย่าว่าแต่จะหนีเลย แค่ขยับตัวก็ยังไม่ทันด้วยซ้ำ
แล้วขโมยวัยจิ๋วทั้ง3ก็ถูกจับได้อย่างละมุนละม่อม
หลังจากถูกซักฟอกและสั่งสอนกันพอสังเขปแล้ว
สามขโมยก็ถูกแจกแตงโมไปคนละ1กระสอบปุ๋ย
และวันนั้นนอกจากผมจะ
เป็นขโมยแล้ว ผมยังกลายเป็นคนโกหกด้วย(เพราะไม่กล้าเล่าความจริงถึงที่มาของแตงโมหลังเกือบหักถุงนั้น)เห็นไหมครับ แค่อยากกินเท่านั้นเองผิดศีลไป2ข้อ
แถมยังต้องเก็บเป็นความลับ เพราะกลัวถูกลงโทษอีก ถึงทุกวันนี้ที่บ้านผม
ก็ยังไม่รู้เรื่องนี้เลย😅
แต่ถ้าถามว่าเข็ดไหม
สุดจะเข็ดเลยละครับ
โธ่...ทำผิดปั๊บถูกจับได้ปุ๊บ
ไม่เข็ดก็หนังหนาเต็มทีละ
เรื่องที่2.
เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนปี2556
มีอยู่วันหนึ่ง ผมทะเลาะกับ
แม่(เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต) ขอไม่ลงรายละเอียดว่าเรื่องอะไรนะครับ แต่ที่แน่ๆคือ ต่างคนต่างแรงใส่กันเลยละ
และแม่ก็ด่าว่า ผมเป็นตัว
*วรนุช *.ตั้งแต่เกิดมาทั้งแม่และพ่อไม่เคยด่าลูกๆเลยครับ ถ้าทำผิดก็มีถูกตีแต่
ไม่เคยด่า วันนั้นผมโกรธแม่มาก โกรธชนิดไม่มองหน้าไม่คุยด้วย ไม่สนใจอยู่
1อาทิตย์เต็มๆเลยครับ
จริงๆก็อยากจะเลิกโกรธ
แต่ใจมันไม่ยอมไง
มันเสียใจ มันน้อยใจ มัน
ผิดหวัง มันเคือง 😂
ผมโกรธขนาด วันอาทิตย์
ไม่ยอมกินข้าวที่บ้านเลยละ(จ.-ส.ทำงานนอกบ้าน
ก็ไปหากินเอาข้างหน้า)
อาทิตย์ก็กินขนมปัง,นม,มาม่า ไม่ยอมแตะอาหารของแม่ แต่ก็กลับบ้านทุกวันนะ
ครับ ดูผมเป็นสิ น้อยซะที่ไหน แต่บอกตรงๆเลย
ว่า ช่วงเวลานั้นผมไม่เคยมี
ความสุขเลย ผมอยากลืม
แล้วก็กลับมาดีกับแม่
แต่พอถามตัวเองว่าเราผิดอะไร แล้วสมควรไหมกับคำ
นั้น สมองก็สั่งให้โกรธต่อ😹
จนวันนั้น .ผมเลิกงานกลับมาถึงบ้าน ก็อาบน้ำเตรียม
จะนอน ก็ได้ยินเสียงทีวี
ปกติพอแม่เข้านอนแกก็จะปิดและทุกวันแกจะรอผม
กลับจากทำงานถึงจะเข้านอน แต่ตั้งแต่ทะเลาะกัน
แกก็ไม่อยู่รอ ดังนั้นเมื่อกลับมาถึงทุกคนก็จะหลับ
หมดแล้ว
แต่วันนี้ผิดปกติ ผมก็เลย
ไปชโงกหน้าดู เห็นแม่หลับให้ทีวีดูแทนไปแล้ว
แต่สาระสำคัญไม่ได้อยู่ตรงนี้ครับ รายการในทีวีต่างหากที่ทำให้ผมหยุดดู
คุณวิทวัสกับรายการตีสิบ
ของเขา ผู้ชายที่เขานำเสนอชื่อ คุณไพรัตน์ เขายอมทิ้งรายได้เป็นแสนบาท
ต่อเดือนเพื่อ มาดูแลแม่ซึ่งเป็นผู้ป่วยติดเตียง เขาทำทุกอย่างที่อภิชาตบุตรควร
กระทำ แม้กระทั่งอาบน้ำ
ป้อนข้าว เช็ดสิ่งปฏิกูล
และคำพูดบางคำของเขา
มันแทงใจดำผม
ทำให้หันมามองตัวเอง
เขา.. แม่ป่วย ช่วยตัวเองไม่ได้ แต่เขาก็ดูแลอย่างดีไม่มี ขาดตกบกพร่อง
แต่ผม.. แม่ไม่ได้เจ็บป่วย
ช่วยตัวเองได้ทุกอย่าง
แค่ผมโกรธ ผมก็กลับไม่สน
ใจใยดี แล้วแบบนี้ถ้าวันหนึ่งแม่ผมเจ็บป่วยอย่างเขา แม่ผมจะได้ใครดูแล
เพราะมีลูกก็..มิจฉาทิฏฐิ
ขนาดนี้
คืนนั้นถึงผมไม่ได้ปลุกแม่เข้าห้องนอน แต่ผมก็ไปเอาผ้าห่มมาคลุมให้
และเช้าวันรุ่งขึ้น ผมก็ไปง้อแม่จนเราคืนดีกันเหมือนเดิมในที่สุด
ดูสิครับ แค่คำ คำเดียวโกรธจนจะเป็นจะตาย
พระคุณของแม่ที่รินรดทั้งหัวทั้งใจตัวเองอยู่ทุกวัน
ก็มองเห็นแต่กลับคิดไม่ได้
ต้องให้ลูกคนอื่นกับแม่คนอื่นมาสอนถึงจะได้คิด
ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้
ผมก็ไม่เคยโกรธแม่อีกเลย
ครับ และเราก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้กันอีก
เรื่องสั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่อง
ที่ใครคนนั้นของผมไม่ได้อ่านอย่างแท้จริง
เพราะใครคนนั้นไม่เล่นโซเชียล
แต่ถึงได้อ่าน ก็คงไม่เป็นอะไรหรอกครับ เพราะผมสำนึกผิดแล้ว