มาแล้วครับ ตัวอย่างของเด็กรุ่นใหม่ ที่ยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างไม่ได้

ใครมีความเห็นไม่ตรงกันกัน จะต้องด่ามัน สะเหล่อบ้าง โง่ๆบ้าง

เมื่อไหร่พวกเค้าจะโตพอ ว่าอยู่ในสังคมประชาธิปไตย ทุกๆความเห็น มีค่าเท่ากัน ไม่ต้องพยายามแสดงออกว่า มีความเก่งหรือความฉลาดมาจากไหน

ส่วนคนที่ถาม หรือคนที่อ่าน เค้ามีความฉลาดมากพอ ที่จะใช้วิจารณาญาณของเค้าเอง ว่าจะเชื่อใคร เชื่อข้อมูลแบบไหน

ถ้าจำกันได้ ตอนสมัยเรียน ม.ปลาย ที่สอนโต้วาที พวกเราจะเอาข้อมูล ขึ้นมาแย้งกันในแต่ละมุมมอง โดยไม่พุ่งเป้าไปวิจารณ์ที่ตัวบุคคล แต่ให้หักล้างกันด้วยข้อมูล

แต่นั่นแหละ เด็ก ก็คือ เด็ก ต้องรอให้เวลาค่อยๆสอนให้เค้าโตขึ้น เค้าจะได้รู้จัก  คำเพิ่มอีกหลายๆคำ

ตัวเลขสถิติง่ายๆ

จำนวนคนที่ฉีดวัดซีนแล้ว 15%  จำนวนคนไม่ฉีดวัคซีน 85%

จำนวนคนที่ติดเชื้อจนป่วยหนัก หรือ เสียชีวิต เทียบกันระหว่าง คนที่ฉีดวัคซีน กับคนที่ไม่ฉีดวัคซีน  

ถ้าจำนวน เป็น 15% ต่อ 85%  ก็หมายความว่า สัดส่วนไม่ได้ต่างอะไร ฉีดวัคซีน ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
แต่ถ้าจำนวนคนที่ติดเชื้อจนป่วยหนัก หรือเสียชีวิต เป็น 1% ต่อ 99%  ตัวเลขส่วนต่าง 14% ที่ลดจำนวนคนป่วย คนตายลงไป มันมาจากไหน เพราะอะไร

คิดเลขง่ายๆ แล้วเอาตัวเลขนี้ ไปประเมินความเสี่ยงของชีวิตเอาเองครับ ว่าจะเชื่อข้อมูลชุดไหน
จะฉีด หรือไม่ฉีด สามารถเลือกได้ ว่าจะอยู่ใน 85% ที่ไม่ฉีด หรือจะอยู่ใน 14% ที่ลดลง ส่วน 1% ที่เหลือคือ โชคร้าย ที่ฉีดแล้วยังติดเชื้อแล้วอาการหนัก ยังป่วย ยังตายได้ ซึ่งก็มีให้เห็นได้ในทุกยี่ห้อของวัคซีน

การอ่านตัวเลขสถิติง่ายๆ
ไม่ได้จำเป็นจะอวยการเมืองอะไร เดินไปถามหมอ ที่เค้าแสดงตัวชัด ว่าไม่ได้เป็นฝั่งรัฐบาลก็ได้ เช่น อาจารย์หมอเรวัติ รองหัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย อยู่ฝ่ายค้าน ลองถามอาจารย์ท่านดู ว่า ด้วยสถานะการณ์แบบนี้ ควรจะฉีดวัคซีนเท่าที่มีอยู่ หรือไม่ฉีด รอวัคซีนที่เป็นวัคซีนดีๆ

ส่วนจะแสดงความเห็นเรื่องการบริหารวัคซีน ที่ผิดพลาด เอาเลยเต็มที่ เห็นด้วย และไม่มีความเห็นค้านอะไร