ชื่อเดียวเอี่ยวทุกเรื่อง”ขอบคุณ” (Furryjit)

“วารินทร์”  มองแก้วน้ำสุดรักของตนด้วยน้ำตาเอ่อคลอเบ้า เศษแก้วที่แตกกระจายเต็มโต๊ะ ก็เหมือนดั่งหัวใจของเด็กหญิงวัยแปดปีแตกเป็นเสี่ยงตามไปด้วย

“นฤณี”รีบปราดเข้ามากอดหลานสาวจากข้างหลังโดยสัญชาตญาณ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทำให้ผู้เป็นน้าชะงักงันไปอย่างตกตะลึงจนลืมคำพูด ถ้วยชามอาหารมื้อกลางวันที่สาวใช้เพิ่งยกขึ้นมาตั้งโต๊ะสำหรับเธอและหลานตัวน้อย อยู่ดีๆภาชนะเหล่านั้นก็เกิดแตกแยกส่วนจนกับข้าวที่บรรจุมากระเซ็นสายไปทั่ว

สาวใช้อ้าปากค้างมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าพรั่นพรึง แน่นอนว่าไม่มีใครจะไร้เหตุผลพอที่จะโยนความผิดไปให้เธอ เพราะต่างก็เห็นกันอยู่ตำตาว่า จานชามที่ใส่อาหารเกิดระเบิดขึ้นเองโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย

วารินทร์เพียงมุ่งความสนใจไปที่สิ่งที่เคยเรียกว่า”แก้วน้ำ” เท่านั้น เสียงของหนูน้อยสั่นเครือ

“แก้ว แก้วของแม่ มันแตกแล้ว” มีเสียงอึกอักในลำคอชั่วครู่ ในที่สุดเธอก็ปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมา

เสียงฟูมฟายของทายาทพี่สาวเธอผู้อาสัญไปแล้ว ทำให้นฤณีดึงสติของของผู้ต้องปกป้องดูแลกลับมา เธอรีบปลอบโยนเท่าที่จะสรรหาถ้อยคำได้ในตอนนั้น

“โถ รินทร์ อุบัติเหตุจ้ะลูก”

ระหว่างที่เด็กหญิงสะอื้นฮักๆ มีเสียงวื้ดร้องมาจากประตูห้องโถง

“ต๋าย อาหารซั้นอุตส่าห์ทำให้น้องรินทร์ ใครมาขว้างปากระจัดกระจายอย่างนี้”

นฤณีหันไปมองทางเจ้าของเสียงแหลมสูงปรื๊ด พลางลอบถอนหายใจอย่างเอือมระอา

“ไม่มีใครทำอะไรหรอกค่ะ จานชามมันเกิดแตกระเบิดขึ้นมาเอง ดิฉันเป็นพยานได้”

ดวงตากราดเกรี้ยวภายใต้ใบหน้าเครื่องสำอางฉาบหนามองมาอย่างเอาเรื่อง หากแต่นฤณีสวนสายตากลับไปอย่างไม่ลดลาวาศอกเช่นกัน ฝ่ายนั้นเหมือนจะฝืนกลืนน้ำลายฝืดๆลงคอก่อนลดเพดานเสียงลงเล็กน้อยแต่ก็ยังไว้เชิงอยู่

“ไม่มีใครทำอะไร จานใส่กับข้าวมันจะแตกเองได้ยังไง”

ก่อนที่หญิงสาวจะตอบโต้อะไรออกไป เสียงทุ้มๆของบุรุษผู้หนึ่งก็ปรามขึ้น

“เอาเถอะๆ พี่เชื่อว่าไม่มีใครทำอะไรหรอก อากาศมันคงร้อนพอเอาอาหารร้อนมาเทใส่จานมันก็เลยแตกอย่างที่เห็น” เขาพูดเหมือนให้เรื่องมันจบๆไปมากกว่าจะหาเหตุผลมาอธิบายอย่างจริงจัง ”  รินทร์หิวแล้วใช่ไหมลูก เดี๋ยวพ่อพาไปกินข้าวนอกบ้าน ไปด้วยกันนะณี”

“ค่ะ”นฤณีรับคำสั้นๆ เหลืยวไปเห็นภรรยาคนใหม่ของพี่เขยเม้มริมฝีปากแน่น 

“ใจคอจะไม่ชวนดาหรือค่ะ พี่พงศ์”

ชายร่างสูงใหญ่หันมามองดารานุช หญิงสาวที่เขาเพิ่งแต่งงานด้วยหลังจากโรคมะเร็งระยะสุดท้ายได้คร่าชีวิตภรรยาคนเก่าไป พงษ์ธรเดินมาโอบไหล่หล่อนอย่างเอาใจ

“โถ ดา พี่จะไปโดยไม่มีเธอได้ยังไง อ้าว รินทร์ร้องไห้ทำไม เป็นอะไรจ้ะลูก”

เด็กหญิงร่างน้อยโผเข้าหาบิดาที่ย่อตัวลงอ้าแขนรับ

“แก้วน้ำของแม่ มันแตกแล้วค่ะ” วารินทร์พูดพลางสะอึกสะอื้น พลางชี้มือ ผู้เป็นพ่อเหลือบมามองเศษแก้วใบนั้นแว่บหนึ่ง สายตาเขาแสดงให้เห็นว่าไม่ได้มีความอาลัยอาวรณ์ใดๆ แต่กระนั้นพงศ์ธรก็ยังมีความสงสารบุตรสาว

“อย่าไปเสียดายเลยลูก เดี๋ยวพ่อซื้อให้ใหม่ เอาให้เหมือนใบนี้เลย”

เด็กหญิงยิ้มทั้งน้ำตา ยื่นแขนให้บิดาเดินจูงออกไปจากห้องโถง ดารานุชมองค้อนตามด้วยความหมั่นใส้ แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นปั้นยิ้มพอพงษ์ธรหันหน้ามา

นฤณีถอนหายใจพลางส่ายหน้า ก่อนจะเดินตามออกไปหล่อนได้พูดกับสาวใช้

“ลำบากเธอแล้วล่ะน้อย เดี๋ยวฉันให้ลุงสุขมาช่วยเธอเก็บกวาด ขากลับจะซื้อข้าวมาฝากเธอด้วยเอ้า”

ก่อนเธอจะเดินพ้นไปจากห้อง หญิงสาวที่ชื่อน้อยก็ปลุกปลอบใจพูดออกมาด้วยเสียงสั่นๆ

“หลังจากรับอาหารจากคุณดามาวางบนโต๊ะ ดะดิฉัน หะ เห็นรูปภาพของคุณท่านมองมาที่โต๊ะอาหาร ทะท่านทำตาดุน่ากลัว เหมือนโกรธอะไรสักอย่าง น้อยไม่ได้ตาฝาดแน่ๆค่ะ”

นฤณีเย็นวาบตั้งแต่แผ่นหลังไล่ถึงต้นคอ หล่อนหันขวับไปมองรูปถ่ายในกรอบที่แขวนตรงผนังห้องอย่างลืมตัว เป็นรูปของพี่สาวเธอสมัยยังมีชีวิต!!!

ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์

นฤณีนั่งจิบน้ำชามองดูหลานสาวเล่นกับลูกๆเพื่อนบ้านที่สนามหญ้า หัวสมองเธอหนักอึ้งด้วยเรื่องเดียวที่เธอหมกมุ่นครุ่นคิดมาทั้งอาทิตย์

โทรศัพท์มือถือเธอสั่นแจ้งว่ามีสายเรียกเข้า ปลุกให้หญิงสาวตื่นจากภวังค์ความคิด พอเห็นชื่อคนโทรนฤณีก็ใจเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น

“ว่ายังไงนายหมอ เรื่องที่ฉันให้แกทำ”หล่อนกรอกเสียงไปหาต้นสายทันทีโดยไม่มีอารัมภบท

“อะไรกันยายณี” ผู้ที่โทรมาคือเภสัชกรหนุ่ม ซึ่งเคยเป็นเพื่อนมหาวิทยาลัยเดียวกับหญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเคืองๆ”จะไม่ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบฉันบ้างหรือไง”

“เออน่า ไว้ฉันจะเลี้ยงข้าวแกทีหลัง” นฤณีรีบตัดบท” บอกเรื่องที่ฉันอยากรู้มาก่อนเร็วๆ ฉันใจร้อน”

“โอเคๆ” ชายหนุ่มรับคำอย่างตัดรำคาญ “ถ้างั้นแกฟังให้ดีๆ ยายณี เศษอาหารที่แกเอามาให้ฉันได้ตรวจดูในห้องแล็บแล้ว เจอยาเบื่อหนูชนิดรุนแรงผสมอยู่20%หรือมากกว่านั้น อ้อ มีบางส่วนอยู่ในเศษแก้วน้ำที่แตกด้วย”

หญิงสาวรับฟังรายละเอียดที่เหลือด้วยใบหน้าที่ถอดสีเผือดขึ้นเรื่อยๆ หลังจากวางหู เธอก็พยายามสงบจิตสงบใจ มองไปที่หลานสาวกับบรรดาหนูน้อยเพื่อนบ้านวัยรุ่นราวคราวเดียวกัน ต่างวิ่งเล่นหัวร่อกันคิกคักตามประสาเด็ก

“สวัสดีครับคุณณี” ชายวัยกลางคนท่าทางอารมณ์ดีปรากฎตัวขึ้น และร้องทักหญิงสาวข้ามรั้วกั้นเตี้ยๆ เขาเป็นเจ้าของบ้านที่อยู่หลังติดกัน

“สวัสดีค่ะคุณธเนศ” นฤณีทักตอบ หล่อนยิ้มให้กับเพื่อนบ้านซึ่งเป็นบิดาของเพื่อนเล่นหลานสาวเธอ

“ไม่ต้องห่วงน้องนะคะ ดิฉันจะคอยดูอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน” หล่อนหมายถึงลูกสาวของเขา ผู้เป็นพ่อผงกศีรษะแสดงความขอบคุณ เขามองเหล่าเด็กๆเล่นกันด้วยสายตาที่แสดงความเอ็นดู สักครู่ก็เหมือนว่าเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงหันมาบอกหญิงสาว

“ผมว่าจะไปเอากล้องวีดีโอมาถ่ายเด็กๆเก็บไว้ จะได้ส่งไปให้ปู่กับย่าแกดูแก้คิดถึง คุณณีคงไม่ว่าอะไรนะครับ”

นฤณีสั่นศีรษะ

“เชิญเลยค่ะ ถ้ายังไงอย่าลืมส่งให้ณีทาง E-mail ด้วยนะคะ”

เพื่อนบ้านหล่อนตอบรับแล้วหันหลังเดินเข้าไปในตัวบ้านเพื่อไปหยิบกล้อง นฤณีมองตามหลังชายคนนั้นแล้วฉุกคิดอะไรได้บางอย่าง

“กล้องวีดีโอ” หล่อนพึมพำขึ้นกับตัวเอง แว่วได้เสียงหัวร่อต่อกระซิกของคนสองคนดังออกมาจากตัวบ้าน เป็นเสียงของดารานุชที่กำลังออดอ้อนกับพี่เขยเธอ และคงนั่งจิบไวน์กันอยู่ในห้องโถง

ดวงตาของหญิงสาวเป็นประกายคุขึ้นด้วยความมุ่งมั่น หล่อนพูดลอยๆขึ้นมาให้กับ”สิ่งหนึ่ง”ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่นฤณีเชื่อมั่นว่า”สิ่งนั้น”มีจิตรับรู้

“ณีจะไม่ยอมให้คนผิดลอยนวลแน่ค่ะ ครั้งที่แล้วมันทำไม่สำเร็จ แต่ฌีเชื่อว่ามันต้องลงมือซ้ำอีกแน่ และเมื่อไหร่ก็ตาม.....”

ไวเท่าความคิด นฤณีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหาเบอร์เพื่อนคนหนึ่งที่ทำงานทางด้านเทคโนโลยีแล้วกดโทรทันที

“ดิเรกเหรอ ฉันต้องขอโทษด้วยที่โทรมากวน ฉันอยากให้แกช่วย มาติดกล้องที่บ้านให้หน่อย เอาแบบซ่อนให้มิดชิดไม่มีใครเห็นเลยนะ หลายๆตัวยิ่งดีจะได้ถ่ายเห็นหลายมุม”

นฤณีวางสายแล้วเหลียวมองรอบตัว เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในระยะที่จะได้ยินแล้ว เธอจึงพนมมือขึ้นและเอ่ยกับ”อะไรบางอย่าง”ด้วยเสียงสั่นพร่า

“ขอบคุณนะค่ะพี่นาง ที่ปกป้องหลานและณีจากคนใจร้าย”

จบ 

ขอได้รับการคารวะจากผู้แต่ง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่