“วารินทร์” มองแก้วน้ำสุดรักของตนด้วยน้ำตาเอ่อคลอเบ้า เศษแก้วที่แตกกระจายเต็มโต๊ะ ก็เหมือนดั่งหัวใจของเด็กหญิงวัยแปดปีแตกเป็นเสี่ยงตามไปด้วย
“นฤณี”รีบปราดเข้ามากอดหลานสาวจากข้างหลังโดยสัญชาตญาณ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทำให้ผู้เป็นน้าชะงักงันไปอย่างตกตะลึงจนลืมคำพูด ถ้วยชามอาหารมื้อกลางวันที่สาวใช้เพิ่งยกขึ้นมาตั้งโต๊ะสำหรับเธอและหลานตัวน้อย อยู่ดีๆภาชนะเหล่านั้นก็เกิดแตกแยกส่วนจนกับข้าวที่บรรจุมากระเซ็นสายไปทั่ว
สาวใช้อ้าปากค้างมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าพรั่นพรึง แน่นอนว่าไม่มีใครจะไร้เหตุผลพอที่จะโยนความผิดไปให้เธอ เพราะต่างก็เห็นกันอยู่ตำตาว่า จานชามที่ใส่อาหารเกิดระเบิดขึ้นเองโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย
วารินทร์เพียงมุ่งความสนใจไปที่สิ่งที่เคยเรียกว่า”แก้วน้ำ” เท่านั้น เสียงของหนูน้อยสั่นเครือ
“แก้ว แก้วของแม่ มันแตกแล้ว” มีเสียงอึกอักในลำคอชั่วครู่ ในที่สุดเธอก็ปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมา
เสียงฟูมฟายของทายาทพี่สาวเธอผู้อาสัญไปแล้ว ทำให้นฤณีดึงสติของของผู้ต้องปกป้องดูแลกลับมา เธอรีบปลอบโยนเท่าที่จะสรรหาถ้อยคำได้ในตอนนั้น
“โถ รินทร์ อุบัติเหตุจ้ะลูก”
ระหว่างที่เด็กหญิงสะอื้นฮักๆ มีเสียงวื้ดร้องมาจากประตูห้องโถง
“ต๋าย อาหารซั้นอุตส่าห์ทำให้น้องรินทร์ ใครมาขว้างปากระจัดกระจายอย่างนี้”
นฤณีหันไปมองทางเจ้าของเสียงแหลมสูงปรื๊ด พลางลอบถอนหายใจอย่างเอือมระอา
“ไม่มีใครทำอะไรหรอกค่ะ จานชามมันเกิดแตกระเบิดขึ้นมาเอง ดิฉันเป็นพยานได้”
ดวงตากราดเกรี้ยวภายใต้ใบหน้าเครื่องสำอางฉาบหนามองมาอย่างเอาเรื่อง หากแต่นฤณีสวนสายตากลับไปอย่างไม่ลดลาวาศอกเช่นกัน ฝ่ายนั้นเหมือนจะฝืนกลืนน้ำลายฝืดๆลงคอก่อนลดเพดานเสียงลงเล็กน้อยแต่ก็ยังไว้เชิงอยู่
“ไม่มีใครทำอะไร จานใส่กับข้าวมันจะแตกเองได้ยังไง”
ก่อนที่หญิงสาวจะตอบโต้อะไรออกไป เสียงทุ้มๆของบุรุษผู้หนึ่งก็ปรามขึ้น
“เอาเถอะๆ พี่เชื่อว่าไม่มีใครทำอะไรหรอก อากาศมันคงร้อนพอเอาอาหารร้อนมาเทใส่จานมันก็เลยแตกอย่างที่เห็น” เขาพูดเหมือนให้เรื่องมันจบๆไปมากกว่าจะหาเหตุผลมาอธิบายอย่างจริงจัง ” รินทร์หิวแล้วใช่ไหมลูก เดี๋ยวพ่อพาไปกินข้าวนอกบ้าน ไปด้วยกันนะณี”
“ค่ะ”นฤณีรับคำสั้นๆ เหลืยวไปเห็นภรรยาคนใหม่ของพี่เขยเม้มริมฝีปากแน่น
“ใจคอจะไม่ชวนดาหรือค่ะ พี่พงศ์”
ชายร่างสูงใหญ่หันมามองดารานุช หญิงสาวที่เขาเพิ่งแต่งงานด้วยหลังจากโรคมะเร็งระยะสุดท้ายได้คร่าชีวิตภรรยาคนเก่าไป พงษ์ธรเดินมาโอบไหล่หล่อนอย่างเอาใจ
“โถ ดา พี่จะไปโดยไม่มีเธอได้ยังไง อ้าว รินทร์ร้องไห้ทำไม เป็นอะไรจ้ะลูก”
เด็กหญิงร่างน้อยโผเข้าหาบิดาที่ย่อตัวลงอ้าแขนรับ
“แก้วน้ำของแม่ มันแตกแล้วค่ะ” วารินทร์พูดพลางสะอึกสะอื้น พลางชี้มือ ผู้เป็นพ่อเหลือบมามองเศษแก้วใบนั้นแว่บหนึ่ง สายตาเขาแสดงให้เห็นว่าไม่ได้มีความอาลัยอาวรณ์ใดๆ แต่กระนั้นพงศ์ธรก็ยังมีความสงสารบุตรสาว
“อย่าไปเสียดายเลยลูก เดี๋ยวพ่อซื้อให้ใหม่ เอาให้เหมือนใบนี้เลย”
เด็กหญิงยิ้มทั้งน้ำตา ยื่นแขนให้บิดาเดินจูงออกไปจากห้องโถง ดารานุชมองค้อนตามด้วยความหมั่นใส้ แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นปั้นยิ้มพอพงษ์ธรหันหน้ามา
นฤณีถอนหายใจพลางส่ายหน้า ก่อนจะเดินตามออกไปหล่อนได้พูดกับสาวใช้
“ลำบากเธอแล้วล่ะน้อย เดี๋ยวฉันให้ลุงสุขมาช่วยเธอเก็บกวาด ขากลับจะซื้อข้าวมาฝากเธอด้วยเอ้า”
ก่อนเธอจะเดินพ้นไปจากห้อง หญิงสาวที่ชื่อน้อยก็ปลุกปลอบใจพูดออกมาด้วยเสียงสั่นๆ
“หลังจากรับอาหารจากคุณดามาวางบนโต๊ะ ดะดิฉัน หะ เห็นรูปภาพของคุณท่านมองมาที่โต๊ะอาหาร ทะท่านทำตาดุน่ากลัว เหมือนโกรธอะไรสักอย่าง น้อยไม่ได้ตาฝาดแน่ๆค่ะ”
นฤณีเย็นวาบตั้งแต่แผ่นหลังไล่ถึงต้นคอ หล่อนหันขวับไปมองรูปถ่ายในกรอบที่แขวนตรงผนังห้องอย่างลืมตัว เป็นรูปของพี่สาวเธอสมัยยังมีชีวิต!!!
ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์
นฤณีนั่งจิบน้ำชามองดูหลานสาวเล่นกับลูกๆเพื่อนบ้านที่สนามหญ้า หัวสมองเธอหนักอึ้งด้วยเรื่องเดียวที่เธอหมกมุ่นครุ่นคิดมาทั้งอาทิตย์
โทรศัพท์มือถือเธอสั่นแจ้งว่ามีสายเรียกเข้า ปลุกให้หญิงสาวตื่นจากภวังค์ความคิด พอเห็นชื่อคนโทรนฤณีก็ใจเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น
“ว่ายังไงนายหมอ เรื่องที่ฉันให้แกทำ”หล่อนกรอกเสียงไปหาต้นสายทันทีโดยไม่มีอารัมภบท
“อะไรกันยายณี” ผู้ที่โทรมาคือเภสัชกรหนุ่ม ซึ่งเคยเป็นเพื่อนมหาวิทยาลัยเดียวกับหญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเคืองๆ”จะไม่ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบฉันบ้างหรือไง”
“เออน่า ไว้ฉันจะเลี้ยงข้าวแกทีหลัง” นฤณีรีบตัดบท” บอกเรื่องที่ฉันอยากรู้มาก่อนเร็วๆ ฉันใจร้อน”
“โอเคๆ” ชายหนุ่มรับคำอย่างตัดรำคาญ “ถ้างั้นแกฟังให้ดีๆ ยายณี เศษอาหารที่แกเอามาให้ฉันได้ตรวจดูในห้องแล็บแล้ว เจอยาเบื่อหนูชนิดรุนแรงผสมอยู่20%หรือมากกว่านั้น อ้อ มีบางส่วนอยู่ในเศษแก้วน้ำที่แตกด้วย”
หญิงสาวรับฟังรายละเอียดที่เหลือด้วยใบหน้าที่ถอดสีเผือดขึ้นเรื่อยๆ หลังจากวางหู เธอก็พยายามสงบจิตสงบใจ มองไปที่หลานสาวกับบรรดาหนูน้อยเพื่อนบ้านวัยรุ่นราวคราวเดียวกัน ต่างวิ่งเล่นหัวร่อกันคิกคักตามประสาเด็ก
“สวัสดีครับคุณณี” ชายวัยกลางคนท่าทางอารมณ์ดีปรากฎตัวขึ้น และร้องทักหญิงสาวข้ามรั้วกั้นเตี้ยๆ เขาเป็นเจ้าของบ้านที่อยู่หลังติดกัน
“สวัสดีค่ะคุณธเนศ” นฤณีทักตอบ หล่อนยิ้มให้กับเพื่อนบ้านซึ่งเป็นบิดาของเพื่อนเล่นหลานสาวเธอ
“ไม่ต้องห่วงน้องนะคะ ดิฉันจะคอยดูอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน” หล่อนหมายถึงลูกสาวของเขา ผู้เป็นพ่อผงกศีรษะแสดงความขอบคุณ เขามองเหล่าเด็กๆเล่นกันด้วยสายตาที่แสดงความเอ็นดู สักครู่ก็เหมือนว่าเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงหันมาบอกหญิงสาว
“ผมว่าจะไปเอากล้องวีดีโอมาถ่ายเด็กๆเก็บไว้ จะได้ส่งไปให้ปู่กับย่าแกดูแก้คิดถึง คุณณีคงไม่ว่าอะไรนะครับ”
นฤณีสั่นศีรษะ
“เชิญเลยค่ะ ถ้ายังไงอย่าลืมส่งให้ณีทาง E-mail ด้วยนะคะ”
เพื่อนบ้านหล่อนตอบรับแล้วหันหลังเดินเข้าไปในตัวบ้านเพื่อไปหยิบกล้อง นฤณีมองตามหลังชายคนนั้นแล้วฉุกคิดอะไรได้บางอย่าง
“กล้องวีดีโอ” หล่อนพึมพำขึ้นกับตัวเอง แว่วได้เสียงหัวร่อต่อกระซิกของคนสองคนดังออกมาจากตัวบ้าน เป็นเสียงของดารานุชที่กำลังออดอ้อนกับพี่เขยเธอ และคงนั่งจิบไวน์กันอยู่ในห้องโถง
ดวงตาของหญิงสาวเป็นประกายคุขึ้นด้วยความมุ่งมั่น หล่อนพูดลอยๆขึ้นมาให้กับ”สิ่งหนึ่ง”ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่นฤณีเชื่อมั่นว่า”สิ่งนั้น”มีจิตรับรู้
“ณีจะไม่ยอมให้คนผิดลอยนวลแน่ค่ะ ครั้งที่แล้วมันทำไม่สำเร็จ แต่ฌีเชื่อว่ามันต้องลงมือซ้ำอีกแน่ และเมื่อไหร่ก็ตาม.....”
ไวเท่าความคิด นฤณีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหาเบอร์เพื่อนคนหนึ่งที่ทำงานทางด้านเทคโนโลยีแล้วกดโทรทันที
“ดิเรกเหรอ ฉันต้องขอโทษด้วยที่โทรมากวน ฉันอยากให้แกช่วย มาติดกล้องที่บ้านให้หน่อย เอาแบบซ่อนให้มิดชิดไม่มีใครเห็นเลยนะ หลายๆตัวยิ่งดีจะได้ถ่ายเห็นหลายมุม”
นฤณีวางสายแล้วเหลียวมองรอบตัว เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในระยะที่จะได้ยินแล้ว เธอจึงพนมมือขึ้นและเอ่ยกับ”อะไรบางอย่าง”ด้วยเสียงสั่นพร่า
“ขอบคุณนะค่ะพี่นาง ที่ปกป้องหลานและณีจากคนใจร้าย”
จบ
ขอได้รับการคารวะจากผู้แต่ง
ชื่อเดียวเอี่ยวทุกเรื่อง”ขอบคุณ” (Furryjit)
“นฤณี”รีบปราดเข้ามากอดหลานสาวจากข้างหลังโดยสัญชาตญาณ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทำให้ผู้เป็นน้าชะงักงันไปอย่างตกตะลึงจนลืมคำพูด ถ้วยชามอาหารมื้อกลางวันที่สาวใช้เพิ่งยกขึ้นมาตั้งโต๊ะสำหรับเธอและหลานตัวน้อย อยู่ดีๆภาชนะเหล่านั้นก็เกิดแตกแยกส่วนจนกับข้าวที่บรรจุมากระเซ็นสายไปทั่ว
สาวใช้อ้าปากค้างมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าพรั่นพรึง แน่นอนว่าไม่มีใครจะไร้เหตุผลพอที่จะโยนความผิดไปให้เธอ เพราะต่างก็เห็นกันอยู่ตำตาว่า จานชามที่ใส่อาหารเกิดระเบิดขึ้นเองโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย
วารินทร์เพียงมุ่งความสนใจไปที่สิ่งที่เคยเรียกว่า”แก้วน้ำ” เท่านั้น เสียงของหนูน้อยสั่นเครือ
“แก้ว แก้วของแม่ มันแตกแล้ว” มีเสียงอึกอักในลำคอชั่วครู่ ในที่สุดเธอก็ปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมา
เสียงฟูมฟายของทายาทพี่สาวเธอผู้อาสัญไปแล้ว ทำให้นฤณีดึงสติของของผู้ต้องปกป้องดูแลกลับมา เธอรีบปลอบโยนเท่าที่จะสรรหาถ้อยคำได้ในตอนนั้น
“โถ รินทร์ อุบัติเหตุจ้ะลูก”
ระหว่างที่เด็กหญิงสะอื้นฮักๆ มีเสียงวื้ดร้องมาจากประตูห้องโถง
“ต๋าย อาหารซั้นอุตส่าห์ทำให้น้องรินทร์ ใครมาขว้างปากระจัดกระจายอย่างนี้”
นฤณีหันไปมองทางเจ้าของเสียงแหลมสูงปรื๊ด พลางลอบถอนหายใจอย่างเอือมระอา
“ไม่มีใครทำอะไรหรอกค่ะ จานชามมันเกิดแตกระเบิดขึ้นมาเอง ดิฉันเป็นพยานได้”
ดวงตากราดเกรี้ยวภายใต้ใบหน้าเครื่องสำอางฉาบหนามองมาอย่างเอาเรื่อง หากแต่นฤณีสวนสายตากลับไปอย่างไม่ลดลาวาศอกเช่นกัน ฝ่ายนั้นเหมือนจะฝืนกลืนน้ำลายฝืดๆลงคอก่อนลดเพดานเสียงลงเล็กน้อยแต่ก็ยังไว้เชิงอยู่
“ไม่มีใครทำอะไร จานใส่กับข้าวมันจะแตกเองได้ยังไง”
ก่อนที่หญิงสาวจะตอบโต้อะไรออกไป เสียงทุ้มๆของบุรุษผู้หนึ่งก็ปรามขึ้น
“เอาเถอะๆ พี่เชื่อว่าไม่มีใครทำอะไรหรอก อากาศมันคงร้อนพอเอาอาหารร้อนมาเทใส่จานมันก็เลยแตกอย่างที่เห็น” เขาพูดเหมือนให้เรื่องมันจบๆไปมากกว่าจะหาเหตุผลมาอธิบายอย่างจริงจัง ” รินทร์หิวแล้วใช่ไหมลูก เดี๋ยวพ่อพาไปกินข้าวนอกบ้าน ไปด้วยกันนะณี”
“ค่ะ”นฤณีรับคำสั้นๆ เหลืยวไปเห็นภรรยาคนใหม่ของพี่เขยเม้มริมฝีปากแน่น
“ใจคอจะไม่ชวนดาหรือค่ะ พี่พงศ์”
ชายร่างสูงใหญ่หันมามองดารานุช หญิงสาวที่เขาเพิ่งแต่งงานด้วยหลังจากโรคมะเร็งระยะสุดท้ายได้คร่าชีวิตภรรยาคนเก่าไป พงษ์ธรเดินมาโอบไหล่หล่อนอย่างเอาใจ
“โถ ดา พี่จะไปโดยไม่มีเธอได้ยังไง อ้าว รินทร์ร้องไห้ทำไม เป็นอะไรจ้ะลูก”
เด็กหญิงร่างน้อยโผเข้าหาบิดาที่ย่อตัวลงอ้าแขนรับ
“แก้วน้ำของแม่ มันแตกแล้วค่ะ” วารินทร์พูดพลางสะอึกสะอื้น พลางชี้มือ ผู้เป็นพ่อเหลือบมามองเศษแก้วใบนั้นแว่บหนึ่ง สายตาเขาแสดงให้เห็นว่าไม่ได้มีความอาลัยอาวรณ์ใดๆ แต่กระนั้นพงศ์ธรก็ยังมีความสงสารบุตรสาว
“อย่าไปเสียดายเลยลูก เดี๋ยวพ่อซื้อให้ใหม่ เอาให้เหมือนใบนี้เลย”
เด็กหญิงยิ้มทั้งน้ำตา ยื่นแขนให้บิดาเดินจูงออกไปจากห้องโถง ดารานุชมองค้อนตามด้วยความหมั่นใส้ แต่แล้วก็เปลี่ยนเป็นปั้นยิ้มพอพงษ์ธรหันหน้ามา
นฤณีถอนหายใจพลางส่ายหน้า ก่อนจะเดินตามออกไปหล่อนได้พูดกับสาวใช้
“ลำบากเธอแล้วล่ะน้อย เดี๋ยวฉันให้ลุงสุขมาช่วยเธอเก็บกวาด ขากลับจะซื้อข้าวมาฝากเธอด้วยเอ้า”
ก่อนเธอจะเดินพ้นไปจากห้อง หญิงสาวที่ชื่อน้อยก็ปลุกปลอบใจพูดออกมาด้วยเสียงสั่นๆ
“หลังจากรับอาหารจากคุณดามาวางบนโต๊ะ ดะดิฉัน หะ เห็นรูปภาพของคุณท่านมองมาที่โต๊ะอาหาร ทะท่านทำตาดุน่ากลัว เหมือนโกรธอะไรสักอย่าง น้อยไม่ได้ตาฝาดแน่ๆค่ะ”
นฤณีเย็นวาบตั้งแต่แผ่นหลังไล่ถึงต้นคอ หล่อนหันขวับไปมองรูปถ่ายในกรอบที่แขวนตรงผนังห้องอย่างลืมตัว เป็นรูปของพี่สาวเธอสมัยยังมีชีวิต!!!
ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์
นฤณีนั่งจิบน้ำชามองดูหลานสาวเล่นกับลูกๆเพื่อนบ้านที่สนามหญ้า หัวสมองเธอหนักอึ้งด้วยเรื่องเดียวที่เธอหมกมุ่นครุ่นคิดมาทั้งอาทิตย์
โทรศัพท์มือถือเธอสั่นแจ้งว่ามีสายเรียกเข้า ปลุกให้หญิงสาวตื่นจากภวังค์ความคิด พอเห็นชื่อคนโทรนฤณีก็ใจเต้นรัวด้วยความตื่นเต้น
“ว่ายังไงนายหมอ เรื่องที่ฉันให้แกทำ”หล่อนกรอกเสียงไปหาต้นสายทันทีโดยไม่มีอารัมภบท
“อะไรกันยายณี” ผู้ที่โทรมาคือเภสัชกรหนุ่ม ซึ่งเคยเป็นเพื่อนมหาวิทยาลัยเดียวกับหญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงเคืองๆ”จะไม่ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบฉันบ้างหรือไง”
“เออน่า ไว้ฉันจะเลี้ยงข้าวแกทีหลัง” นฤณีรีบตัดบท” บอกเรื่องที่ฉันอยากรู้มาก่อนเร็วๆ ฉันใจร้อน”
“โอเคๆ” ชายหนุ่มรับคำอย่างตัดรำคาญ “ถ้างั้นแกฟังให้ดีๆ ยายณี เศษอาหารที่แกเอามาให้ฉันได้ตรวจดูในห้องแล็บแล้ว เจอยาเบื่อหนูชนิดรุนแรงผสมอยู่20%หรือมากกว่านั้น อ้อ มีบางส่วนอยู่ในเศษแก้วน้ำที่แตกด้วย”
หญิงสาวรับฟังรายละเอียดที่เหลือด้วยใบหน้าที่ถอดสีเผือดขึ้นเรื่อยๆ หลังจากวางหู เธอก็พยายามสงบจิตสงบใจ มองไปที่หลานสาวกับบรรดาหนูน้อยเพื่อนบ้านวัยรุ่นราวคราวเดียวกัน ต่างวิ่งเล่นหัวร่อกันคิกคักตามประสาเด็ก
“สวัสดีครับคุณณี” ชายวัยกลางคนท่าทางอารมณ์ดีปรากฎตัวขึ้น และร้องทักหญิงสาวข้ามรั้วกั้นเตี้ยๆ เขาเป็นเจ้าของบ้านที่อยู่หลังติดกัน
“สวัสดีค่ะคุณธเนศ” นฤณีทักตอบ หล่อนยิ้มให้กับเพื่อนบ้านซึ่งเป็นบิดาของเพื่อนเล่นหลานสาวเธอ
“ไม่ต้องห่วงน้องนะคะ ดิฉันจะคอยดูอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน” หล่อนหมายถึงลูกสาวของเขา ผู้เป็นพ่อผงกศีรษะแสดงความขอบคุณ เขามองเหล่าเด็กๆเล่นกันด้วยสายตาที่แสดงความเอ็นดู สักครู่ก็เหมือนว่าเขาจะนึกอะไรขึ้นมาได้จึงหันมาบอกหญิงสาว
“ผมว่าจะไปเอากล้องวีดีโอมาถ่ายเด็กๆเก็บไว้ จะได้ส่งไปให้ปู่กับย่าแกดูแก้คิดถึง คุณณีคงไม่ว่าอะไรนะครับ”
นฤณีสั่นศีรษะ
“เชิญเลยค่ะ ถ้ายังไงอย่าลืมส่งให้ณีทาง E-mail ด้วยนะคะ”
เพื่อนบ้านหล่อนตอบรับแล้วหันหลังเดินเข้าไปในตัวบ้านเพื่อไปหยิบกล้อง นฤณีมองตามหลังชายคนนั้นแล้วฉุกคิดอะไรได้บางอย่าง
“กล้องวีดีโอ” หล่อนพึมพำขึ้นกับตัวเอง แว่วได้เสียงหัวร่อต่อกระซิกของคนสองคนดังออกมาจากตัวบ้าน เป็นเสียงของดารานุชที่กำลังออดอ้อนกับพี่เขยเธอ และคงนั่งจิบไวน์กันอยู่ในห้องโถง
ดวงตาของหญิงสาวเป็นประกายคุขึ้นด้วยความมุ่งมั่น หล่อนพูดลอยๆขึ้นมาให้กับ”สิ่งหนึ่ง”ที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่นฤณีเชื่อมั่นว่า”สิ่งนั้น”มีจิตรับรู้
“ณีจะไม่ยอมให้คนผิดลอยนวลแน่ค่ะ ครั้งที่แล้วมันทำไม่สำเร็จ แต่ฌีเชื่อว่ามันต้องลงมือซ้ำอีกแน่ และเมื่อไหร่ก็ตาม.....”
ไวเท่าความคิด นฤณีหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาหาเบอร์เพื่อนคนหนึ่งที่ทำงานทางด้านเทคโนโลยีแล้วกดโทรทันที
“ดิเรกเหรอ ฉันต้องขอโทษด้วยที่โทรมากวน ฉันอยากให้แกช่วย มาติดกล้องที่บ้านให้หน่อย เอาแบบซ่อนให้มิดชิดไม่มีใครเห็นเลยนะ หลายๆตัวยิ่งดีจะได้ถ่ายเห็นหลายมุม”
นฤณีวางสายแล้วเหลียวมองรอบตัว เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในระยะที่จะได้ยินแล้ว เธอจึงพนมมือขึ้นและเอ่ยกับ”อะไรบางอย่าง”ด้วยเสียงสั่นพร่า
“ขอบคุณนะค่ะพี่นาง ที่ปกป้องหลานและณีจากคนใจร้าย”
จบ
ขอได้รับการคารวะจากผู้แต่ง