ผ่าตัดมานานพอสมควรแล้วค่ะ ตั้งใจว่าจะเล่าประสบการณ์ให้อ่านกัน เพิ่งได้โอกาสตั้งกระทู้
จขกท อายุ 38 ปี ตรวจพบเนื้องอกมดลูกเมื่อปีที่แล้ว แต่จริงๆ เคยตรวจพบเนื้องอกที่ผนังมดลูก (Myoma uteri) ตั้งแต่ตอนตั้งครรภ์เมื่อ 10 ปี ก่อน ตอนนั้นคุณหมอบอกว่าเป็นก้อนเล็กๆ ปล่อยไว้ได้ไม่เป็นอันตราย จึงไม่ได้สนใจเลย จนกระทั่งเมื่อ 5 ปีก่อน มีอาการประจำเดือนมามาก จึงไปตรวจกับสูตินรีแพทย์เพิ่มเติม อัลตราซาวน์พบเนื้องอกที่ผนังมดลูก 2 ก้อน ขนาด 1 ซม. และ 3 ซม. ซึ่งคุณหมอบอกว่าก้อนยังไม่ใหญ่ ไม่ต้องทำอะไร และไม่เกี่ยวกับเรื่องประจำเดือนมามาก เพราะถึงแม้จะเป็นเนื้องอกมดลูกก็จริงแต่ตำแหน่งอยู่ห่างจากโพรงมดลูก ตอนนั้นได้ยาบำรุงเลือดมาทาน พอทานครบ 3 เดือน อาการก็ดีขึ้นเอง ประจำเดือนดูเหมือนจะมาน้อยลง จึงไม่ได้ไปพบคุณหมอท่านเดิมอีก (ทราบภายหลังว่าไม่ควรทำอย่างนี้ค่ะเพราะเนื้องอกมดลูกมีโอกาสโตขึ้นได้ จึงควรตรวจติดตามทุกปี)
แต่จริงๆ หลังจากที่ตรวจอัลตราซาวด์ครั้งนั้น เราไปตรวจภายในแบบตรวจประจำปีอีก 2 ครั้งนะคะ เพียงแต่คุณหมอที่ตรวจภายในไม่ทราบเรื่องเนื้องอกมดลูก จึงอาจจะไม่ได้เช็คจุดนี้ให้ละเอียด คุณหมอบอกว่าตรวจภายในปกติดี ให้ตรวจ 3 ปีครั้งได้ ช่วง 3 ปีหลังเราจึงละเลย ไม่ได้ไปนัดตรวจ กะว่าครบ 3 ปีจะไปตรวจอีกที พอดีมีอาการก่อนค่ะ
อาการที่ว่าคือท้องอืด เหมือนอาหารไม่ย่อย คือปกติเราเป็นคนท้องอืดง่ายมากๆ อยู่แล้ว และท้องผูกบ่อยด้วย คือเป็นแบบนี้มานานจนไม่คิดอะไร ปัสสาวะก็บ่อย แต่คิดว่าบ่อยแบบปกติเพราะเป็นคนทานน้ำเยอะ แล้วมีทานกาแฟด้วย จึงคิดว่าที่ปัสสาวะบ่อยคงเพราะเหตุนี้ แต่มีอยู่วันหนึ่งท้องอืดมาก ก็เลยลองนอนลงคลำท้องตัวเองดู แล้วเจอว่ามีก้อนแข็งๆ อยู่ตรงท้องน้อยค่ะ วันนั้นตกใจมาก จึงรีบไปพบแพทย์ที่ รพ.ใกล้บ้านเพื่ออัลตราซาวด์ในวันรุ่งขึ้น เบื้องต้นเป็นคุณหมอรังสีทำให้บอกว่าเจอเนื้องอกมดลูก 2 ก้อน แต่คราวนี้ขนาดใหญ่มาก ก้อนด้านหน้า 9 ซม. ด้านหลัง 7 ซม. และมีการเบียดกระเพาะปัสสาวะด้วย จึงมีอาการปัสสาวะบ่อย คุณหมอบอกว่าให้รีบไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อปรึกษาเรื่องผ่าตัด เพราะคราวนี้ก้อนใหญ่มากไม่ผ่าไม่ได้แล้ว (รพ.แรกที่ไป ไม่มีสูตินรีแพทย์ค่ะ)
ตอนนั้นกังวลมาก ไม่อยากผ่าตัด กลัวเจ็บ กังวลด้วยว่าก้อนใหญ่ขึ้นมาเร็วมาก ระหว่างรอคิวพบแพทย์ก็มาหาข้อมูลทางอินเตอร์เนท พอถึงคิวพบคุณหมอท่านเดิมที่เคยตรวจตอน 5 ปีก่อนตอนที่ก้อนยังเล็กๆ คุณหมอก็บอกว่าผ่าเถอะ และแนะนำให้ผ่าตัดมดลูกออกเลย เพราะก้อนของเราโตเร็ว อายุ 38 ยังอีกหลายปีกว่าจะหมดประจำเดือน คุณหมอบอกว่า ก้อนพวกนี้ตราบใดที่ยังมีประจำเดือน ถึงผ่าก้อนออกแต่ยังมีมดลูกอยู่ก็มีโอกาสเป็นซ้ำ ก็อาจจะต้องผ่าใหม่ แล้วก้อนใหญ่การผ่าตัดเลาะเฉพาะก้อนออกจะทำได้ลำบาก มีโอกาสเลือดออกเยอะกว่า ทำยากกว่า ถ้าตัดมดลูกจะเสียเลือดน้อยกว่า โอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนน้อย คุณหมอจะผ่าแบบส่องกล้องให้ จะได้ฟื้นตัวเร็ว หมอจะตัดมดลูกแต่จะเหลือรังไข่ไว้ให้ จะได้มีฮอร์โมนต่อไปจนถึงวัยหมดประจำเดือนตามธรรมชาติ ไม่มีปัญหาเรื่องฮอร์โมน
ตอนนั้นก็คิดหนัก ไม่นึกว่าจะต้องตัดมดลูก เครียดไปอีก ปรึกษากันกับสามี ไปๆ มาๆ สามีก็บอกว่าตัดเถอะ จะได้ไม่ต้องผ่าตัดซ้ำหรือต้องคอยมากังวลว่าจะเป็นซ้ำ รังไข่ก็เก็บไว้ ฮอร์โมนก็ไม่มีปัญหา จึงตกลงนัดวันกับคุณหมอค่ะ สรุปคือผ่าตัดมดลูกผ่านการส่องกล้อง
เหตุการณ์ที่เล่ามาจนถึงตอนนี้คือปีที่แล้ว (2563) เป็นช่วงโควิดระบาด การนัดผ่าตัดจึงต้องมีการ swab ตรวจโควิดก่อน ซึ่งอันนี้ทางคุณพยาบาลได้แจ้งให้ทราบตั้งแต่ตอนนัดผ่า ว่าวันก่อนผ่าต้องมาแต่เช้า ตรวจโควิด แล้วรอผลใน รพ. เลย ก็จะต้องมา รพ.เร็วหน่อยคือตั้งแต่ 7.00 น ของวันก่อนผ่าตัดเลย
จะมีการเตรียมตัวก่อนผ่าตัดคือ ให้ทานอาหารอ่อนย่อยง่าย 2 วันก่อนผ่า งดผักผลไม้ทุกชนิดเพื่อไม่ให้มีกากใยในลำไส้ ก็ทานเป็นโจ้ก ข้าวต้มปลา น้ำผลไม้ นม น้ำเต้าหู้ สลับกันไปค่ะ คือช่วง 2 วันก่อนผ่านี้จะหิวบ่อยมากเพราะทานแต่อาหารอ่อนๆ
1 วันก่อนผ่าตัด เดินทางไป รพ.เพื่อตรวจโควิด เราเคยโดนตรวจแล้วจึงไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ ถ้าเป็นการตรวจครั้งแรกคงกลัวเหมือนกันค่ะ แต่ไม่เจ็บมากนะคะ แค่แสบๆ จมูก พอตรวจเสร็จก็ไปพักที่ห้อง รอผล ระหว่างนั้นก็ทานอาหารอ่อนๆ ของ รพ. ช่วงบ่าย มีคุณพยาบาลมาเจาะเลือด คุณหมอมาเยี่ยม ช่วงเย็น สวนอุจจาระ ให้น้ำเกลือ งดน้ำงดอาหาร (จำไม่ได้ว่ากี่โมงแต่น่าจะหลังเที่ยงคืน)
วันผ่าตัด เข้าห้องผ่าตัดไปเจอคุณหมอวิสัญญีก่อนเลยค่ะ ใจดีมาก ถอดหน้ากากอนามัยให้แล้วเอาออกซิเจนให้ดม ยังไม่ทันไรเราก็หลับแล้วค่ะ เร็วมากกก รู้สึกตัวอีกที คือผ่าเสร็จแล้ว แต่ยังไม่ตื่นดี สะลึมสะลือ หลับๆ ตื่นๆ เรื่องแผล ไม่เจ็บแผลนะคะ แต่จะรู้สึกปวดท้องน้อยเหมือนตอนมีประจำเดือน แต่ปวดมากกว่าประจำเดือนปกติ
หลังผ่าตัดคืนแรกจะปวดท้องมากที่สุดค่ะ รองลงมาคือปวดกล้ามเนื้อหน้าท้อง เวลาขยับจะปวดๆ หน่อยๆ คุณหมอบอกว่าเราอาจจะมีอาการเจ็บสะบักและท้องอืด เนื่องจากเป็นการผ่าตัดส่องกล้องจึงมีการใส่ลมเข้าไปในท้อง ซึ่งลมในท้องนี้จะใช้เวลานานกว่าจะหายอืด แต่เราไม่เจ็บสะบักเลยค่ะ ปวดแต่ท้องน้อย และมีอาการคลื่นไส้ด้วย อันนี้คุณหมอบอกว่าเป็นเพราะยาแก้ปวด สรุปคือ หลังผ่า คืนแรกเราทานอะไรไม่ได้เลยเพราะคลื่นไส้ตลอด และปวดท้องน้อยค่อนข้างมาก จริงๆ เราพลาดตรงนี้ด้วยคือเราควรจะซื้อน้ำผลไม้หรือน้ำหวานมาเตรียมไว้ เพราะหลังผ่าคุณหมอไม่ได้ให้งดอาหารแค่ให้ทานอาหารอ่อนๆ แต่อาหารที่ทาง รพ เอามาให้เราลุกขึ้นทานไม่ไหวเพราะลุกเมื่อไหร่คือจะอาเจียน ถ้ามีน้ำผลไม้ยังพอจะดูดจากกล่องได้ (นมคุณพยาบาลไม่ให้ทานค่ะบอกว่าจะท้องอืด)
แต่พอเช้าวันรุ่งขึ้น พอเริ่มทานอาหารได้ อาการก็ดีขึ้นมากๆ คือยังเพลียอยู่นะคะเพราะงดอาหารมาตั้งแต่ก่อนผ่า แต่ดีขึ้นมาก ไม่ปวดท้องน้อยแล้วค่ะ ปวดแต่กล้ามเนื้อหน้าท้องเวลาขยับตัวเท่านั้น ก็เลยขอคุณหมอกลับบ้าน อันนี้โชคดีว่าคุณหมออนุญาตด้วยค่ะ ถามคุณพยาบาลบอกว่า ปกติผ่าส่องกล้องจะอยู่ รพ หลังผ่าประมาณ 2 วัน
ยากลับบ้านมียาแก้ปวด ยาแก้ท้องอืด ยาลดกรด ยาแก้อาเจียน และยาฆ่าเชื้อ
แผลตอนกลับบ้าน มีแผลเล็กๆ ที่หน้าท้อง 4 แผล เย็บไหมละลายไม่ต้องตัดไหม เราไม่เห็นแผลเพราะแปะผ้าก๊อซทับด้วยพลาสเตอร์กันน้ำอย่างแน่น ห้ามแผลโดนน้ำ 7 วัน พอครบ 7 วัน ค่อยแกะพลาสเตอร์ออกค่ะ
กลับบ้านไป วันแรกก็ยังโทรมๆ อยู่ค่ะ เพลียเพราะอาหารไม่ตกถึงท้อง 55 แต่พอได้ทานอาหารเต็มที่ ก็ดีขึ้น เรื่องเจ็บแผลไม่เจ็บเลย แต่จะเป็นลักษณะปวดกล้ามเนื้อหน้าท้องเวลาขยับตัว พอวันที่ 3 อาการทุกอย่างก็หายเป็นปกติ เป็นข้อดีของการผ่าตัดส่องกล้องค่ะคือฟื้นตัวเร็วมาก
ที่ลำบากสุดก็คือตอนอาบน้ำไม่ให้แผลโดนน้ำนี่แหละค่ะ ถึงแม้จะแปะแบบพลาสเตอร์กันน้ำมา แต่คุณหมอเตือนไว้เลยว่าเป็นไปได้ก็เช็ดตัวเอาก่อน เพราะถ้าราดฝักบัวเต็มที่น้ำก็อาจจะเข้าแผลอยู่ดี สรุปเราเลยไม่ได้สระผมเลย 7 วัน (เว่อร์มาก กลัวแผลโดนน้ำแล้วติดเชื้อ จะไปสระที่ร้านก็กลัวโควิด)
หลังผ่าตัด นัดตรวจภายใน ฟังผลชิ้นเนื้อก็เป็น myoma uteri เป็นเนื้องอกมดลูกธรรมดาค่ะ ตรวจภายในก็ปกติดี ช่วงแรกหลังผ่าคุณหมอให้งดออกกำลังกาย งดยกของหนัก 1 เดือน เขียนใบรับรองแพทย์ให้หยุด 1 เดือน(เพราะตัดมดลูก) แต่จริงๆ เราหยุดแค่ 1 สัปดาห์ก็ไปทำงานได้แล้วค่ะ คุณหมอบอกว่าทำได้ ถ้างานไม่ได้ออกแรงมาก
ตอนแรกคิดว่าจะไม่พิมพ์ยาว พิมพ์ไปพิมพ์มายาวเลย เผื่อจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ บ้างนะคะ
แชร์ประสบการณ์ผ่าตัดมดลูกด้วยการส่องกล้อง
จขกท อายุ 38 ปี ตรวจพบเนื้องอกมดลูกเมื่อปีที่แล้ว แต่จริงๆ เคยตรวจพบเนื้องอกที่ผนังมดลูก (Myoma uteri) ตั้งแต่ตอนตั้งครรภ์เมื่อ 10 ปี ก่อน ตอนนั้นคุณหมอบอกว่าเป็นก้อนเล็กๆ ปล่อยไว้ได้ไม่เป็นอันตราย จึงไม่ได้สนใจเลย จนกระทั่งเมื่อ 5 ปีก่อน มีอาการประจำเดือนมามาก จึงไปตรวจกับสูตินรีแพทย์เพิ่มเติม อัลตราซาวน์พบเนื้องอกที่ผนังมดลูก 2 ก้อน ขนาด 1 ซม. และ 3 ซม. ซึ่งคุณหมอบอกว่าก้อนยังไม่ใหญ่ ไม่ต้องทำอะไร และไม่เกี่ยวกับเรื่องประจำเดือนมามาก เพราะถึงแม้จะเป็นเนื้องอกมดลูกก็จริงแต่ตำแหน่งอยู่ห่างจากโพรงมดลูก ตอนนั้นได้ยาบำรุงเลือดมาทาน พอทานครบ 3 เดือน อาการก็ดีขึ้นเอง ประจำเดือนดูเหมือนจะมาน้อยลง จึงไม่ได้ไปพบคุณหมอท่านเดิมอีก (ทราบภายหลังว่าไม่ควรทำอย่างนี้ค่ะเพราะเนื้องอกมดลูกมีโอกาสโตขึ้นได้ จึงควรตรวจติดตามทุกปี)
แต่จริงๆ หลังจากที่ตรวจอัลตราซาวด์ครั้งนั้น เราไปตรวจภายในแบบตรวจประจำปีอีก 2 ครั้งนะคะ เพียงแต่คุณหมอที่ตรวจภายในไม่ทราบเรื่องเนื้องอกมดลูก จึงอาจจะไม่ได้เช็คจุดนี้ให้ละเอียด คุณหมอบอกว่าตรวจภายในปกติดี ให้ตรวจ 3 ปีครั้งได้ ช่วง 3 ปีหลังเราจึงละเลย ไม่ได้ไปนัดตรวจ กะว่าครบ 3 ปีจะไปตรวจอีกที พอดีมีอาการก่อนค่ะ
อาการที่ว่าคือท้องอืด เหมือนอาหารไม่ย่อย คือปกติเราเป็นคนท้องอืดง่ายมากๆ อยู่แล้ว และท้องผูกบ่อยด้วย คือเป็นแบบนี้มานานจนไม่คิดอะไร ปัสสาวะก็บ่อย แต่คิดว่าบ่อยแบบปกติเพราะเป็นคนทานน้ำเยอะ แล้วมีทานกาแฟด้วย จึงคิดว่าที่ปัสสาวะบ่อยคงเพราะเหตุนี้ แต่มีอยู่วันหนึ่งท้องอืดมาก ก็เลยลองนอนลงคลำท้องตัวเองดู แล้วเจอว่ามีก้อนแข็งๆ อยู่ตรงท้องน้อยค่ะ วันนั้นตกใจมาก จึงรีบไปพบแพทย์ที่ รพ.ใกล้บ้านเพื่ออัลตราซาวด์ในวันรุ่งขึ้น เบื้องต้นเป็นคุณหมอรังสีทำให้บอกว่าเจอเนื้องอกมดลูก 2 ก้อน แต่คราวนี้ขนาดใหญ่มาก ก้อนด้านหน้า 9 ซม. ด้านหลัง 7 ซม. และมีการเบียดกระเพาะปัสสาวะด้วย จึงมีอาการปัสสาวะบ่อย คุณหมอบอกว่าให้รีบไปพบสูตินรีแพทย์เพื่อปรึกษาเรื่องผ่าตัด เพราะคราวนี้ก้อนใหญ่มากไม่ผ่าไม่ได้แล้ว (รพ.แรกที่ไป ไม่มีสูตินรีแพทย์ค่ะ)
ตอนนั้นกังวลมาก ไม่อยากผ่าตัด กลัวเจ็บ กังวลด้วยว่าก้อนใหญ่ขึ้นมาเร็วมาก ระหว่างรอคิวพบแพทย์ก็มาหาข้อมูลทางอินเตอร์เนท พอถึงคิวพบคุณหมอท่านเดิมที่เคยตรวจตอน 5 ปีก่อนตอนที่ก้อนยังเล็กๆ คุณหมอก็บอกว่าผ่าเถอะ และแนะนำให้ผ่าตัดมดลูกออกเลย เพราะก้อนของเราโตเร็ว อายุ 38 ยังอีกหลายปีกว่าจะหมดประจำเดือน คุณหมอบอกว่า ก้อนพวกนี้ตราบใดที่ยังมีประจำเดือน ถึงผ่าก้อนออกแต่ยังมีมดลูกอยู่ก็มีโอกาสเป็นซ้ำ ก็อาจจะต้องผ่าใหม่ แล้วก้อนใหญ่การผ่าตัดเลาะเฉพาะก้อนออกจะทำได้ลำบาก มีโอกาสเลือดออกเยอะกว่า ทำยากกว่า ถ้าตัดมดลูกจะเสียเลือดน้อยกว่า โอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนน้อย คุณหมอจะผ่าแบบส่องกล้องให้ จะได้ฟื้นตัวเร็ว หมอจะตัดมดลูกแต่จะเหลือรังไข่ไว้ให้ จะได้มีฮอร์โมนต่อไปจนถึงวัยหมดประจำเดือนตามธรรมชาติ ไม่มีปัญหาเรื่องฮอร์โมน
ตอนนั้นก็คิดหนัก ไม่นึกว่าจะต้องตัดมดลูก เครียดไปอีก ปรึกษากันกับสามี ไปๆ มาๆ สามีก็บอกว่าตัดเถอะ จะได้ไม่ต้องผ่าตัดซ้ำหรือต้องคอยมากังวลว่าจะเป็นซ้ำ รังไข่ก็เก็บไว้ ฮอร์โมนก็ไม่มีปัญหา จึงตกลงนัดวันกับคุณหมอค่ะ สรุปคือผ่าตัดมดลูกผ่านการส่องกล้อง
เหตุการณ์ที่เล่ามาจนถึงตอนนี้คือปีที่แล้ว (2563) เป็นช่วงโควิดระบาด การนัดผ่าตัดจึงต้องมีการ swab ตรวจโควิดก่อน ซึ่งอันนี้ทางคุณพยาบาลได้แจ้งให้ทราบตั้งแต่ตอนนัดผ่า ว่าวันก่อนผ่าต้องมาแต่เช้า ตรวจโควิด แล้วรอผลใน รพ. เลย ก็จะต้องมา รพ.เร็วหน่อยคือตั้งแต่ 7.00 น ของวันก่อนผ่าตัดเลย
จะมีการเตรียมตัวก่อนผ่าตัดคือ ให้ทานอาหารอ่อนย่อยง่าย 2 วันก่อนผ่า งดผักผลไม้ทุกชนิดเพื่อไม่ให้มีกากใยในลำไส้ ก็ทานเป็นโจ้ก ข้าวต้มปลา น้ำผลไม้ นม น้ำเต้าหู้ สลับกันไปค่ะ คือช่วง 2 วันก่อนผ่านี้จะหิวบ่อยมากเพราะทานแต่อาหารอ่อนๆ
1 วันก่อนผ่าตัด เดินทางไป รพ.เพื่อตรวจโควิด เราเคยโดนตรวจแล้วจึงไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ ถ้าเป็นการตรวจครั้งแรกคงกลัวเหมือนกันค่ะ แต่ไม่เจ็บมากนะคะ แค่แสบๆ จมูก พอตรวจเสร็จก็ไปพักที่ห้อง รอผล ระหว่างนั้นก็ทานอาหารอ่อนๆ ของ รพ. ช่วงบ่าย มีคุณพยาบาลมาเจาะเลือด คุณหมอมาเยี่ยม ช่วงเย็น สวนอุจจาระ ให้น้ำเกลือ งดน้ำงดอาหาร (จำไม่ได้ว่ากี่โมงแต่น่าจะหลังเที่ยงคืน)
วันผ่าตัด เข้าห้องผ่าตัดไปเจอคุณหมอวิสัญญีก่อนเลยค่ะ ใจดีมาก ถอดหน้ากากอนามัยให้แล้วเอาออกซิเจนให้ดม ยังไม่ทันไรเราก็หลับแล้วค่ะ เร็วมากกก รู้สึกตัวอีกที คือผ่าเสร็จแล้ว แต่ยังไม่ตื่นดี สะลึมสะลือ หลับๆ ตื่นๆ เรื่องแผล ไม่เจ็บแผลนะคะ แต่จะรู้สึกปวดท้องน้อยเหมือนตอนมีประจำเดือน แต่ปวดมากกว่าประจำเดือนปกติ
หลังผ่าตัดคืนแรกจะปวดท้องมากที่สุดค่ะ รองลงมาคือปวดกล้ามเนื้อหน้าท้อง เวลาขยับจะปวดๆ หน่อยๆ คุณหมอบอกว่าเราอาจจะมีอาการเจ็บสะบักและท้องอืด เนื่องจากเป็นการผ่าตัดส่องกล้องจึงมีการใส่ลมเข้าไปในท้อง ซึ่งลมในท้องนี้จะใช้เวลานานกว่าจะหายอืด แต่เราไม่เจ็บสะบักเลยค่ะ ปวดแต่ท้องน้อย และมีอาการคลื่นไส้ด้วย อันนี้คุณหมอบอกว่าเป็นเพราะยาแก้ปวด สรุปคือ หลังผ่า คืนแรกเราทานอะไรไม่ได้เลยเพราะคลื่นไส้ตลอด และปวดท้องน้อยค่อนข้างมาก จริงๆ เราพลาดตรงนี้ด้วยคือเราควรจะซื้อน้ำผลไม้หรือน้ำหวานมาเตรียมไว้ เพราะหลังผ่าคุณหมอไม่ได้ให้งดอาหารแค่ให้ทานอาหารอ่อนๆ แต่อาหารที่ทาง รพ เอามาให้เราลุกขึ้นทานไม่ไหวเพราะลุกเมื่อไหร่คือจะอาเจียน ถ้ามีน้ำผลไม้ยังพอจะดูดจากกล่องได้ (นมคุณพยาบาลไม่ให้ทานค่ะบอกว่าจะท้องอืด)
แต่พอเช้าวันรุ่งขึ้น พอเริ่มทานอาหารได้ อาการก็ดีขึ้นมากๆ คือยังเพลียอยู่นะคะเพราะงดอาหารมาตั้งแต่ก่อนผ่า แต่ดีขึ้นมาก ไม่ปวดท้องน้อยแล้วค่ะ ปวดแต่กล้ามเนื้อหน้าท้องเวลาขยับตัวเท่านั้น ก็เลยขอคุณหมอกลับบ้าน อันนี้โชคดีว่าคุณหมออนุญาตด้วยค่ะ ถามคุณพยาบาลบอกว่า ปกติผ่าส่องกล้องจะอยู่ รพ หลังผ่าประมาณ 2 วัน
ยากลับบ้านมียาแก้ปวด ยาแก้ท้องอืด ยาลดกรด ยาแก้อาเจียน และยาฆ่าเชื้อ
แผลตอนกลับบ้าน มีแผลเล็กๆ ที่หน้าท้อง 4 แผล เย็บไหมละลายไม่ต้องตัดไหม เราไม่เห็นแผลเพราะแปะผ้าก๊อซทับด้วยพลาสเตอร์กันน้ำอย่างแน่น ห้ามแผลโดนน้ำ 7 วัน พอครบ 7 วัน ค่อยแกะพลาสเตอร์ออกค่ะ
กลับบ้านไป วันแรกก็ยังโทรมๆ อยู่ค่ะ เพลียเพราะอาหารไม่ตกถึงท้อง 55 แต่พอได้ทานอาหารเต็มที่ ก็ดีขึ้น เรื่องเจ็บแผลไม่เจ็บเลย แต่จะเป็นลักษณะปวดกล้ามเนื้อหน้าท้องเวลาขยับตัว พอวันที่ 3 อาการทุกอย่างก็หายเป็นปกติ เป็นข้อดีของการผ่าตัดส่องกล้องค่ะคือฟื้นตัวเร็วมาก
ที่ลำบากสุดก็คือตอนอาบน้ำไม่ให้แผลโดนน้ำนี่แหละค่ะ ถึงแม้จะแปะแบบพลาสเตอร์กันน้ำมา แต่คุณหมอเตือนไว้เลยว่าเป็นไปได้ก็เช็ดตัวเอาก่อน เพราะถ้าราดฝักบัวเต็มที่น้ำก็อาจจะเข้าแผลอยู่ดี สรุปเราเลยไม่ได้สระผมเลย 7 วัน (เว่อร์มาก กลัวแผลโดนน้ำแล้วติดเชื้อ จะไปสระที่ร้านก็กลัวโควิด)
หลังผ่าตัด นัดตรวจภายใน ฟังผลชิ้นเนื้อก็เป็น myoma uteri เป็นเนื้องอกมดลูกธรรมดาค่ะ ตรวจภายในก็ปกติดี ช่วงแรกหลังผ่าคุณหมอให้งดออกกำลังกาย งดยกของหนัก 1 เดือน เขียนใบรับรองแพทย์ให้หยุด 1 เดือน(เพราะตัดมดลูก) แต่จริงๆ เราหยุดแค่ 1 สัปดาห์ก็ไปทำงานได้แล้วค่ะ คุณหมอบอกว่าทำได้ ถ้างานไม่ได้ออกแรงมาก
ตอนแรกคิดว่าจะไม่พิมพ์ยาว พิมพ์ไปพิมพ์มายาวเลย เผื่อจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ บ้างนะคะ