ตั้งศูนย์สื่อสารในภาวะวิกฤต เลือก "เสรี วงษ์มณฑา" เป็นบรรณาธิการบริหาร
เวลา 13.00 น. วันที่ 16 ส.ค. 2564 ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) หรือ ศบค. ครั้งที่ 12/2564 ผ่านระบบ Video Conference โดยผ่อนคลายกิจกรรมให้เปิดธนาคาร/สถาบันการเงินในห้างได้ เพิ่มการตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อโดยใช้ ATK ใน กทม. และปริมณฑล เน้นรัฐและเอกชนทำงานที่บ้าน Work from home ยังคงห้ามออกนอกเคหสถาน เวลา 21.00-04.00 น. ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัดถึงสิ้นเดือน ส.ค. นี้
นายกรัฐมนตรียังเห็นชอบ ในประเด็นบริหารการสื่อสารในภาวะวิกฤต ตั้ง ศูนย์บริหารสื่อสารในภาวะวิกฤต มี....👇
✏อนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าศูนย์ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เป็นเลขานุการ มี
✏เสรี วงษ์มณฑา และ เกษมสันต์ วีรกุล เป็นบรรณาธิการบริหาร
เพื่อวางกลยุทธ์สื่อสาร ศบค. โดยขอให้ทุกฝ่ายเร่งสร้างการรับรู้และสร้างความเข้าใจกับประชาชน ทั้งในรูปแบบคู่มือประชาชน คู่มือชุมชน ช่องทางติดต่อทั้งโทรศัพท์ สายด่วน ไลน์ แอปพลิเคชัน เว็บไซต์ ของหน่วยงาน เพื่อให้ประชาชนทราบการปฏิบัติตัวตั้งแต่เริ่มติดเชื้อ สิ่งที่สังคมต้องการ คือข้อมูลที่ถูกต้องเป็นจริง มีความเป็นเอกภาพ โดยเฉพาะการนำเสนอข้อมูลทางวิชาการ ทั้งเรื่องวัคซีน ยาและเวชภัณฑ์ ยาสมุนไพร สร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน ทุกหน่วยต้องแก้ข่าวบิดเบือน (Fake News) ให้ทันท่วงที
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า การบริหารสถานการณ์โควิด-19 จะเป็นหัวข้อสำคัญในการอภิปรายไม่ไว้วางใจจึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมการดำเนินงานของรัฐบาลทั้งมาตรการควบคุมและป้องกัน การจัดหาและกระจายวัคซีน ยา เวชภัณท์ มาตรการช่วยเหลือเยียวยา มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพื่อให้นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ใช้โอกาสนี้ชี้แจงให้ประชาชนรับทราบข้อเท็จจริง และต้องมีการสื่อสารลงไปในระดับพื้นที่ด้วย
https://www.sanook.com/news/8427746/
ศบค.ไฟเขียว 3 จังหวัดนำร่อง รับนักท่องเที่ยวจากภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์
16 ส.ค.64 - นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงผลการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ว่า ที่ประชุมเห็นชอบ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เสนอ เปิดพื้นที่นำร่องรับนักท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต เชื่อมต่อจังหวัดนำร่องอื่น( 7 + 7 ) ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ที่ดำเนินการไปแล้วในช่วงวันที่1ก.ค.ที่ผ่านมา โดยให้นักท่องเที่ยวที่เข้าร่วมโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ สามารถเดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยง ระหว่างจังหวัดภูเก็ต กับพื้นที่นำร่องอื่น ตั้งแต่วันที่16 ส.ค. เป็นต้นไป ประกอบด้วย ....👇
1.จ.สุราษฎร์ธานี ที่เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า
2.จ.กระบี่ ที่เกาะพีพี เกาะไหง ไร่เล
และ 3.จ.พังงา ที่เขาหลัก เกาะยาวน้อย เกาะยาวใหญ่
ซึ่งนักท่องเที่ยวที่อยู่ในภูเก็ต 7 วัน และตรวจไม่พบเชื้อ สามารถเดินทางทั้งทางบก ทางน้ำ และขึ้นเครื่องไป จ.สุราษฎร์ธานี พำนักใน 3 จังหวัด ได้อีก 7 วัน
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า สำหรับรายละเอียดการปฏิบัติของนักท่องเที่ยว ระหว่างพำนักและก่อนออกจาก จ.ภูเก็ตไปพื้นที่อื่น ให้เป็นไปโดยเคร่งครัด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับคนไทยให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปพักผ่อน ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวต้องพักในภูเก็ตอย่างน้อย 7 คืนและตรวจเชื้อด้วยวิธี RT-PCR ครั้งที่สองในวันที่ 6 หรือ 7 และได้รับการส่งโอนย้ายจากภูเก็ต ไปพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งใน 3 จังหวัดและพำนักอย่างน้อย 7 และต้องตรวจ RT-PCR ครั้งที่ 3 ในวันที่ 12-13 ไม่พบเชื้อ จึงรับการอนุญาตจึงสามารถเดินทางจากพื้นที่นำร่องไปจังหวัดอื่นของประเทศได้แสดงหลักฐานว่าได้พำนักในพื้นที่นำร่องและที่ จ.ภูเก็ต อย่างน้อย 14 วัน
https://www.thaipost.net/main/detail/113530
ศบค. อนุมัติแลกวัคซีนกับภูฏาน พร้อมเห็นชอบรับบริจาคยาช่วยผู้ป่วยหนักจากเยอรมนี
16 ส.ค.64 - นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงผลการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ว่า ในการรับความช่วยเหลือด้านการแพทย์และสาธารณสุขจากต่างประเทศ ในที่ประชุมศบค. อนุมัติขอค่าใช้จ่ายในการขนส่ง และภาษีนำเข้าส่งออก ในการแลกวัคซีนแอสตราเซเนการะหว่างรัฐบาลภูฏานกับรัฐบาลไทย หรือการ swap วัคซีน ที่เมื่อได้มาแล้วจะต้องส่งคืนในภายหลัง ประมาณ 1.3-1.5 แสนโดส
นอกจากนี้ ที่ประชุมศบค. ยังได้เห็นชอบการรับบริจาคยา Monoclonal antiboby (Casirivimab/Imdevimab) จากกระทรวงสาธารณสุข ประเทศเยอรมนี จำนวน 1,000- 2,000 ชุด เป็นยารักษาในกลุ่มผู้ป่วยหนักมาก ซึ่งจะช่วยลดจำนวนผู้ป่วยหนักและเสียชีวิตได้ถึงร้อยละ 50 ถึง 70 โดยได้รับการขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการองค์การอาหารและยา (อย.) เรียบร้อยแล้ว โดยจะนำทั้งสองเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป
https://www.thaipost.net/main/detail/113515
ตอนนี้ลุงตู่พาศบค.ลุยงานเดินหน้าอย่างไม่รอใครแล้ว
เพื่อลดโควิดลงให้ได้ เพื่อให้คนไทยเข้าใจรับรู้ความจริง เพื่อเศรษฐกิจเดินไปข้างหน้าในไตรมาสที่ 3 มีจีดีพีสูงขึ้น
นายกฯลุงตู่สู้ๆนะคะ เชียร์ไม่เลิกค่ะ....
💛มาลาริน/วันนี้ลุงตู่ประชุมศบค.ได้งานออกมามากเลยค่ะ..ตั้งศูนย์สื่อสารในภาวะวิกฤต/ไฟเขียว3จว.รับ นทท./แลกเปลี่ยนวัคซีน
เวลา 13.00 น. วันที่ 16 ส.ค. 2564 ที่ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) หรือ ศบค. ครั้งที่ 12/2564 ผ่านระบบ Video Conference โดยผ่อนคลายกิจกรรมให้เปิดธนาคาร/สถาบันการเงินในห้างได้ เพิ่มการตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อโดยใช้ ATK ใน กทม. และปริมณฑล เน้นรัฐและเอกชนทำงานที่บ้าน Work from home ยังคงห้ามออกนอกเคหสถาน เวลา 21.00-04.00 น. ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 29 จังหวัดถึงสิ้นเดือน ส.ค. นี้
นายกรัฐมนตรียังเห็นชอบ ในประเด็นบริหารการสื่อสารในภาวะวิกฤต ตั้ง ศูนย์บริหารสื่อสารในภาวะวิกฤต มี....👇
✏อนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักรัฐมนตรี เป็นหัวหน้าศูนย์ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เป็นเลขานุการ มี
✏เสรี วงษ์มณฑา และ เกษมสันต์ วีรกุล เป็นบรรณาธิการบริหาร
เพื่อวางกลยุทธ์สื่อสาร ศบค. โดยขอให้ทุกฝ่ายเร่งสร้างการรับรู้และสร้างความเข้าใจกับประชาชน ทั้งในรูปแบบคู่มือประชาชน คู่มือชุมชน ช่องทางติดต่อทั้งโทรศัพท์ สายด่วน ไลน์ แอปพลิเคชัน เว็บไซต์ ของหน่วยงาน เพื่อให้ประชาชนทราบการปฏิบัติตัวตั้งแต่เริ่มติดเชื้อ สิ่งที่สังคมต้องการ คือข้อมูลที่ถูกต้องเป็นจริง มีความเป็นเอกภาพ โดยเฉพาะการนำเสนอข้อมูลทางวิชาการ ทั้งเรื่องวัคซีน ยาและเวชภัณฑ์ ยาสมุนไพร สร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน ทุกหน่วยต้องแก้ข่าวบิดเบือน (Fake News) ให้ทันท่วงที
โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า การบริหารสถานการณ์โควิด-19 จะเป็นหัวข้อสำคัญในการอภิปรายไม่ไว้วางใจจึงขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวบรวมการดำเนินงานของรัฐบาลทั้งมาตรการควบคุมและป้องกัน การจัดหาและกระจายวัคซีน ยา เวชภัณท์ มาตรการช่วยเหลือเยียวยา มาตรการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เพื่อให้นายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี ใช้โอกาสนี้ชี้แจงให้ประชาชนรับทราบข้อเท็จจริง และต้องมีการสื่อสารลงไปในระดับพื้นที่ด้วย
https://www.sanook.com/news/8427746/
ศบค.ไฟเขียว 3 จังหวัดนำร่อง รับนักท่องเที่ยวจากภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์
16 ส.ค.64 - นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงผลการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ว่า ที่ประชุมเห็นชอบ ตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เสนอ เปิดพื้นที่นำร่องรับนักท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต เชื่อมต่อจังหวัดนำร่องอื่น( 7 + 7 ) ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ที่ดำเนินการไปแล้วในช่วงวันที่1ก.ค.ที่ผ่านมา โดยให้นักท่องเที่ยวที่เข้าร่วมโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ สามารถเดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยง ระหว่างจังหวัดภูเก็ต กับพื้นที่นำร่องอื่น ตั้งแต่วันที่16 ส.ค. เป็นต้นไป ประกอบด้วย ....👇
1.จ.สุราษฎร์ธานี ที่เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า
2.จ.กระบี่ ที่เกาะพีพี เกาะไหง ไร่เล
และ 3.จ.พังงา ที่เขาหลัก เกาะยาวน้อย เกาะยาวใหญ่
ซึ่งนักท่องเที่ยวที่อยู่ในภูเก็ต 7 วัน และตรวจไม่พบเชื้อ สามารถเดินทางทั้งทางบก ทางน้ำ และขึ้นเครื่องไป จ.สุราษฎร์ธานี พำนักใน 3 จังหวัด ได้อีก 7 วัน
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า สำหรับรายละเอียดการปฏิบัติของนักท่องเที่ยว ระหว่างพำนักและก่อนออกจาก จ.ภูเก็ตไปพื้นที่อื่น ให้เป็นไปโดยเคร่งครัด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับคนไทยให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปพักผ่อน ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวต้องพักในภูเก็ตอย่างน้อย 7 คืนและตรวจเชื้อด้วยวิธี RT-PCR ครั้งที่สองในวันที่ 6 หรือ 7 และได้รับการส่งโอนย้ายจากภูเก็ต ไปพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งใน 3 จังหวัดและพำนักอย่างน้อย 7 และต้องตรวจ RT-PCR ครั้งที่ 3 ในวันที่ 12-13 ไม่พบเชื้อ จึงรับการอนุญาตจึงสามารถเดินทางจากพื้นที่นำร่องไปจังหวัดอื่นของประเทศได้แสดงหลักฐานว่าได้พำนักในพื้นที่นำร่องและที่ จ.ภูเก็ต อย่างน้อย 14 วัน
https://www.thaipost.net/main/detail/113530
ศบค. อนุมัติแลกวัคซีนกับภูฏาน พร้อมเห็นชอบรับบริจาคยาช่วยผู้ป่วยหนักจากเยอรมนี
16 ส.ค.64 - นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษก ศบค. แถลงผลการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ว่า ในการรับความช่วยเหลือด้านการแพทย์และสาธารณสุขจากต่างประเทศ ในที่ประชุมศบค. อนุมัติขอค่าใช้จ่ายในการขนส่ง และภาษีนำเข้าส่งออก ในการแลกวัคซีนแอสตราเซเนการะหว่างรัฐบาลภูฏานกับรัฐบาลไทย หรือการ swap วัคซีน ที่เมื่อได้มาแล้วจะต้องส่งคืนในภายหลัง ประมาณ 1.3-1.5 แสนโดส
นอกจากนี้ ที่ประชุมศบค. ยังได้เห็นชอบการรับบริจาคยา Monoclonal antiboby (Casirivimab/Imdevimab) จากกระทรวงสาธารณสุข ประเทศเยอรมนี จำนวน 1,000- 2,000 ชุด เป็นยารักษาในกลุ่มผู้ป่วยหนักมาก ซึ่งจะช่วยลดจำนวนผู้ป่วยหนักและเสียชีวิตได้ถึงร้อยละ 50 ถึง 70 โดยได้รับการขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการองค์การอาหารและยา (อย.) เรียบร้อยแล้ว โดยจะนำทั้งสองเรื่องนี้เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ต่อไป
https://www.thaipost.net/main/detail/113515
ตอนนี้ลุงตู่พาศบค.ลุยงานเดินหน้าอย่างไม่รอใครแล้ว
เพื่อลดโควิดลงให้ได้ เพื่อให้คนไทยเข้าใจรับรู้ความจริง เพื่อเศรษฐกิจเดินไปข้างหน้าในไตรมาสที่ 3 มีจีดีพีสูงขึ้น
นายกฯลุงตู่สู้ๆนะคะ เชียร์ไม่เลิกค่ะ....