JJNY : มธ.จ่อนำเข้าวัคซีน│เมียผอ.รพ.-สามีหน.เภสัชได้ไฟเซอร์│พิจารณ์จ่อเสนอตัดงบเรือสนับสนุนเรือดำน้ำ│ทีทีบีหั่นGDPโตใกล้

ฮือฮา! มธ.จ่อนำเข้าวัคซีน สภามหาวิทยาลัยเปิดช่อง ทำนองเดียวกับราชวิทยาลัยฯ
https://www.matichon.co.th/covid19/news_2887983
 
มธ.จ่อนำเข้าวัคซีน สภามหาวิทยาลัยมีมติเปิดช่อง เหมือนกรณีราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์
 
เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม นายอานนท์ มาเม้า ผู้ช่วยอธิการบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย โพสต์เฟซบุ๊ก Arnon Mamout ระบุสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีมติเอกฉันท์ออกข้อบังคับ ภารกิจและอำนาจหน้าที่ของ มธ.ให้นำเข้า ขึ้นทะเบียน ยา วัคซีน เวชภัณฑ์ได้ ทำนองเดียวกับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์
  
โดยระบุว่า 
 
ข่าวดีสำหรับประชาชนและสังคมไทยครับ 
 
วันนี้ สภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีมติโดยเอกฉันท์ให้ออกข้อบังคับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ว่าด้วยการจัดการบริการทางการแพทย์และการสาธารณสุขในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ.2564
 
เพื่อประกาศภารกิจและอำนาจหน้าที่ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เกี่ยวกับการให้บริการทางการแพทย์และการสาธารณสุขในสถานการณ์โควิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดำเนินการทั้งในประเทศและต่างประเทศเกี่ยวกับการจัดหา นำเข้า หรือขึ้นทะเบียนบรรดาสิ่งจำเป็นทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นยา วัคซีน เวชภัณฑ์ เป็นการประกาศในทำนองเดียวกับราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ครับ
 
เชื่อว่าข้อบังคับนี้จะเป็นหมุดหมายที่ชัดเจนว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ขอประกาศตัวเคียงข้างประชาชนในการฝ่าฟันสถานการณ์โรคระบาดร้ายแรงนี้ ด้วยพละกำลังที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีครับ
 

 
โผล่อีก! เมีย ผอ.รพ.-สามี หน.เภสัช ได้ไฟเซอร์ ผอ.โร่แจงแต่ยังไม่เคลียร์ สสจ.โคราช สั่งสอบ
https://www.khaosod.co.th/covid-19/news_6566231

โผล่อีก! เมีย ผอ.รพ.-สามี หน.เภสัช ได้ไฟเซอร์ ผอ.โร่แจง แต่ยังไม่เคลียร์ รับส่งชื่อไปจริง สสจ.โคราช สั่งสอบ หากเหตุผลไม่เพียง ขู่เจอโทษทางวินัยแน่
 
จากกรณีโลกโซเชียลแชร์เอกสารรายชื่อผู้ได้รับวัคซีนไฟเซอร์ ของร.พ.เฉลิมพระเกียรติ อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.นครราชสีมา โดยระบุข้อความว “กรณีวัคซีนไฟเซอร์ พบว่า ภรรยา ผอ.รพ. สามีหัวหน้าฝ่ายเภสัชกรรม ได้สิทธิ์ฉีดวัคซีน ทั้งที่ไม่ได้เป็นบุคลากรด่านหน้า คนใน รพ.ก็ไม่กล้าพูด เพราะเป็นครอบครัวผู้บังคับบัญชา วัคซีนหล่นหายตามทางก็คนในนี้แหละ
 
ล่าสุดวันที่ 16 ส.ค.64 ผู้สื่อข่าวเดินทางไปยัง รพ.เฉลิมพระเกียรติ พบกับ นพ.แชมป์ สุทธิศรีศิลป์ ผอ.ร.พ.เฉลิมพระเกียรติ พร้อมคณะผู้บริหาร และนางปาณิสรา ปัถยาวิชญ์ หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรมและคุ้มครองผู้บริโภค ที่ตกเป็นข่าวในโลกโซเชียล โดยนำเอกสารหลักฐานรายชื่อบุคลากรการแพทย์ด่านหน้าที่เสนอไปให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) นครราชสีมา พิจารณาจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์ มายืนยันความโปร่งใสด้วย

นพ.แชมป์ กล่าวว่า หลังจาก สสจ.นครราชสีมาแจ้งมาที่โรงพยาบาล ให้สำรวจบุคลากรทางการแพทย์ในพื้นที่รับผิดชอบทั้งของรพ.เฉลิมพระเกียรติ, รพ.สต., คลินิกเอกชน และสถานประกอบการทางการแพทย์ ว่ามีผู้ประสงค์จะฉีดวัคซีนไฟเซอร์จำนวนกี่ราย ซึ่งรพ.เฉลิมพระเกียรติ สำรวจและได้รายชื่อจำนวน 138 คน
 
แบ่งเป็นบุคลากรทางการแพทย์ รพ.เฉลิมพระเกียรติ 135 คน และบุคลากรทางการแพทย์ในคลินิกเอกชน 3 คน ในจำนวนนี้มีเภสัชกรร้านขายยาเอกชน สามีของนางปาณิสรา และภรรยาของตน ซึ่งทำงานอยู่ในคลินิกเอกชนรวมอยู่ด้วย
 
จากนั้นได้ส่งรายชื่อให้ สสจ.นครราชสีมาพิจารณาเพื่อจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์มาให้ ต่อมา สสจ.นครราชสีมาได้จัดสรรวัคซีนไฟเซอร์มาให้รพ. 144 โดส โดยให้เกินมา 6 โดสจากที่เสนอชื่อไป ทางรพ.จึงนำวัคซีนที่เกินมา ฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ของรพ.ซึ่งกำลังตั้งท้อง จำนวน 2 ราย บุคลากรที่ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนใดเลยอีก 3 ราย และบุคลากรที่จองวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเข็มที่ 3 แต่ยังไม่ได้ฉีดอีก 1 ราย เนื่องจากต้องดูแลใกล้ชิดผู้ป่วยโควิด-19 จึงจำเป็นต้องฉีดเข็ม 3 เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันไว้ก่อน

ทั้งนี้ ยืนยันว่าได้สำรวจบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าตามเกณฑ์ที่ สสจ.นครราชสีมา ทุกประการ และได้รับการจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์มาให้ตามที่เสนอชื่อไปทุกราย ส่วนวัคซีนที่ได้รับจัดสรรเกินมา ก็พิจารณาฉีดให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าตามความเหมาะสมทุกราย จึงไม่ได้ไปเบียดเบียนวัคซีนบุคลากรทางการแพทย์คนอื่นๆ เลย
 
ส่วนบุคลากรทางการแพทย์ รพ.เฉลิมพระเกียรติ มีอยู่ทั้งหมด 185 คน ฉีดครบ 2 เข็มเกือบทุกคนแล้ว เหลือเพียง 5 คน รอฉีดซิโนฟาร์ม วันที่ 20 ส.ค.  ขณะเดียวกัน รพ.ก็มีผู้ป่วยโควิด-19 อยู่ในการดูแลกว่า 30 คน และมีมาเพิ่มต่อเนื่อง ดังนั้น บุคลากรทางการแพทย์ทุกคนก็ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเหน็ดเหนื่อยและเสี่ยงอันตราย จึงอยากให้กำลังใจทุกคนปฏิบัติหน้าที่อย่างสุดความสามารถ และวอนสังคมอย่านำเรื่องเท็จมาโจมตีกันจนเสียขวัญกำลังใจในช่วงสถานการณ์วิกฤติเช่นนี้
 
ด้านนพ.นรินทร์รัชต์ พิชญคามินทร์ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา เปิดเผยว่า เรื่องนี้ตนเพิ่งรับทราบ และได้สั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์พิจารณาจัดสรรวัคซีนไฟเซอร์นั้น ย้ำว่าต้องจัดสรรให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าก่อน ส่วนบุคลากรที่อยู่ในคลินิกเอกชน ตอนนี้มีร้องขอมาเป็นจำนวนมาก
 
ดังนั้น หากมีวัคซีนเพียงพอก็อาจจะพิจารณาให้ในล็อตที่ 2 ซึ่งกรณีดังกล่าวต้องรอทางผู้บริหาร รพ.เฉลิมพระเกียรติ ชี้แจงก่อนว่ามีความจำเป็นมากเพียงใดที่นำวัคซีนไฟเซอร์ไปฉีดให้บุลคลากรในคลินิกเอกชน หากมีเหตุผลไม่เพียงพอ ก็จะต้องดำเนินการเอาผิดทางวินัยต่อไป
 
สำหรับวัคซีนไฟเซอร์ที่กระทรวงสาธารณสุขจัดมาให้ จ.นครราชสีมาในล็อตแรก 15,000 โดส แต่จากการสำรวจบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลทั่วทั้งจังหวัด มีประมาณ 17,000 คน ซึ่งบางส่วนฉีดวัคซีนแอสตร้าเซนเนก้าเข็มที่ 3 ไปแล้ว ดังนั้น จึงจัดสรรให้โรงพยาบาลตามรายชื่อที่เสนอมา หากเหลือก็นำไปฉีดให้บุคลากรด่านหน้า ที่ไม่ใช่บุคลากรในโรงพยาบาลได้
 
ส่วนวัคซีนไฟเซอร์ล็อต 2 จะมาช่วง 2-3 วันนี้ ประมาณ 5,000 โดส ซึ่งจะส่งให้กับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าที่เสนอชื่อมาในล็อตที่ 2 ซึ่งจะพิจารณารวมทั้งบุคลากรในคลินิกเอกชนด้วย


 
“พิจารณ์”จ่อเสนอตัดงบเรือสนับสนุนเรือดำน้ำ 519 ล้านบาท
https://www.dailynews.co.th/news/166346/
 
“พิจารณ์” จ่อเสนอตัดงบเรือสนับสนุนเรือดำน้ำ 519 ล้านบาท เผยพบความผิดปกติจัดซื้อ เป็นเงินจากงวดจ่ายเรือดำน้ำลำที่ 1 ในแผนงบปี 64  
 
เมื่อวันที่ 16 ส.ค. นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล เปิดเผยว่า ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ  พ.ศ.2565 วาระ 2-3 ที่กำลังจะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้านี้จะขอเสนอตัดงบประมาณในโครงการที่ดูผิดปกติที่เกี่ยวเนื่องกับการจัดซื้อเรือดำน้ำ เนื่องจากในการตรวจสอบงบจัดซื้ออาวุธส่วนใหญ่มักให้ความสนใจเฉพาะรายการใหญ่อย่างเรือดำน้ำ แต่ความจริงแล้วมีงบอีกหลายตัวที่พบความผิดปกติไม่แพ้กัน ยกตัวอย่างเช่นโครงการจัดหาเรือสนับสนุนเรือดำน้ำ (LPD) ซึ่งมี 2 ระยะ ระยะที่ 1 มีการอนุมัติงบประมาณ 4,385 ล้านบาท ระยะที่สองอนุมัติงบประมาณ 1,800 ล้านบาท รวม 6,185 ล้านบาท ผูกพันงบประมาณ 2562-2565 
 
“ความผิดปกติที่พบคือโครงการเรือ LPD ระยะที่ 1 ในปี 62-64 ที่ผ่านมาแล้ว วงเงินตามที่อนุมัติคือ 3,215 ล้านบาท แต่กลับมีการเบิกจ่ายงบประมาณจริง 3,734.3 ล้านบาท หรือเกินมา 519.3 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเอาเงินมาจากงวดจ่ายเรือดำน้ำลำที่ 1 ที่จ่ายไม่ครบตามแผน ในปีงบ 2564” นายพิจารณ์ กล่าว  
 
นายพิจารณ์ กล่าวอีกว่า ในปี 65 กองทัพเรือยังคงของบประมาณตามกรอบเดิม คืองวดสุดท้าย 1,170 ล้านบาท ทำให้วงเงินรวมที่ได้ในโครงการนี้เป็น 4,904 ล้านบาท สูงกว่าที่อนุมัติโครงการไว้ตอนแรก ซึ่งมีการชี้แจงจากสำนักงบประมาณว่า เงินที่เกิน 519.30 ล้านบาท กองทัพเรือสามารถเสนอขอมาที่สำนักงบเพื่อโอนเปลี่ยนแปลงกลับไปยังโครงการที่โอนออกมา ซึ่งก็คือโครงการเรือดำน้ำลำที่ 1 แต่ในทางปฏิบัติ ไม่มีหลักประกันใดเลยว่า กองทัพเรือ จะโอนเปลี่ยนแปลงไปที่โครงการเรือดำน้ำลำที่ 1 เพราะเป็นอำนาจของกองทัพเรือที่จะทำคำขอโอนเปลี่ยนแปลงเอง ไม่ได้ถูกบังคับตามกรอบกฎหมายใดๆ 
 
นายพิจารณ์ กล่าวว่า ต้องจับตาและติดตามดูว่าในปีงบประมาณ 2565 กองทัพเรือจะเอางบที่ตั้งเกินมานี้คืนกลับไปให้งบเรือดำน้ำหรือไม่ เพราะกรณีแบบนี้เคยเกิดขึ้นแล้วในปี 2563 ที่มีการโอนเปลี่ยนแปลงงบประมาณไปซื้อยานเกราะสะเทินน้ำสะเทินบก ทำให้โครงการจัดซื้อนี้ไม่เคยผ่านการตรวจสอบของสภาผู้แทนราษฎรเลย ในสถานการณ์ที่ยากลำบากเช่นนี้ กองทัพยังไม่พยายามรีดไขมัน ปรับลดงบประมาณที่ไม่จำเป็นซึ่งมีอีกเป็นจำนวนมาก ตนจึงขอเสนอตัดงบประมาณส่วนที่ขอเกินมานี้ในการพิจารณางบประมาณวาระ 2-3 ที่กำลังจะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้านี้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่