พฤติกรรมของผู้สมัครแบบนี้ HR ไม่ปลื้ม (พาร์ทสัมภาษณ์งาน)

HR หรือคนที่เป็นหัวหน้าทีมต่าง ๆ ที่ต้องคัดเลือกคนเข้าทำงานนั้นต้องเจอกับผู้สมัครเป็นจำนวนมาก
กระทู้นี้ JobThai Tips จะพาไปดูว่าพฤติรรมตอนสัมภาษณ์งานแบบไหนที่ HR ไม่ปลื้ม 
 
มารยาทพื้นฐานไม่มี สายจนคนสัมภาษณ์ต้องรอ 
เรื่องมารยาทคือสิ่งใกล้ตัวที่หลายคนเผลอมองข้าม เช่น กรณี HR เคยโทรมาคุยกับเราแล้ว และเขาโทรมาหาเราอีกครั้งแต่เป็น Missed Call แล้วไม่โทรกลับ เพราะไม่รู้ว่าเป็นสายจากใคร หรือพูดคุยยังไม่ทันจบและบอกลาให้เรียบร้อยก็รีบวางหูไปซะงั้น รวมถึงหนักสุดคือวันสัมภาษณ์ก็มาสายจน HR หรือคนที่สัมภาษณ์ต้องนั่งรอ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เสียโอกาสในการได้งานเพราะเรื่องผิดพลาดพวกนี้ เราก็ต้องระมัดระวังให้ดี เช่น ถ้า HR เคยโทรมาแล้ว เราก็ควรที่จะบันทึกเบอร์ไว้ โดยใส่ทั้งชื่อและบริษัท นอกจากจะทำให้เรารู้ว่าใครโทรมาเมื่อเห็น Missed Call และสามารถโทรกลับได้แล้ว เราก็จะสามารถติดต่อเขาได้ทันทีหากมีเหตุฉุกเฉินหรือต้องการสอบถามข้อมูลเรื่องต่าง ๆ เพิ่มเติม ส่วนเวลาคุยธุระกับ HR ก็ควรไปมาลาไหว้กล่าวขอบคุณทุกครั้งก่อนวางสาย และที่สำคัญสุด ๆ คือห้ามสายเด็ดขาดเวลาสัมภาษณ์งาน ไม่ว่าจะเป็นการสัมภาษณ์ที่บริษัทหรือสัมภาษณ์งานแบบออนไลน์ แม้ว่าจะสองสามนาทีก็ตาม เราควรแสดงความตรงต่อเวลาให้เขาเห็นดีกว่า 
 
พาพ่อแม่มาตามติดการสัมภาษณ์ถึงขอบสนาม 
เข้าใจว่าเด็กจบใหม่อาจจะยังใหม่กับการสัมภาษณ์งาน รวมถึงบางครั้งผู้ปกครองก็อาจจะมีความเป็นห่วง อยากรู้ว่าลูกไปสัมภาษณ์ที่ไหน บริษัทเป็นยังไง แต่การพาพ่อแม่พี่น้องมาเฝ้าในวันสัมภาษณ์ เกาะติดทุกสถานการณ์ ชนิดที่ยืนเกาะประตูไม่ห่างนั้นเป็นเรื่องไม่สมควรอย่างมาก มันทำให้ HR รู้สึกอึดอัด และไม่เป็นส่วนตัวได้เหมือนกัน รวมถึงการทำแบบนี้ยังบ่งบอกให้เห็นว่าเรายังไม่โตพอที่จะทำอะไรคนเดียว รับผิดชอบตัวเองไม่ได้ และถูกมองไปอีกว่าเรานั้นอาจจะมีปัญหาในการทำงาน ไม่สามารถที่จะทำงานที่ได้รับมอบหมายได้อย่างดี เพราะแค่มาสัมภาษณ์งานยังต้องมีคนมาเป็นเพื่อนคอยช่วยเหลือด้วยเลย ดังนั้นเมื่อเราต้องไปสัมภาษณ์ที่บริษัท เราควรมาสัมภาษณ์คนเดียว หรือถ้าพ่อแม่ต้องการมาด้วยจริง ๆ ก็ให้พวกท่านไปรอที่อื่นในละแวกใกล้ ๆ เช่น ร้านกาแฟ ดีกว่าเข้ามาเฝ้าถึงที่บริษัท 
  
เล่าประวัติส่วนตัวยาวจนง่วง แต่ประวัติการทำงานสั้นนิดเดียว 
ผู้สมัครหลายคนเล่าประวัติส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานซะยืดยาว แต่พอถึงคราวประวัติการทำงานกลับบอกสั้น ๆ จำไว้ว่า HR สนใจว่าเราทำงานอะไรมามากกว่าอยากรู้ว่าเรามีพี่น้องกี่คน ดังนั้นบอกประวัติส่วนตัวคร่าว ๆ หรือเล่าเฉพาะที่ส่งเสริมกับตำแหน่งที่สมัครก็พอ และมาจัดเต็มที่ประสบการณ์การทำงาน เอาให้ละเอียดไปเลยว่าเราทำอะไร ที่ไหน ยังไง ส่วนระยะเวลาการทำงานของแต่ละที่ ถ้าทำไม่กี่เดือนแต่มั่นใจว่าได้เรียนรู้ ได้ทำโปรเจกต์สำคัญก็บอกไปได้ แต่ต้องบอกไปด้วยว่าเราได้อะไรจากงานนั้น รวมถึงเราต้องตอบเหตุผลที่ลาออกจากที่นั่นให้ชัดเจนด้วย หรือถ้าหากว่ามีระยะเวลาที่เราเว้นว่างจากการทำงานไป ตรงนี้ผู้สมัครก็อาจจะถามเช่นกัน เราก็ต้องเตรียมคำตอบเอาไว้ 
  
ถามคำตอบคำ พูดเสียงเบาเหมือนคนไม่มั่นใจ 
ผู้สมัครบางคนเวลาถูกสัมภาษณ์จะทำประหนึ่งเหมือนถูกสอบปากคำจากตำรวจ ตื่นเต้น กลัว ประหม่า และสิ่งเหล่านี้ทำให้เวลาตอบนั้นเสียงเบาราวกับคนไม่มั่นใจ เวลาสัมภาษณ์เราควรพูดจาฉะฉานชัดเจน ให้เขาเห็นว่าเราพกความมั่นใจมามากแค่ไหน หรือบางคนอาจเป็นคนประเภทที่พูดน้อยโดยนิสัย ทำให้เวลาสัมภาษณ์กลายเป็นว่าถามคำตอบคำ ซึ่งการทำแบบนี้อาจทำให้เสียโอกาสในขายตัวเองอย่างมาก ดังนั้นหากคนสัมภาษณ์ถามคำถามอะไรมาเมื่อตอบคำถามแล้ว เราควรจะอธิบาย้เพิ่มเติมด้วย ไม่ต้องรอให้เขาถามจี้ต่อจากทุกคำตอบของเรา อะไรที่เล่าแล้วมีประโยชน์ หรือทำให้เห็นข้อดีอะไรของเราก็นำเสนอเขาไปเลย รวมถึงถ้าคนสัมภาษณ์ถามว่าเราอยากถามอะไรเพิ่มเติมไหม อย่าเพิ่งบอกว่าไม่มี แต่ให้ถามถึงข้อมูลที่ตัวเองอยากรู้เกี่ยวกับบริษัทหรือการทำงานนี้ให้มากทีสุด เพื่อเขาจะได้เห็นความกระตือรือร้นอยากทำงานของเรา และเราเองก็จะได้เอาข้อมูลเหล่านั้นมาพิจารณาด้วยว่าที่นี่เหมาะกับเราไหม 
  
ไม่รู้คำตอบแต่ขอมั่วไว้ก่อน 
การเจอคำถามที่ตอบไม่ได้เป็นเรื่องธรรมดาในการสัมภาษณ์ แต่ผู้สมัครบางคนแม้ไม่รู้คำตอบก็พยายามจะตอบแบบมั่ว ๆ ไปก่อน ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น ปัญหาอาจจะตามมาได้ เพราะเมื่อเราตอบมั่วไปแล้ว เราก็ต้องมั่วไปเรื่อย ๆ เพราะคนสัมภาษณ์เขาก็อาจจะถามต่อให้เราจนมุมเลยก็ได้ วิธีแก้ไขคือ ถ้าเราไม่รู้คำตอบก็บอกออกไปตรง ๆ แต่ไม่ใช่ตอบว่า “ไม่รู้” ออกไปห้วน ๆ แล้วจบ ควรจะตอบว่าไม่แน่ใจคำตอบเท่าไหร่ หรืออาจจะจำได้ไม่หมด และให้ต่อท้ายด้วยการบอกสิ่งที่ตัวเองรู้ที่พอจะเกี่ยวข้องกับคำถามเขาให้ได้มากที่สุดแทน ถ้าเราทำได้ดี อาจจะทำให้คนสัมภาษณ์เห็นถึงวิธีการรับมือและทักษะการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าของเราด้วย 
  
ต่อว่าบริษัทที่เราทำงานให้ฟังอย่างออกรส 
เมื่อถูกถามถึงการฝึกงานในช่วงมหาวิทยาลัยหรือการทำงานในบริษัทที่ทำอยู่และเคยทำมา หลายคนตกม้าตายกับการตอบด้วยทัศนคติในแง่ลบ เช่น ที่ฝึกงานสอนงานไม่โอเค ไม่เคยสอนเรื่องที่ผู้สัมภาษณ์ถาม บริษัทที่เคยทำใช้งานหนักมาก หัวหน้าไม่ดี สวัสดิการแย่ หรือเล่าเรื่องราวในแง่ลบของบริษัทที่เราอยู่ให้ผู้สัมภาษณ์ฟังอย่างออกรส ซึ่งการเผาบ้านตัวเองแบบนี้นอกจากจะทำให้เราดูเป็นคนทัศนคติไม่ดีแล้ว คนสัมภาษณ์จะเกิดคำถามขึ้นมาในใจว่าเมื่อคนคนนี้ลาออกไปหลังจากที่เข้ามาทำงานกับเขาแล้ว จะเอาบริษัทไปด่าให้คนอื่นฟังต่อเหมือนที่กำลังทำอยู่ไหม ดังนั้นสิ่งที่เราต้องจำให้ขึ้นใจคือ หลีกเลี่ยงการตอบที่แสดงให้เห็นถึงทัศนคติแง่ลบ การพูดถึงคนอื่นในทางเสียหาย แล้วพูดถึงประสบการณ์ดี ๆ ที่ได้รับจะดีกว่า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่