สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
ในช่วงวัยเรียน ตอนผมอายุ 2 ขวบ แม่ผมให้ผมไปเรียนที่เนอเซอรี่สำหรับเด็กพิเศษ โดยมีครูสอนเป็นคนญี่ปุ่นที่พูดไทยได้ การสอนของครูคนนี้เป็นการเน้นการทำกิจกรรมเป็นส่วนใหญ่ จนแม่เห็นว่าผมมีพัฒนาการดีขึ้น คุยกับหมอ หมอบอกว่าสามารถส่งเข้าเรียนร่วมกับเด็กปกติได้ ตอนช่วงที่ผมเรียนกับเด็กปกติ ผมมีปัญหาตรงที่ว่า เป็นคนมีโลกส่วนตัว ทำงานกลุ่มก็ชอบทำคนเดียว ไม่ชอบเข้าร่วมกิจกรรมกับเพื่อน โดนล้อ โดนแกล้ง แต่ผมโชคดีที่มีแม่ และอาจารย์ที่เข้าใจผม ช่วยเหลือ และให้คำแนะนำ จนผมเริ่มปรับตัวเข้ากับเพื่อนได้ ทำงานกลุ่มร่วมกันได้ มีปัญหากับเพื่อนน้อยลง ซึ่งผมก็พยายามฟันฝ่าในช่วงวัยเรียน จนเรียนจบปริญญา และเข้ารับปริญญาในที่สุด การทำงาน ก็สามารถทำงานเข้าสังคมได้อย่างปกติ แม่ผมก็ดีใจ ภูมิใจ และก็มีตกใจด้วยว่า ไม่คิดว่าผมจะมาได้ไกลขนาดนี้ แม่ผมบอกผมอีกว่า ตอนนี้ผมปกติมาก ถึงจะไม่หายขาด แต่ก็ถือว่าดีขึ้นเยอะ
.
คนที่เป็นออทิสติกส่วนใหญ่ จะมีปัญหาในเรื่องของอารมณ์ แต่ก่อนผมมีปัญหาในเรื่องของอารมณ์เป็นอย่างมาก ทั้งโวยวาย อาละวาด ปาข้าวของ อะไรไม่ได้ดั่งใจก็โวยวาย ปาข้าวของ การจัดการกับอารมณ์ของผมเป็นการนำธรรมะที่มาจากที่แม่เปิดซีดีธรรมมะเป็นประจำ และจากอาจารย์สายธรรมท่านหนึ่ง ที่สอนให้ผมมีสติ ตามรู้ตามดู รู้เท่าทันอารมณ์ตนเอง สอนการเอาใจเขาใส่ใจเรา สอนการคิดตรึกตรองก่อนที่จะทำอะไรลงไป ถ้าเกิดทำอะไรไปโดยไม่คิด จะเกิดผลเสียอะไรบ้าง ซึ่งตรงนี้ที่ทำให้ผมเริ่มเป็นคนอารมณ์เย็นลง มีสติทุกครั้ง และไม่พุ่งใส่ใครเหมือนเมื่อก่อน
.
ทุกวันนี้ผมอยากจะบอกกับคนที่เข้ามาอ่านทั้งหลายว่า ถึงผมจะเกิดมาเป็นแบบนี้ ผมไม่เคยน้อยใจตัวเอง ไม่เคยตัดพ้อว่า ทำไมพระเจ้าต้องลงโทษเรา ไม่เคยเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร ผมอยากจะบอกว่า ผมภูมิใจในตนเอง ที่สามารถฟันฝ่าและต่อสู้กับโรคนี้ และนำมาเล่าเป็นธรรมทานให้ผู้อื่นได้รับรู้ในมุมมองของคนที่เป็นโรคนี้ แล้วหายได้ ถึงจะไม่หายขาดก็ตาม และอยากจะบอกอีกว่า คนที่เกิดมาเป็นปกติ คุณถือว่าโชคดีแล้ว ขอให้คุณหมั่นคิดดี พูดดี ทำดี รักษาใจตนให้อยู่ด้านดีตลอดไป ช่วยเหลือผู้อื่นเท่าที่จะช่วยได้(ของผมจะทำบุญให้ตามกับมูลนิธิเด็กพิเศษเป็นประจำทุกเดือน) เพราะคุณไม่รู้หรอกว่า อนาคตข้างหน้าคุณจะเป็นอย่างไร (เหมือนกับผมตอนเด็ก ที่ไม่ใครคิดว่า ผมจะกลับมาเป็นปกติ และช่วยเหลือตนเองได้ในอนาคต)
.
หลายๆคนคิดว่า คนที่เป็นออทิสติก มักจะมีปัญหาเป็นส่วนใหญ่ แต่ผมจะบอกว่า คนที่เป็นออทิสติกนั้น ก็มีข้อดีเช่นกัน เช่น เวลาที่เค้าทำอะไรแล้ว เค้าจะมีความพยายามมากกว่าปกติหลายเท่า บางคนก็ถึงกับหมกมุ่นที่จะทำบางสิ่งบางอย่างให้สำเร็จ(เหมือนคนที่เล่นเกมแล้วต้องให้ได้ No Damage เก็บ Trophy ให้ครบ ให้ได้คะแนนสูงๆ ก็จะหมกมุ่นและเล่นซ้ำๆในด่านนั้น จุดนั้นจนกว่าจะได้) ความจำดี สามารถจดจำบางสิ่งบางอย่างได้นาน และจดจำได้อย่างรวดเร็ว
.
สุดท้ายผมอยากจะบอกกับคุณแม่ทั้งหลายที่มีลูกเป็นออทิสติกว่า ขอให้คุณสู้ต่อไป อย่างน้อยคุณก็ยังมีผมคนนึงที่ฝ่าฟันมาได้ ขอให้คุณส่งพลังงานบวก และพลังงานดีๆให้กับลูกคุณให้เยอะๆ เค้าจะรับรู้ และได้รับในสิ่งดีๆได้เอง เมื่อเค้าโตขึ้น แล้วกลับมาเป็นปกติ เค้าจะเป็นคนที่รักคุณที่สุด ช่วยเหลือคุณ และจะไม่ทิ้งคุณ ในยามที่คุณลำบาก (เวลาแม่ผมอวยพร หรือเวลาที่ผมมีปัญหา แม่ผมมักจะพูดกับผมเสมอว่า พระคุ้มครอง)
.
ขอบคุณทุกๆคนนะครับที่เข้ามาอ่านจนจบ ถึงจะยาว แต่ก็อยากให้คุณได้รับรู้ในมุมมองของคนที่ไม่ปกติคนนึง กระทู้นี้อาจจะมีเนื้อหาที่ซ้ำกับกระทู้ที่แล้วบ้าง แต่กระทู้นี้เป็นการขยายเรื่องราวเพิ่มเติมของผมที่อยากให้ผู้อ่านได้รับรู้กันครับ
.
คนที่เป็นออทิสติกส่วนใหญ่ จะมีปัญหาในเรื่องของอารมณ์ แต่ก่อนผมมีปัญหาในเรื่องของอารมณ์เป็นอย่างมาก ทั้งโวยวาย อาละวาด ปาข้าวของ อะไรไม่ได้ดั่งใจก็โวยวาย ปาข้าวของ การจัดการกับอารมณ์ของผมเป็นการนำธรรมะที่มาจากที่แม่เปิดซีดีธรรมมะเป็นประจำ และจากอาจารย์สายธรรมท่านหนึ่ง ที่สอนให้ผมมีสติ ตามรู้ตามดู รู้เท่าทันอารมณ์ตนเอง สอนการเอาใจเขาใส่ใจเรา สอนการคิดตรึกตรองก่อนที่จะทำอะไรลงไป ถ้าเกิดทำอะไรไปโดยไม่คิด จะเกิดผลเสียอะไรบ้าง ซึ่งตรงนี้ที่ทำให้ผมเริ่มเป็นคนอารมณ์เย็นลง มีสติทุกครั้ง และไม่พุ่งใส่ใครเหมือนเมื่อก่อน
.
ทุกวันนี้ผมอยากจะบอกกับคนที่เข้ามาอ่านทั้งหลายว่า ถึงผมจะเกิดมาเป็นแบบนี้ ผมไม่เคยน้อยใจตัวเอง ไม่เคยตัดพ้อว่า ทำไมพระเจ้าต้องลงโทษเรา ไม่เคยเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับใคร ผมอยากจะบอกว่า ผมภูมิใจในตนเอง ที่สามารถฟันฝ่าและต่อสู้กับโรคนี้ และนำมาเล่าเป็นธรรมทานให้ผู้อื่นได้รับรู้ในมุมมองของคนที่เป็นโรคนี้ แล้วหายได้ ถึงจะไม่หายขาดก็ตาม และอยากจะบอกอีกว่า คนที่เกิดมาเป็นปกติ คุณถือว่าโชคดีแล้ว ขอให้คุณหมั่นคิดดี พูดดี ทำดี รักษาใจตนให้อยู่ด้านดีตลอดไป ช่วยเหลือผู้อื่นเท่าที่จะช่วยได้(ของผมจะทำบุญให้ตามกับมูลนิธิเด็กพิเศษเป็นประจำทุกเดือน) เพราะคุณไม่รู้หรอกว่า อนาคตข้างหน้าคุณจะเป็นอย่างไร (เหมือนกับผมตอนเด็ก ที่ไม่ใครคิดว่า ผมจะกลับมาเป็นปกติ และช่วยเหลือตนเองได้ในอนาคต)
.
หลายๆคนคิดว่า คนที่เป็นออทิสติก มักจะมีปัญหาเป็นส่วนใหญ่ แต่ผมจะบอกว่า คนที่เป็นออทิสติกนั้น ก็มีข้อดีเช่นกัน เช่น เวลาที่เค้าทำอะไรแล้ว เค้าจะมีความพยายามมากกว่าปกติหลายเท่า บางคนก็ถึงกับหมกมุ่นที่จะทำบางสิ่งบางอย่างให้สำเร็จ(เหมือนคนที่เล่นเกมแล้วต้องให้ได้ No Damage เก็บ Trophy ให้ครบ ให้ได้คะแนนสูงๆ ก็จะหมกมุ่นและเล่นซ้ำๆในด่านนั้น จุดนั้นจนกว่าจะได้) ความจำดี สามารถจดจำบางสิ่งบางอย่างได้นาน และจดจำได้อย่างรวดเร็ว
.
สุดท้ายผมอยากจะบอกกับคุณแม่ทั้งหลายที่มีลูกเป็นออทิสติกว่า ขอให้คุณสู้ต่อไป อย่างน้อยคุณก็ยังมีผมคนนึงที่ฝ่าฟันมาได้ ขอให้คุณส่งพลังงานบวก และพลังงานดีๆให้กับลูกคุณให้เยอะๆ เค้าจะรับรู้ และได้รับในสิ่งดีๆได้เอง เมื่อเค้าโตขึ้น แล้วกลับมาเป็นปกติ เค้าจะเป็นคนที่รักคุณที่สุด ช่วยเหลือคุณ และจะไม่ทิ้งคุณ ในยามที่คุณลำบาก (เวลาแม่ผมอวยพร หรือเวลาที่ผมมีปัญหา แม่ผมมักจะพูดกับผมเสมอว่า พระคุ้มครอง)
.
ขอบคุณทุกๆคนนะครับที่เข้ามาอ่านจนจบ ถึงจะยาว แต่ก็อยากให้คุณได้รับรู้ในมุมมองของคนที่ไม่ปกติคนนึง กระทู้นี้อาจจะมีเนื้อหาที่ซ้ำกับกระทู้ที่แล้วบ้าง แต่กระทู้นี้เป็นการขยายเรื่องราวเพิ่มเติมของผมที่อยากให้ผู้อ่านได้รับรู้กันครับ
แสดงความคิดเห็น
จากใจ เด็ก ออทิสติก สู่ผู้ใหญ่ที่สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติ
.
ผมเองเป็นคนนึงที่อยู่ในกลุ่มเด็กพิเศษ ที่ได้รับการบำบัดดูแลจากหมอ และอาจารย์ที่มีความรู้ในด้านนี้ จนทำให้ผมมีพัฒนาการที่ดีขึ้น เป็นคนที่นิ่ง ใจเย็น และมีบุคลิกที่เหมือนคนปกติ ที่สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติ ปีนี้ผมอายุ 31 ปี ถึงแม้ว่าอาการของผมจะปกติ จนคนภายนอกดูไม่ออก แต่อาการออทิสติกของผมก็ยังมีอยู่บ้าง เช่น ยังแยกแยะไม่ออกว่าใครพูดจริง ใครพูดเล่น แหย่เล่น ไม่เก็ตมุก จะมองดูเป็นจริงเป็นจังไปหมด ยังแยกแยะในเรื่องของอารมณ์คนไม่ออกบ้าง ดูเป็นคนซื่อๆ พูดตรงบ้าง ยังทำอะไรช้า ดูเป็นคนช้าๆ มีปัญหาเรื่องการพูดสื่อสารอยู่บ้าง ย้ำคิดย้ำทำ คิดอะไรทำอะไรแล้วก็ต้องทำให้สำเร็จในตอนนั้น เวลาที่คิดอยากจะได้อะไร ก็จะต้องให้ได้เลยในตอนนั้น กับเวลาที่ดูคลิปอะไร ตรงไหนที่ผมชอบก็ชอบดูมันซ้ำๆๆบ้าง จนกว่าจะมีคลิปใหม่ที่มันโดนใจกว่านี้
.
ตอนนี้เป็นช่วงล๊อคดาวน์ เป็นช่วงที่ผมหยุดอยู่บ้าน ไม่ได้ทำอะไร ผมกับแม่ก็ได้นั่งคุยกันเรื่องตอนที่ผมยังเป็นเด็ก เพื่อจะได้ข้อมูลจากแม่ผมมาแชร์เป็นธรรมทาน กับได้เก็บกวาดบ้าน แล้วเคลียร์กับกองหนังสือที่ไม่ได้อ่านแล้ว แล้วไปเจอกับหนังสือเล่มนึงที่เกี่ยวกับ ออทิสติก ที่แม่เก็บเอาไว้ ผมจึงตัดสินใจเก็บเอาไว้ ไม่ทิ้ง เพราะเหมือนเป็นคุณค่าทางจิตใจ และให้นึกถึงวันที่แม่ผมต้องลำบาก และทำทุกอย่างเพื่อให้ผมกลับมาเป็นปกติ สามารถพึ่งพาตนเอง และช่วยเหลือตนเองได้
.
ผมอยากจะบอกคุณแม่ทั้งหลายว่า คุณโชคดีแล้วที่ได้เกิดมาในยุคดิจิตอล ยุคที่การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารนั้นง่ายมาก และคุณก็โชคดีมากๆ ที่คุณเข้ามาอ่านกระทู้ของผม ที่ทำให้คุณได้มองเห็นและรับรู้ว่า ยังมีคนที่เกิดมาไม่ปกติและสามารถที่จะฝ่าฟันมาเป็นคนปกติได้ สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างปกติได้ โดยที่ไม่รู้สึกว่าตนเองนั้นแปลกแยกกับใคร แม่ผมไม่ได้โชคดีเหมือนคุณแม่ยุคนี้ ผมเกิดในยุค 90 ในยุคนั้นเป็นยุคที่การเข้าถึงข้อมูล อยู่ในวงจำกัด และไม่กว้างมากเหมือนในยุคนี้ แม่ผมเล่าว่า พอผมถึงช่วงวัยคลาน ก็จะคลานแบบเอาหัวไถพื้นไม่หยุด จนหัวล้านในตอนนั้น และก็คลานได้ตลอดทั้งวัน ถึงช่วงวัยหัดเดิน พอลุกขึ้นเดินได้ก็จะวิ่งตลอด วิ่งไม่หยุด ปืนป่ายนู่นนั่นนี่ไม่หยุด และช่วงนั้นก็เป็นช่วงวัยหัดพูดของเด็ก ซึ่งเด็กปกติจะเริ่มหัดเลียนเสียงพูดจากผู้ใหญ่ แต่ผมไม่ยอมพูด แม่เรียกแล้วไม่ขานรับ ไม่สบตาเวลาพูด ซึ่งตอนนั้นผมก็ซน และจะวิ่งอย่างเดียว วิ่งชนพัดลมตั้งพื้น(ไม่ใหญ่มาก) หล่นทับหน้า เลือดกำเดาออกจมูก ก็ลุกขึ้นมาวิ่งต่อ (ถ้าเป็นเด็กปกติ จะร้องไห้งอแง แต่ผมไม่ร้องเลย)
.
แม่ก็เลยพาไปหาหมอ หมอตรวจร่างกายทุกอย่างปกติ จนในที่สุดหมอวินิจฉัยว่าเป็น ออทิสติกกับไฮเปอร์แอคทีฟ ถึงจุดนี้แม่ผมก็พาผมไปหาหมอจิตแพทย์เด็ก ซึ่งหมอก็ให้ความรู้และคำแนะนำในเรื่องนี้เป็นอย่างดี และหมอให้แม่ผมหาหนังเรื่อง Rain Man ที่ Dustin Lee Hoffman เป็นคนแสดงเป็นพระเอกที่เป็นโรคนี้ มาดู เพื่อให้ได้รับรู้และเข้าใจถึงคนที่เป็นโรคนี้มากขึ้น แม่ผมบอกว่า ไปหาตามร้านเช่าวีดีโอหลายร้านก็ไม่เจอ เพราะหนังเรื่องนี้เก่ามาก จนไปเจอร้านนึง แต่ไม่ได้เป็นร้านเช่า ต้องซื้อเท่านั้น พอซื้อเสร็จแล้วก็มาเปิดดู แม่ผมถึงกับเครียด นั่งร้องไห้ และในตอนนั้นแม่ผมก็ไม่รู้เลยว่า ผมโตขึ้นไปจะเป็นอย่างไร จะช่วยเหลือตนเองได้ไหม เพราะคนรอบข้างแม่ผมก็ไม่มีใครเป็น(และคนรอบข้างแม่ผม ก็ไม่มีใครสนใจ) แต่ด้วยความที่แม่ผมต้องการให้ผมกลับมาเป็นปกติ พึ่งพาตนเองได้ แม่ผมเลยตัดสินใจพาผมไปหาหมอ ปรึกษาหมอ บำบัดรักษากับหมอ และอาจารย์ที่มีความรู้และเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ วันหยุดแม่ผมก็ไปที่หอสมุดแห่งชาติ เพื่อหาหนังสือเรื่องพวกนี้มาถ่ายสำเนา และโชคดีที่ตอนที่แม่ผมพาไปบำบัด ในช่วงระหว่างที่แม่ต้องนั่งรอ มีพ่อแม่คนนึงที่เป็นคนมีฐานะ ที่มีลูกเป็นออทิสติกเหมือนผม คุยกันแล้วถูกคอ วันรุ่งขึ้นพ่อแม่เด็กคนนั้น ก็เอาเอกสารมาให้แม่ผมทันที (โชคดีที่ในยุคนี้ค้นหาข้อมูลในมือถือ ก็เจอเลย ไม่ต้องลำบากไปหาข้อมูลเหมือนเมื่อก่อน)
.
แม่ผมเล่าต่อว่า ต้องขายทั้งบ้าน(แม่ผมมีบ้าน 2 หลัง) นำทองและของมีค่าทั้งหลายไปจำนำ เพื่อที่จะเอาเงินมารักษาผม เพราะในใจแม่ผมในตอนนั้นต้องการให้ผมหาย ไม่ต้องการให้ผมเป็นภาระใคร ต้องจ่ายเท่าไหร่ก็ยอมในตอนนั้น จนในที่สุดผมเองก็เริ่มพูดได้ เริ่มที่จะนิ่ง ไม่วิ่งไปวิ่งมาเหมือนแต่ก่อน และเริ่มที่จะช่วยเหลือตนเองได้ในที่สุด ซึ่งตอนนั้นแม่ผมก็ดีใจมากๆที่ผมเริ่มกลับมาเป็นปกติ(แม่ผมบอกว่า หมดเงินไปกับการบำบัดรักษาผมมาก)