โดยเฉพาะท่าทีที่มีต่อเพศตรงข้าม
เพราะ... ตอนนี้มีคู่แล้ว จะคุยระรื่น เล่นมุข หรือคุยสนิทสนม อยู่กันสองต่อสอง เหมือนก่อนนี้ คงไม่เหมาะไม่ควร
หากโดนขอให้ช่วยเหลือ ก็ต้องมีขอบเขต เช่น บางทีช่วยได้มากกว่านี้แหละ แต่ต้องพอแค่นี้ ไม่งั้นอาจจะมากไป
เพราะมีคู่แล้ว ต้องรู้ขอบเขต การวางตัว
คุยเฉพาะแค่งาน ไม่ควรคุยลงไปถึงเรื่องส่วนตัว
เดี๋ยวอีกฝ่ายเขารู้ แล้วเขาจะรู้สึกยังไง... หากเขาหัวร้อนหน่อยก็อาจทะเลาะกันได้ ไม่ดีต่อความสัมพันธ์
...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ขอแบ่งประโยชน์จากแนวคิดดังกล่าวได้ 2 ข้อ
(1) ทำให้มีจิตสำนึกที่ดี
มันคือการให้เกียรติคนรักของเรา แคร์ความรู้สึกของเขา ไม่ทำให้เขาต้องมาปวดจิตปวดใจกับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นของเรา
ตอนที่ยังอยู่คนเดียว จะคิดจะทำอะไรก็คงได้ แต่เมื่อมีคู่ อยู่ด้วยกันแล้ว มันก็ไม่เหมือนเดิม ต้องนึกถึงอีกฝ่ายให้มาก ๆ
อะไรที่ทำให้เขาไม่สบายใจ ก็ต้องปรับต้องเปลี่ยนแปลง
(2) ป้องกันปัญหาการนอกใจ
เรื่องกิเลสทางเพศนี่ มันแทรกซึมจิตใจคนได้ง่าย เพราะคนชอบของสวย ๆ งาม ๆ หรือของใหม่ ๆ เพราะมันทำให้รู้สึกตื่นเต้น เร้าใจ
ดังนั้น การที่เรารู้จักวางตัว ควบคุมท่าทีของตัวเอง ไม่พาตัวเองไปในที่เสี่ยง หรือบางกรณีอาจจะต้องอยู่ห่าง ๆ ก็ถือได้ว่าเป็นการป้องกันให้ห่างจากกิเลสทางเพศได้ จะได้ไม่เผลอไปโดนอำนาจของกิเลสลากจูงไป สนองต่ออารมณ์...
อยากทราบว่า ท่านอื่น ๆ คิดเห็นอย่างไรกันบ้างน่ะครับ
ขอบคุณมากครับ
หากมีคู่แล้ว ต้องรู้จักวางท่าที วางตัว กาละเทศะ ให้เหมาะสม... ผมเข้าใจถูกไหมครับ
เพราะ... ตอนนี้มีคู่แล้ว จะคุยระรื่น เล่นมุข หรือคุยสนิทสนม อยู่กันสองต่อสอง เหมือนก่อนนี้ คงไม่เหมาะไม่ควร
หากโดนขอให้ช่วยเหลือ ก็ต้องมีขอบเขต เช่น บางทีช่วยได้มากกว่านี้แหละ แต่ต้องพอแค่นี้ ไม่งั้นอาจจะมากไป
เพราะมีคู่แล้ว ต้องรู้ขอบเขต การวางตัว
คุยเฉพาะแค่งาน ไม่ควรคุยลงไปถึงเรื่องส่วนตัว
เดี๋ยวอีกฝ่ายเขารู้ แล้วเขาจะรู้สึกยังไง... หากเขาหัวร้อนหน่อยก็อาจทะเลาะกันได้ ไม่ดีต่อความสัมพันธ์
...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อยากทราบว่า ท่านอื่น ๆ คิดเห็นอย่างไรกันบ้างน่ะครับ
ขอบคุณมากครับ