อยากรู้ว่าท้องไหม ตรวจการตั้งครรภ์ได้กี่วิธี?

คุณแม่ที่อยากรู้ว่า ท้องไหม เพราะประจำเดือนขาด หรือ มีอาการแปลก ๆ เหมือนจะตั้งครรภ์ สิ่งแรกที่นึกถึงคือ การตรวจการตั้งครรภ์ ตรวจการตั้งครรภ์ มีกี่วิธี ทำยังไงบ้าง แล้ววิธีไหนแม่นยำที่สุด

การตรวจการตั้งครรภ์ คืออะไร ?
การตรวจการตั้งครรภ์ เป็นการตรวจเพื่อวัดระดับฮอร์โมนเอชซีจี (Human Chorionic Gonadotropin: hCG) ในปัสสาวะหรือในเลือด ฮอร์โมนชนิดนี้จะถูกสร้างขึ้นประมาณ 6 วันหลังการปฏิสนธิ เมื่อเกิดการตั้งครรภ์ขึ้น ระดับฮอร์โมนเอชซีจีจะสูงขึ้นเป็นสองเท่าในทุก 2-3 วัน

ตรวจการตั้งครรภ์ ได้กี่วิธี
 - ตรวจจากเลือด
 - ตรวจจากปัสสาวะในห้องปฎิบัติการ หรือ UPT (Urine Pregnancy Test)
 - ตรวจจากปัสสาวะเอง ด้วยชุดทดสอบการตั้งครรภ์
 - ตรวจอัลตราซาวด์

วิธีการตรวจการตั้งครรภ์
1. การตรวจการตั้งครรภ์ จากเลือด
การตรวจเลือด สามารถบอกได้ว่าท้องไหมค่อนข้างแน่นอน ด้วยการเจาะเลือด เพื่อตรวจฮอร์โมน hCG ซึ่งบางครั้งการตรวจจากปัสสาวะยังไม่ขึ้นผล แต่ตรวจเลือดก็ได้ผลแล้ว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการตรวจให้รู้แน่ชัดโดยไว เพื่อดูแลทารกในครรภ์ได้เร็วขึ้น เช่น ผู้ที่มีประวัติมีลูกยาก หรือเคยแท้งลูกมาก่อน เนื่องจากการตรวจด้วยการตรวจเลือดจะช่วยให้วางแผนเพื่อป้องกันการแท้งได้นั่นเอง
 - ความแม่นยำ การตรวจเลือดจะสามารถบ่งบอกการตั้งครรภ์ได้แน่นอนถึงเกือบ 100% สามารถตรวจพบการตั้งครรภ์ได้ตั้งแต่ 2 สัปดาห์หลังจากมีการปฏิสนธิเกิดขึ้น แต่การตรวจด้วยวิธีนี้มีค่าใช้จ่ายสูง
  - ตรวจได้เมื่อไหร่ ตั้งแต่ 2 สัปดาห์หลังจากมีการปฏิสนธิ

2. การตรวจการตั้งครรภ์จากปัสสาวะแบบ UPT (Urine Pregnancy Test)
การตั้งครรภ์จากปัสสาวะโดยใช้เครื่องมือในห้องปฏิบัติการ การตรวจด้วยวิธีนี้เรียกว่า ยูพีที (Urine Pregnancy test) หรือ (UPT) เป็นการใช้ปัสสาวะในการตรวจ แต่จะตรวจที่โรงพยาบาล หรือ คลินิกที่ให้บริการ โดยเก็บตัวอย่างปัสสาวะไปตรวจในห้องแลบ (Lab) และแปลผลโดยนักเทคนิคการแพทย์
การแปลผลการตรวจ หากผลออกมาเป็นบวก (Positive) หมายถึงมีการตั้งครรภ์ และหากผลออกมาเป็นลบ (Negative) หมายถึงไม่มีการตั้งครรภ์
 - ความแม่นยำ การตรวจการตั้งครรภ์จากปัสสาวะมีความแม่นยำประมาณ 99% ขณะที่การตรวจจากเลือดจะมีความแม่นยำมากกว่า แต่การตรวจปัสสาวะกับแพทย์ก็สามารถยืนยันผลได้มากกว่าตรวจการตั้งครรภ์ด้วยตัวเอง
 - ตรวจได้เมื่อไหร่ ควรตรวจหลังจากประจำเดือนขาดอย่างน้อย 2 สัปดาห์

3. ตรวจการตั้งครรภ์ด้วย ชุดทดสอบการตั้งครรภ์
วิธีตรวจการตั้งครรภ์ที่สะดวกและง่ายที่สุด คือ การตรวจด้วยชุดทดสอบการตั้งครรภ์ ซึ่ง ที่ตรวจครรภ์ สามารถหาได้ตามร้านสะดวกซื้อ และร้านขายยา ชุดทดสอบการตั้งครรภ์ โดยการตรวจปัสสาวะ มีอยู่ 3 แบบ
 - ที่ตรวจครรภ์แบบจุ่ม (Test Strip) ที่ตรวจครรภ์แบบจุ่ม ที่ตรวจครรภ์แบบจุ่มมีราคาถูกที่สุด โดยปัสสาวะใส่ถ้วย แล้วจุ่มแผ่นตรวจด้านที่อยู่ปลายลูกศร ทิ้งไว้ตามระยะเวลาที่ระบุในฉลากผลิตภัณฑ์ แล้วยกแผ่นตรวจขึ้นไปวาง รออ่านผล
 - ที่ตรวจครรภ์แบบหยด (Pregnancy Test Cassette) จะมีอุปกรณ์ในกล่อง 3 อย่าง ได้แก่ ที่ใส่ปัสสาวะ ตลับทดสอบ หลอดพลาสติก โดยหยดปัสสาวะลงในชุดทดสอบ แล้วรอ ประมาณ 1-5 นาที เพื่ออ่านผล
 - ที่ตรวจครรภ์แบบปัสสาวะผ่าน (Pregnancy Midstream Tests) ที่ตรวจครรภ์แบบปัสสาวะผ่าน จะมีลักษณะเป็นหลอดแบบมีที่จับ มีปลอกคล้ายปากกา ทดสอบโดยปัสสาวะให้น้ำปัสสาวะผ่านบริเวณที่ดูดซับน้ำปัสสาวะ ซึ่งจะอยู่ต่ำกว่าลูกศร ให้เปียกชุ่ม
ทิ้งไว้ แล้วรอผ่านผล

การแปลผลการตรวจ คือ ถ้าขึ้น 2 ขีด แสดงว่าตั้งครรภ์ แต่ถ้าขึ้นขีดเดียว แสดงว่าไม่ตั้งครรภ์ หรือ ผลการทดสอบผิดพลาด ควรตรวจซ้ำ

4. การตรวจการตั้งครรภ์ด้วยอัลตร้าซาวด์
การตรวจการตั้งครรภ์ด้วยอัลตราซาวด์ (Ultrasound) จะเป็นการตรวจด้วยการส่งคลื่นเสียงความถี่สูงไปยังเนื้อเยื่อต่าง ๆ ในช่องท้องและสร้างภาพขึ้นมา ทำการตรวจโดยสูตินรีแพทย์ การตรวจการตั้งครรภ์ด้วยอัลตร้าซาวด์โดย สามารถบอกอะไรได้บ้าง

 - ตรวจดูว่ามีการตั้งครรภ์
 - ดูเพศของทารก
 - ทราบจำนวนทารก (แฝด)
 - กำหนดอายุครรภ์ที่แน่นอน
 - วินิจฉัยความผิดปกติของทารกในครรภ์
 - ทราบตำแหน่งรก ปริมาณน้ำคร่ำ
 - ทราบความผิดปกติของมดลูก รังไข่

- ตรวจได้เมื่อไหร่ การตรวจด้วยเครื่องการตรวจอัลตราซาวด์สามารถตรวจได้ตั้งแต่เริ่มการตั้งครรภ์

จะดูว่า ท้องไหม การใช้ชุดทดสอบการตั้งครรภ์ตรวจด้วยตัวเอง สามารถทำได้เบื้องต้นเอง หลังจากทดสอบแล้ว อาจจะเว้นระยะ แล้วตรวจซ้ำเพื่อผลที่แน่นอน บางครั้งปริมาณฮอร์โมนยังน้อย อ่านค่าไม่ได้ ระยะที่ตรวจเร็วไป หรือ การผิดพลาดจากชุดทดสอบ หลังทดสอบหากพบว่าตั้งครรภ์ ควรรีบไปพบคุณหมอเพื่อฝากครรภ์ และปรึกษาวางแผนตรวจสุขภาพของตัวแม่ และทารกในครรภ์ต่อไปค่ะ


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่