วิศวะกรบนกองขยะ #2

***บทที่2 

เด็กวัด

“บัส บัส ตื่นได้แล้วไอบัสบอกให้ตื่นได้แล้ว เดี๋ยวไม่ทันพระนะ” เสียงหญิงวัยกลางคนพยายามปลุกเด็กน้อยวัย 9 ขวบ 
“ครับๆ ตื่นแล้ว” เด็กน้อยตอบด้วยน้ำเสียงงัวเงียพลางลุกขึ้นขยี้ตา
“ไปล้างหน้าล้างตาไปได้แล้วตี 5 แล้ว” หญิงวัยกลางคนพูดเร่งให้เด็กน้อยรีบลุก
“ครับ ครับ ครับ ไปแล้ว” เด็กน้อยลุกไปล้างหน้าล้างตาแต่งตัวออกจากบ้านมุงหน้าไปยังวัดที่หางออกไปประมาณ 2 กิโล
“วันนี้จะมีรถเข็นพระว่างไหมเนี่ย ง่วงก็ง่วง” หนุ่มน้อยยืนบ่นกับตัวเองระหว่างรอประตูวัดเปิด

เวลาผ่านไปไม่นานหลังจากพระท่านทำวัตรเช้าเสร็จมีพระรูปหนึ่งมาเปิดประตูวัดเพื่อให้พระทุกรูปได้ออกบิณฑบาตตามกิจของสงฆ์
หนุ่มน้อยภาวนาในใจ 
“ขอให้มีพระว่างด้วยเถอะ” ทันใดนั้นมีพระรูปหนึ่งเข็นรถออกมาลำพังไม่มีลูกศิษย์เข็นรถให้ หนุ่มน้อยรีบวิ่งเข้าไปหา
“หลวงพี่ครับ หลวงพี่มีคนเข็นรถรึยังครับให้ผมเข็นให้ไหมครับ” เด็กน้อยถามด้วยความกระตือรือร้น
“หลวงพี่มีคนเข็นประจำรออยู่แล้ว รอดูรูปต่อไปนะหลวงพี่เห็นมีว่างอยู่เขาอาจจะยังไม่มีคนเข็น” หลวงพี่กล่าวและเข็นรถเดินจากไป 
เด็กน้อยกลับมายืนรออย่างมีความหวังบริเวณประตูวัด เด็กน้อยวิ่งถามพระทุกรูปที่เข็นรถออกมาลำพังด้วยคำถามเดิม ๆ  
“หลวงพี่ครับ หลวงพี่มีคนเข็นรถรึยังครับให้ผมเข็นให้ไหมครับ” กระทั่งพระอาทิตย์เริ่มขึ้นเด็กน้อยเริ่มถอดใจ 
“เฮ้อ วันนี้คงไม่มีพระว่างแล้วมั้งกลับดีกว่า แล้ววันนี้แม่อยู่บ้านจะมีอะไรกินไหมเนี้ย น้องก็ไม่ได้กินข้าวเช้าก่อนไปเรียนสิ” เด็กน้อยถอนหายใจบ่นกับตัวเอง

“อ่าว! ท่านทำไมออกบิณฑบาตสายละ” พระที่กำลังกวาดลานวัดกล่าวถามพระรูปหนึ่ง
“พอดีคนเข็นรถให้ผมเมื่อวานล้างบาตร แล้วเอาไปวางผิดที่ต้องเดินหาบาตรอยู่นานเลย” พระรูปนั้นตอบ
เด็กน้อยรีบหันกลับมามองจึงได้เห็นว่าพระรูปนั้นเข็นรถออกมาลำพัง เด็กน้อยไม่รอช้ารีบวิ่งไปยังพระรูปนั้น
“หลวงพี่ครับ หลวงพี่มีคนเข็นรถรึยังครับให้ผมเข็นให้ไหมครับ” เด็กน้อยรีบถาม
“เอาๆ ค่อยๆหายใจวิ่งมาซะหอบเลย” พระรูปนั้นกล่าวพร้อมทั้งขำเล็กน้อยแสดงถึงความเอ็นดู 
เด็กน้อยมองไปยังในตาพระรูปนั้นด้วยความหวังเพื่อรอคำตอบ
“ได้ ได้ ได้ ขอให้ได้” เด็กน้อยภาวนาในใจ
“ตัวเท่านี้จะเข็นไหวเหรอ เส้นหลวงพี่เดินไกลกว่าพระรูปอื่นนะ” พระรูปนั้นถามด้วยความเป็นห่วง
“ไหวครับ ผมไหวสบายมาก” เด็กน้อยกล่าวด้วยความน้ำเสียงหนักแน่น
“เอา! ไหวก็ไหวลองดูสายแล้ว” พระรูปนั้นตอบ
“ขอบคุณครับ”เด็กน้อยกล่าวพร้อมทั้งรีวิ่งไปเข็นรถ

“หลวงพี่ครับ หลวงพี่มีคนเข็นประจำไหมครับถ้าไม่มีผมขอมาประจำได้ไหมครับ”เด็กน้อยถาม
“มี แต่เขาขอไปทำธุระจะไม่ว่างประมาณหนึ่งอาทิตย์ระหว่างนี้เรามาเข็นให้หลวงพี่ก็ได้” หลวงพี่ตอบ
“ครับ ได้ครับผมจะมาทุกวันเลยครับ”เด็กน้อยกล่าวด้วยความดีใจ
“เดินเร็วหน่อยนะเดี๋ยวหลวงพี่กลับวัดไม่ทันฉันเช้า” หลวงพี่กล่าวพร้อมมกับเดินเร็วขึ้น
“ได้ครับหลวงพี่” เด็กน้อยตอบและเร่งสปีดการเดินเร็วขึ้น

“นิมนต์ค่ะหลวงพี่” เสียงหญิงวัยกลางคนกำลังยืนรอตักบาตรกับลูกสาว
“โกสิน! วันนี้ไม่ไปเรียนเหรอ” ลูกหญิงวัยกลางคนกล่าวด้วยน้ำเสียงแปลกใจปนตื่นเต้นที่ได้เจอเพื่อนในห้อง
“ไปสิ เดี๋ยวเข็นรถให้หลวงพี่เสร็จก็กลับบ้านไปแต่งตัว” เด็กน้อยพยายามหลบสายตาโดยการทำเป็นจัดของในรถเข็น
“แต่นี่ 7 โมงกว่าแล้วนะ จะไปทันเหรอเดี๋ยวสายนะ” สาวน้อยผู้นั้นถามต่อด้วยความสงสัย
“ทัน ๆ อาจจะสายนิดหน่อย” เด็กน้อยตอบด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่เสียความมั่นใจอย่างมาก
“อาตมา ต้องไปต่อแล้ว” หลวงพี่กล่าวกับหญิงวัยกลางคนเพื่อตัดบทสนทนาระหว่างลูกสาวของหญิงวัยกลางคนกับเด็กน้อย
ที่กำลังเสียความมั่นใจ  และเดินนำหน้าหนุ่มน้อยไป
“ไปก่อนนะ” หนุ่มน้อยกล่าวพร้อมทั้งเข็นรถวิ่งตามหลวงพี่ไป

“เราชื่อโกสินเหรอ” หลวงพี่ถามระหว่างเดินกลับวัด
“ใช่ครับ ชื่อจริงผมครับ” เด็กน้อยตอบ
“เรียนอยู่โรงเรียนไหน” หลวงพี่ถามด้วยความสงสัย
“โรงเรียนที่อยู่ตรงข้ามวัดครับหลวงพี่” เด็กน้อยตอบ
“โรงเรียนที่อยู่ตรงข้ามวัดเป็นโรงเรียนคนมีเงินนิ แสดงว่าบ้านเราก็มีตังหนะสิ” หลวงพี่ถามแกมแซวเด็กน้อย
“ป่าวครับ พ่อผมเป็นยามอยู่ที่นั้นครับเจ้าของโรงเรียนเลยให้ลูกเรียนฟรีได้หนึ่งคนครับ 
เขาเห็นว่าน้องผมยังอยู่เกณอนุบาลและไม่มีที่เรียนเลยจะให้น้องผมเข้าเรียนที่นั้น 
แต่พ่อผมแย้งจะให้ผมเข้าแทนเพราะผมหยุดเรียนมาแล้วปีหนึ่งไม่อยากให้เรียนช้ากว่านี้ครับ 
เจ้าของโรงเรียนเขาเห็นใจเลยยอมให้ได้เรียน 2 คนครับ” เด็กน้อยเล่าด้วยอาการซึม ๆ 

“นี่ตัวเล็ก คนเราต้องยอมรับตัวเองให้ได้นะถ้าเรายังไม่ยอมรับตัวเองจะไม่มีใครยอมรับในตัวเรา 
และการที่เรายอมรับความจริงจะทำให้เราไปได้ไกลนะ อย่าหนีตัวเองแต่พาตัวเองไปให้ไกลกว่านี้” หลวงพี่กล่าวสอนเด็กน้อยด้วยรอยยิ้ม
“ครับหลวงพี่” เด็กน้อยตอบรับด้วยน้ำเสียงอ่อย ๆ

“ถึงวัดแล้ว ทันฉันเช้าพอดี” หลวงพี่กล่าว
“กุฏิ หลวงพี่อยู่นี่แหล่ะ” หลวงพี่ชี้นิ้วไปยังทางกุฏิ
“หลวงพี่เอาของไว้ฉันเท่านี้แหล่ะ เราก็เลือกไปจะกินอะไรที่เหลือก็เข็นไปเก็บที่ครัว” หลวงพี่กล่าวพร้อมหยิบอาหารไปนิดหน่อย
และยื่นเงินให้เด็กน้อย 100 บาท
“ไม่เป็นไรครับหลวงพี่ผมเอาแค่อาหารกับขนมก็พอครับ” เด็กน้อยปฏิเสธ
“เอาไปเถอะ เผื่อไว้ซื้อของที่จำเป็น และเร็ว ๆ เข้านี่ก็สายแล้วต้องไปเรียนไม่ใช่รึไง” หลวงพี่พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ขอบคุณครับ” เด็กน้อยขอบคุณและรับเงินจากหลวงพี่
“ผมเอาของกินเท่านี้แหล่ะครับ” เด็กน้อยชูถุงอาหารเต็มมือมีทั้งอาหารคราวและขนมหวาน
“เอาหมูปิ้งไปด้วยสิ” หลวงพี่หยิบหมูปิ้งที่อยู่ในรถเข็นยื่นให้เด็กน้อย 
เด็กน้อยรับไว้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม หลังจากเด็กน้อยนำอาหารไปเก็บครัว และทำความสะอาดรถเข็นจึงรีบเดินกลับบ้าน
แต่เด็กน้อยแบ่งอาหาร 1 ชุดมี ข้าว 1 ถุง กับข้าว 1 ถุง  น้ำดื่ม 1 ขวด และขนมที่ได้จากพระใส่ถุงแยกไว้

ในระหว่างทางที่กลับ เด็กน้อยจะพบชายไร้บ้านมีสติที่ไม่ดีหนึ่งคนอยู่ใต้สะพานลอยเสมอ
วันนี้ก็เช่นกัน เด็กน้อยยื่นถุงที่จัดแยกไว้ให้แก่ชายผู้นั้น เด็กน้อยทำแบบนี้ทุกครั้งเป็นประจำ

“แม่! กลับมาแล้ว” เด็กน้อยตะโกนเรียกแม่
“ทำไมวันนี้มาสายจังจะไปเรียนไหมเนี่ย” แม่ถาม
“ไปสิแม่ ได้พระประจำแล้วนะแต่หลวงพี่เส้นนี้เดินไกลมาก ไปกลับ 10 กิโลได้มั้ง” เด็กน้อยคุยกับแม่พลางแต่งตัวเตรียมไปเรียน
“ไม่อาบน้ำรึไง” แม่ถามด้วยน้ำเสียงดุ
“ไม่ทันแล้วแม่น้องแต่งตัวเสร็จยั้ง วันนี้หลวงพี่ให้ตังมาด้วย 40 บาท” เด็กน้อยยื่นเงินให้แม่
“เสร็จนานแล้ว ไม่กินอะไรก่อนไปรึไง” แม่ถามด้วยความเป็นห่วง
“เดี๋ยวเดินไปกินหมูปิ้งไป สายแล้ว” เด็กน้อยโชว์ถุงหมูปิ้ง
“เออ ๆ งั้นก็ไปได้แล้วเดินจูงมือน้องไปเรียนดีๆ เอาไป 20 คนละ 10 บาทกับน้อง” แม่กล่าวพร้อมทั้งยื่นแบงค์ 20 ให้ แล้วหยิบกระเป๋านักเรียนให้เด็กน้อยทั้งสอง
“แม่สวัสดีครับ” เด็กน้อยยกมือไหว้ก่อนเดินออกจากบ้านไป
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่