ผมได้แต่ภาวนาว่าในอนาคตประเทศไทยอย่าได้ซ้ำรอยอังกฤษเลย ซึ่งผมหมายถึงภาวะที่ต้องประสบกับการระบาดของโควิดซึ่งอังกฤษประสบมาตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงตอนนี้ อังกฤษถือว่าเพรียบพร้อมกว่าไทยมากเกือบจะทุกด้านยังซวนเซได้ และถ้าหากสิ่งที่เกิดขึ้นกับอังกฤษมาเกิดซ้ำรอยที่ไทย เราคงพับพาบทั้งระบบเศรษฐกิจและสังคม !
อังกฤษไม่ได้กินดีหมีจากที่ไหนมาหรอกครับ เขาได้คำนวนออกและวางแผนมาเป็นระยะๆ พร้อมแจ้งให้ประชากรของเขาทราบมาตลอดว่าจะมีมาตรการอย่างไรต่อสถานการณ์ แน่ล่ะ...ย่อมมีคนไม่น้อยที่ไม่เห็นด้วยกับการปลดล็อคครั้งนี้ แต่รัฐบาลพยายามชี้ให้เห็นว่าไม่ว่าจะปลดล็อคหรือล็อคดาวน์ต่อไป ประเทศชาติก็เสียหายทั้งขึ้นทั้งล่องและลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นได้กับทุกประเทศ ดังนั้นเมื่อพิจารณาผลกระทบทั้งในระยะใกล้และไกลแล้ว ขืนล็อคดาวน์ต่อไปโควิดร้ายก็จะลามไปกัดกร่อน "ฐานเศรษฐกิจ" ด้วย คราวนี้ผลกระทบอันเกิดจากฐานเศรษฐกิจบวกกับการระบาดของโควิด ก็จะทำให้เกิด "หายนะ" ที่เรียกว่าทวีคูณและกระทบส่งผลเป็นลูกคลื่นที่ยาวไกล
ด้านวัคซีน
แผนการฉีดวัคซีนของอังกฤษที่วางเอาไว้ตั้งแต่ปีกลายรุดหน้ากว่าที่ตั้งเป้าเอาไว้มาก เจ้าหน้าที่ NHS หน่วยงานสาธารณสุขและคนป่วยฉุกเฉินได้รับการฉีด(ส่วนใหญ่ยี่ห้อไฟเซอร์) มาตั้งแต่ปีที่แล้ว และเมื่อต้นปีก็ฉีดไล่ตามกลุ่มคนสูงอายุไล่ลงมาจนถึงอายุต่ำ จนถึงขณะนี้ก็เหลือเพียงแต่กลุ่มคนสุดท้ายซึ่งเป็นกลุ่มคนหนุ่มสาววัยรุ่น(ซึ่งมีภูมิต้านทานสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ) และตอนนี้รุดหน้าไปมากกว่า 45%
ด้านเศรษฐกิจ
แม้อังกฤษเองก็ยังต้องกู้เงินมาเผชิญหน้ากับวิกฤติตรงนี้ซึ่งค่าใช้ต่อวันอยู่ที่หลักพันล้าน ต้องบอกว่า "สายป่าน" ของอังกฤษเองไม่ได้ยาวอย่างที่หลายคนคิด แต่เพื่อต้องการพยุงเศรษฐกิจ(ในระยะยาว) และรักษาระดับการสะพัดของเงินจากการใช้จ่ายให้ปรกติหลังจากที่ปลดล็อค รัฐบาลอังกฤษจึงได้อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบมาตลอดตั้งแต่ล็อคดาวน์ครั้งแรกเมื่อปีกลาย โดยการเข้าอุ้มและช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กรวมไปถึง self- employ ยกตัวอย่าง แม่บ้านไทยในอังกฤษซึ่งเป็นเพื่อนผมคนหนึ่ง เธอเป็นล่ามอิสระรับแปลคดีในศาลให้คนไทยและลาวที่พูดอังกฤษไม่ได้ ช่วงล็อคดาวน์รัฐบาลชดเชยเงินให้เธอมากกว่าเงินที่เธอได้รับเสียอีก(จนสามารถซื้อรถเบนซ์ได้เลย) ลูกสาวผมก็เหมือนกัน ทำงานเป็นพนักงานเสริฟที่ร้านคาเฟ่เล็กๆ แห่งหนึ่ง เธอได้รับเงินชดเชยจากรัฐและนายจ้าง(ซึ่งช่วยกันรับภาระ)มากกว่าเงินเดือนที่ได้รับประจำ การเข้าไปโอบอุ้มตรงนี้จะช่วยให้เงินสะพัดได้ทันทีทันใดเมื่อปลดล็อค กระนั้น รัฐบาลเองคงจะแบกภาระหนักอึ้งตรงนี้ไม่ไหวในระยะยาว นั่นคือเหตุผลหนึ่งที่ต้องปลดล็อค
การประกาศปลดล็อคของรัฐบาลนั้น ได้ประกาศให้ประชากรให้ตระหนักอยู่บนข้อเท็จจริงว่า "เราจะต้องอยู่กับมัน(โควิด)อีกยาว" การติดเชื้ออาจจะเพิ่มขึ้น และการสูญเสีย(ชีวิต)ก็อาจจะเพิ่มขึ้นในระยะต้น แต่เรา(คนในเกาะอังกฤษ)ต้องอยู่กับมัน และนี่เป็นข้อเท็จจริงที่เลี่ยงไม่ได้
ต้องยอมรับข้อเท็จจริงว่า แม้อังกฤษจะไม่มีความพร้อมที่สมบูรณ์ในการประกาศปลดล็อคครั้งนี้ แต่ตัวโควิดเองนั่นแหละเหมือนจะได้ขีดเส้นทางให้อังกฤษตัดสินใจต้องปลดล็อค หาไม่หากมันลามไปแตะฐานเศรษกิจเมื่อไหร่ นั่นก็อาจจะหมายถึงการค่อยๆ พังทลายอาจนำไปสู่การล่มสลายของอังกฤษเลยก็ว่าได้ อังกฤษเขามองอย่างนี้ ปลดล็อคแล้วหากสถานการณ์เลวร้ายลงไป ก็สามารถล็อคดาวน์รอบสามสี่ห้าได้ และเกิดถ้าหากสถานการณ์ดีขึ้น อังกฤษก็จะไปยืนอยู่แถวหน้าก่อนใครอื่นไม่ว่าจะทั้งเรื่องเศรษฐกิจและเรื่องสาธารสุขในการต่อสู้กับโควิดร้าย นี่แหละคือคุณลักษณะของคนอังกฤษในยามที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์เลวร้ายที่ผลักให้เกาะเล็กๆ แห่งนี้กุมอำนาจและอิทธิพลหลายๆ ด้านในโลกมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
จึงภาวนาไม่อยากให้ประเทศไทยจะต้องมาเผชิญสถานการณ์เหมือนอังกฤษเลย เพราะหากเกิดขึ้นกับประเทศไทยจริง ดูเหมือนว่าเราไม่ได้เตรียมแผนอะไรรองรับที่เป็นรูปธรรมเหมือนอังกฤษตามที่ผมได้เล่าให้ฟังเลยครับ
....อังกฤษกินดีหมีที่ไหนมา? ถึงกล้าเปิดหน้ากับโควิด??.....วัชรานนท์
อังกฤษไม่ได้กินดีหมีจากที่ไหนมาหรอกครับ เขาได้คำนวนออกและวางแผนมาเป็นระยะๆ พร้อมแจ้งให้ประชากรของเขาทราบมาตลอดว่าจะมีมาตรการอย่างไรต่อสถานการณ์ แน่ล่ะ...ย่อมมีคนไม่น้อยที่ไม่เห็นด้วยกับการปลดล็อคครั้งนี้ แต่รัฐบาลพยายามชี้ให้เห็นว่าไม่ว่าจะปลดล็อคหรือล็อคดาวน์ต่อไป ประเทศชาติก็เสียหายทั้งขึ้นทั้งล่องและลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นได้กับทุกประเทศ ดังนั้นเมื่อพิจารณาผลกระทบทั้งในระยะใกล้และไกลแล้ว ขืนล็อคดาวน์ต่อไปโควิดร้ายก็จะลามไปกัดกร่อน "ฐานเศรษฐกิจ" ด้วย คราวนี้ผลกระทบอันเกิดจากฐานเศรษฐกิจบวกกับการระบาดของโควิด ก็จะทำให้เกิด "หายนะ" ที่เรียกว่าทวีคูณและกระทบส่งผลเป็นลูกคลื่นที่ยาวไกล
ด้านวัคซีน
แผนการฉีดวัคซีนของอังกฤษที่วางเอาไว้ตั้งแต่ปีกลายรุดหน้ากว่าที่ตั้งเป้าเอาไว้มาก เจ้าหน้าที่ NHS หน่วยงานสาธารณสุขและคนป่วยฉุกเฉินได้รับการฉีด(ส่วนใหญ่ยี่ห้อไฟเซอร์) มาตั้งแต่ปีที่แล้ว และเมื่อต้นปีก็ฉีดไล่ตามกลุ่มคนสูงอายุไล่ลงมาจนถึงอายุต่ำ จนถึงขณะนี้ก็เหลือเพียงแต่กลุ่มคนสุดท้ายซึ่งเป็นกลุ่มคนหนุ่มสาววัยรุ่น(ซึ่งมีภูมิต้านทานสูงกว่ากลุ่มอื่นๆ) และตอนนี้รุดหน้าไปมากกว่า 45%
ด้านเศรษฐกิจ
แม้อังกฤษเองก็ยังต้องกู้เงินมาเผชิญหน้ากับวิกฤติตรงนี้ซึ่งค่าใช้ต่อวันอยู่ที่หลักพันล้าน ต้องบอกว่า "สายป่าน" ของอังกฤษเองไม่ได้ยาวอย่างที่หลายคนคิด แต่เพื่อต้องการพยุงเศรษฐกิจ(ในระยะยาว) และรักษาระดับการสะพัดของเงินจากการใช้จ่ายให้ปรกติหลังจากที่ปลดล็อค รัฐบาลอังกฤษจึงได้อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบมาตลอดตั้งแต่ล็อคดาวน์ครั้งแรกเมื่อปีกลาย โดยการเข้าอุ้มและช่วยเหลือธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กรวมไปถึง self- employ ยกตัวอย่าง แม่บ้านไทยในอังกฤษซึ่งเป็นเพื่อนผมคนหนึ่ง เธอเป็นล่ามอิสระรับแปลคดีในศาลให้คนไทยและลาวที่พูดอังกฤษไม่ได้ ช่วงล็อคดาวน์รัฐบาลชดเชยเงินให้เธอมากกว่าเงินที่เธอได้รับเสียอีก(จนสามารถซื้อรถเบนซ์ได้เลย) ลูกสาวผมก็เหมือนกัน ทำงานเป็นพนักงานเสริฟที่ร้านคาเฟ่เล็กๆ แห่งหนึ่ง เธอได้รับเงินชดเชยจากรัฐและนายจ้าง(ซึ่งช่วยกันรับภาระ)มากกว่าเงินเดือนที่ได้รับประจำ การเข้าไปโอบอุ้มตรงนี้จะช่วยให้เงินสะพัดได้ทันทีทันใดเมื่อปลดล็อค กระนั้น รัฐบาลเองคงจะแบกภาระหนักอึ้งตรงนี้ไม่ไหวในระยะยาว นั่นคือเหตุผลหนึ่งที่ต้องปลดล็อค
การประกาศปลดล็อคของรัฐบาลนั้น ได้ประกาศให้ประชากรให้ตระหนักอยู่บนข้อเท็จจริงว่า "เราจะต้องอยู่กับมัน(โควิด)อีกยาว" การติดเชื้ออาจจะเพิ่มขึ้น และการสูญเสีย(ชีวิต)ก็อาจจะเพิ่มขึ้นในระยะต้น แต่เรา(คนในเกาะอังกฤษ)ต้องอยู่กับมัน และนี่เป็นข้อเท็จจริงที่เลี่ยงไม่ได้
ต้องยอมรับข้อเท็จจริงว่า แม้อังกฤษจะไม่มีความพร้อมที่สมบูรณ์ในการประกาศปลดล็อคครั้งนี้ แต่ตัวโควิดเองนั่นแหละเหมือนจะได้ขีดเส้นทางให้อังกฤษตัดสินใจต้องปลดล็อค หาไม่หากมันลามไปแตะฐานเศรษกิจเมื่อไหร่ นั่นก็อาจจะหมายถึงการค่อยๆ พังทลายอาจนำไปสู่การล่มสลายของอังกฤษเลยก็ว่าได้ อังกฤษเขามองอย่างนี้ ปลดล็อคแล้วหากสถานการณ์เลวร้ายลงไป ก็สามารถล็อคดาวน์รอบสามสี่ห้าได้ และเกิดถ้าหากสถานการณ์ดีขึ้น อังกฤษก็จะไปยืนอยู่แถวหน้าก่อนใครอื่นไม่ว่าจะทั้งเรื่องเศรษฐกิจและเรื่องสาธารสุขในการต่อสู้กับโควิดร้าย นี่แหละคือคุณลักษณะของคนอังกฤษในยามที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์เลวร้ายที่ผลักให้เกาะเล็กๆ แห่งนี้กุมอำนาจและอิทธิพลหลายๆ ด้านในโลกมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
จึงภาวนาไม่อยากให้ประเทศไทยจะต้องมาเผชิญสถานการณ์เหมือนอังกฤษเลย เพราะหากเกิดขึ้นกับประเทศไทยจริง ดูเหมือนว่าเราไม่ได้เตรียมแผนอะไรรองรับที่เป็นรูปธรรมเหมือนอังกฤษตามที่ผมได้เล่าให้ฟังเลยครับ