เมื่อพูดถึงซัดดัม ฮุสเซน แทบทุกคนก็จะนึกถึงประธานาธิบดีจอมโฉดแห่งอิรัก ก่อสงครามหลายครั้ง ทำคนตายไปนับหมื่นนับแสน
แต่รู้ไหมว่า นอกจากสิ่งที่เราเห็นส่วนใหญ่ตามหน้าข่าวดังๆ แล้ว ซัดดัมยังมีเรื่องราวพิสดารที่เกี่ยวโยงกับเขาอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย
ในบทความนี้เป็นเรื่องแปลก 10 ข้อที่เกิดขึ้นตลอดชีวิตซัดดัม มีทั้งเรื่องที่ว่าเขาเกือบไม่มีตัวตนบนโลก (ข้อ 1) เรื่องที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือที่สุด (ข้อ 3) เรื่องที่ขัดกับภาพลักษณ์ที่สุด (ข้อ 4) เรื่องโปเกมอน (ข้อ 6) เรื่องสตาร์วอร์ส (ข้อ 7) และเรื่องที่ธรรมดาที่สุด (ข้อ 10)
ซัดดัม ฮุสเซน เป็นคนที่มีความพิเศษพิสดารมากกว่าที่เราเคยนึกถึง โดยมีเรื่องราวแปลกๆ เกี่ยวกับตัวเขาดังนี้
(1) โลกเกือบไม่มีซัดดัม ฮุสเซน
รู้ไหมครับว่าซัดดัมเกือบไม่ได้เกิดมาลืมตาดูโลก เพราะแม่ของเขาคิดจะทำแท้ง!
แน่นอนครับว่าในศาสนาอิสลาม การทำแท้งเป็นบาป เพราะเด็กในท้องคือสิ่งที่พระเจ้าบันดาลมาให้เกิด เหตุที่แม่ซัดดัมตัดสินใจอุกอาจเช่นนั้น เพราะสูญเสียสามีไปขณะตั้งท้องได้เพียง 4 เดือน และอีกไม่นานต่อมา ลูกชายคนโตที่อายุ 12 ก็มาตายไปอีก
นางเศร้าโศกอย่างยิ่งจึงคิดจะทำแท้งซัดดัมและฆ่าตัวตายเพื่อหนีความเจ็บช้ำ
ภาพแนบ: ซัดดัมตอนเป็นทารก
สุดท้ายแม่ซัดดัมก็ไม่ได้ฆ่าตัวตาย อาจเพราะยั้งคิดกลัวบาป ทำแล้วไม่สำเร็จ หรืออะไรก็ตาม ทำให้เด็กชายซัดดัมคลอดออกมา
นางไม่สนใจไยดีเด็กคนนี้นัก และได้ส่งไปให้ลุงเลี้ยง ซึ่งลุงซัดดัมนี่เองที่คอยปลูกฝังแนวคิดนิยมอาหรับและชักนำให้ซัดดัมเข้าพรรคบาธในกาลต่อมา
...การตัดสินใจไว้ชีวิตเด็กทารกที่ยังไม่ลืมตาดูโลกในวันนั้น ทำให้หลายชีวิตต้องจบลงก่อนวัยอันควร
(2) ซัดดัมเป็นคนตลก
อาบู อาลี พ่อครัวประจำตัวของซัดดัม เล่ากับนักเขียนโปแลนด์คนหนึ่งว่า วันหนึ่งซัดดัมเคยชวนเพื่อนไปล่องเรือสำราญบนแม่น้ำไทกริส และพาลูกน้องจำนวนหนึ่งไปด้วย…
เมื่อออกเดินทางไปได้สักพัก บอดี้การ์ดคนหนึ่งก็มาบอกพ่อครัวว่า วันนี้ไม่ต้องทำอะไร เพราะประธานาธิบดีจะทำอาหารให้ทุกคนได้กิน โดยเมนูที่ซัดดัมเลือกก็คือ “คอฟตาส” หรือเนื้อเสียบไม้ย่าง
ภาพแนบ: คอฟตาส
อาลีคิดว่าต้องมีการอำอะไรแน่ๆ เลยอย่างน้อยๆ ก็คงมีการหมักเนื้อวัวเนื้อแกะเสียบไม้ไว้ให้ เผื่อประธานาธิบดีปรุงมาไม่อร่อย บรรยากาศจะได้ไม่กร่อย สักชั่วโมงต่อมาบอดี้การ์ดก็ถือจานเนื้อย่างมาหา แล้วบอกว่าซัดดัมแบ่งมาให้
เมื่อพ่อครัวซึ้งใจจนกระทั่งกัดคำแรก เขาพบว่าปากเขาแสบร้อนเหมือนลุกเป็นไฟ! อาลีร้องหาน้ำ แต่ดื่มเท่าไหร่ก็ไม่คลายความเจ็บ
เขาเริ่มน้ำตาไหล ในใจคิดว่าคงโดนยาพิษเข้าเสียแล้ว อาจมีใครบางคนคิดลอบวางยาซัดดัมแล้วความซวยมาตกที่เขาก็เป็นได้
ภาพแนบ: ซอสทาบาสโก
...ผ่านไปพักใหญ่ๆ ความแสบร้อนเริ่มคลาย และอาลียังไม่ตาย มันหมายความว่ายังไง?
สรุปว่าซัดดัมแกล้งทุกคนโดยการเทซอสทาบาสโกเผ็ดติดลิ้นลงไปผสมกับเนื้อ ซึ่งจากมุมมองคนไทยก็อาจไม่ได้เผ็ดอะไรขนาดนั้น แต่กับคนอิรักที่ส่วนมากไม่ทานเผ็ดกัน เจอแบบนี้ก็ต้องวิ่งหาน้ำกันจ้าละหวั่น ขณะที่ซัดดัมนั่งหัวเราะท้องแข็ง
...เป็นอารมณ์ขัดแบบร้ายๆ ที่ว่าไปก็เหมาะกับภาพลักษณ์ซัดดัมดี...
(3) ซัดดัมเคยเป็นมหามิตรสหรัฐฯ
อิรักเป็นศัตรูตัวฉกาจของอเมริกา ...และจะว่าซัดดัมตายเพราะอเมริกาก็ไม่ผิดนัก แต่ก่อนหน้านี้ซัดดัมเคยเป็นมหามิตรของอเมริกามาก่อน
ในปี 1979 เกิดการปฏิวัติอิสลามที่อิหร่าน พระเจ้าชาห์ถูกโค่นอำนาจ อยาตอลเลาะห์ โคไมนี ผู้นำกลุ่มเคร่งศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์ขึ้นมามีอำนาจแทน
โคไมนีมองว่าวัฒนธรรมตะวันตกที่พระเจ้าชาห์นิยมจะทำให้อิสลามเสื่อม จึงยุติการสวามิภักดิ์ต่ออเมริกา แถมยังจับตัวประกันในสถานทูตอเมริกันด้วย
ครั้นซัดดัมทำสงครามกับอิหร่านในปี 1980 อเมริกาและชาติอื่นๆ ที่ขณะนั้นเป็นศัตรูของอิหร่านจึงให้การสนับสนุนทางการทหารแก่อิรัก เพื่อหวังสยบโคไมนี
แม้ซัดดัมจะใช้อาวุธเคมีในศึกสงครามครั้งนั้นซึ่งผิดอนุสัญญาเจนีวา มหาอำนาจก็หลับตาลงข้างหนึ่งเสีย
แต่ความสัมพันธ์หวานชื่นดำเนินไปได้ไม่ถึงปี เพราะเมื่อซัดดัมรุกรานคูเวตเพื่อล้างหนี้ที่ตัวเองไปยืมมาช่วงสงครามอิรัก - อิหร่าน ทำให้เขาเปลี่ยนจากมหามิตรกลายเป็น “ภัยคุกคามอันดับหนึ่งของภูมิภาค” ในทันที
...ซึ่งสิ่งนี้จะก่อให้เกิด “สงครามอ่าวเปอร์เซีย” และเรื่องอื่นๆ ตามมา
ภาพแนบ: หน้าปกฉบับพิมพ์ครั้งแรกในอิรัก ซึ่งจริงๆ ภาพดังกล่าวไปก็อปนักวาดต่างชาติมา
(4) ซัดดัมเขียนนิยายรัก
ในปี 2000 มีหนังสือนิยายรักเล่มหนึ่งตีพิมพ์ออกมา นามว่า Zabibah and the King เล่าถึง “ซาบิบาห์” หญิงสาวผู้สวยงามแต่อาภัพในเมืองติกริต ช่วงศตวรรษที่ 7 - 8 เธอต้องแต่งงานกับชายที่ข่มขืนเธอ ทว่าซาบิบาห์ยังโชคดีที่ราชาแห่งอิรักนาม “อาหรับ” รักและเชิดชู พร้อมแก้แค้นเพื่อกู้ศักดิ์ศรีเธอคืนมา
ครับ… หน้าหนังสือเป็นนิยายรักก็จริง แต่อ่านๆ ไปแล้ว จะพบว่า มันแฝงนัยเอาไว้มากมาย ซาบิบาห์เป็นตัวแทนของประชาชนอิรัก สามีโฉดเป็นตัวแทน
ของอเมริกา และแน่นอน ราชาอาหรับผู้กล้าหาญและเทิดทูนความรักคือตัวซัดดัม
ภาพแนบ: ปกฉบับแปลภาษาอังกฤษ
ทั้งนี้ ในหนังสือยังมีตัวละครเช่น เฮซเคล (อิสราเอล) และ ชามิล (ชาวยิวอื่นๆ) ส่วนโครงเรื่องก็นำมาจากเหตุการณ์ในสงครามอ่าว เช่นวันที่ซาบิบาห์ถูกชายชั่วข่มขืน คือวันที่ 17 มกราคม ที่อเมริกาโจมตีอิรักในสงครามอ่าวนั่นเอง
ตอนแรกไม่ได้มีการเปิดเผยว่าใครเป็นผู้แต่ง แต่ CIA สืบไปสืบมาก็พบว่า ซัดดัม ฮุสเซน เองนี่แหละเขียน หรืออย่างน้อยๆ ก็เป็นนักเขียนเงาที่ซัดดัมเป็นคนวางแนวทางไว้ให้ เรียกว่าขัดภาพลักษณ์เผด็จการจอมโหดเป็นอย่างมาก
ภาพแนบ: ซัดดัมกับ ซาจิดา ทัลฟาห์ ซึ่งจะกลายเป็นภรรยาคนแรก ถ่ายช่วงปี 1980s ในภาพนี้ทั้งสองกำลังจีบกันอยู่
ซัดดัมยังเขียนนิยายแบบมีนัยแฝงออกมาจากปากกาซัดดัมอีก 3 เล่ม ได้แก่
- The Fortified Castle เล่าเรื่องความสัมพันธ์ของอิรักกับเคิร์ด
- Men and the City ว่าด้วยการเติบโตของพรรคบาธ
- Begone, Demons ที่เล่าเรื่องของกลุ่มไซออนนิสต์ - คริสต์ ที่หมายทำลายชาวอาหรับมุสลิม
(5) ซัดดัมพยายามสร้างบาบิโลนใหม่
อาณาจักรบาบิโลนหรือบาบิโลเนียอันยิ่งใหญ่เมื่อหลายพันปีก่อนนั้นตั้งอยู่บนเมโสโปเตเมีย ซึ่งก็คืออิรักในปัจจุบัน ซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างยุคนั้นยังคงตระหง่านอยู่ในทะเลทราย
เมื่อซัดดัมก้าวขึ้นสู่อำนาจ ในปี 1968 เขาก็หมายรื้อฟื้นความยิ่งใหญ่ของอิรักโบราณขึ้นมาใหม่ ประชาชนจะได้รู้ว่าประเทศของพวกเขามีต้นกำเนิดมาจากอะไร
...ซัดดัมเข้าพบนักโบราณคดี เพิ่มงบให้กระทรวงวัตถุโบราณกว่า 80% เพื่อรื้อฟื้นแหล่งอารยธรรมต่างๆ
ภาพแนบ: อิฐที่มีการสลักชื่อซัดดัมลงไป
เขาวางแผนสร้างกำแพงสูง 11.5 เมตร ขึ้นมาใหม่เพื่อสร้าง "บาบิโลน" อันยิ่งใหญ่ดังตำนาน ต่อมาเมื่อถูกนักโบราณคดีทัดทานว่าสร้างแบบนี้ บาบิโลนจะกลายเป็นดิสนีย์แลนด์ แต่ซัดดัมไม่สน และยังเติมสถาปัตยกรรมแบบโรมันลงไปด้วย (ไม่แน่ใจโลจิกเหมือนกัน)
ซึ่งพอเขาทราบว่ามหาราชโบราณเช่นเนบูคัดเนสซาร์ประทับชื่อลงไปบนอิฐที่สร้างของพวกนี้ เขาก็ให้มีชื่อตัวเองประทับลงไปด้วย
ภาพแนบ: เหรียญโลหะสีทอง เป็นรูปซัดดัมคู่กับเนบูคัดเนสซาร์
ซัดดัมนำตนไปเปรียบกับเนบูคัดเนสซาร์หลายครั้ง เช่นในปี 1981 เมื่อมีการฉลองที่อิรักบุกอิหร่านครบ 1 ปี ก็มีคำขวัญว่า “เมื่อวานเป็นเนบูคัดเนสซาร์ วันนี้เป็นซัดดัม ฮุสเซน”
และเมื่อมีงานเทศกาลที่อิรักในปี 1988 นักแสดงผู้รับบทเนบูคัดเนสซาร์ก็อ่านประกาศจากกระทรวงวัฒนธรรมว่า "ซัดดัมสืบเชื้อสายมาจากเนบูคัดเนสซาร์"
ภาพแนบ: ซัดดัมพบ มุสตาฟา บาร์ซานี ผู้นำชาวเคิร์ด
อนึ่งชาวเคิร์ดเป็นชนกลุ่มน้อยในตะวันออกกลาง มีราว 30 ล้านคน หากไม่มีประเทศของตนเอง พวกเขาแตกเป็นหลายส่วนและถูกกดขี่อย่างหนัก แต่การถูกกดขี่เคี่ยวกรำนั้นทำให้พวกเขากลายเป็นนักรบที่เก่งกาจ
หนังสือเล่มนี้เขียนเรื่องราวของชาวเคิร์ดตั้งแต่ยุคตำนานจนถึงประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งมีความพีคแล้วพีคอีก ผ่านสงครามใหญ่ๆ มากมาย เช่นสงครามอิรัก - อิหร่าน, สงครามอ่าวเปอร์เซีย, สงครามปราบซัดดัม, สงครามกลางเมืองอิรัก, สงครามปราบกลุ่มก่อการร้าย แต่ละสงครามที่ว่ามานี้มีสเกลใหญ่เป็นรองแค่สงครามโลก
ชาวเคิร์ดมีส่วนร่วมในสงครามเหล่านี้ทั้งหมดในฐานะชนกลุ่มน้อยที่ไม่รวยแต่รบเก่ง พอมีคนมาติดอาวุธให้เลยมักกลายเป็นไพ่โจ๊กเกอร์ที่เปลี่ยนผลชี้ขาดของสงคราม
(6) ซัดดัมแบนโปเกม่อน
โปเกม่อนบุกอิรักในปี 2001 มาทั้งรูปแบบเกม การ์ตูน ของเล่น ฮิตถล่มทลายเต็มท้องตลาด ทำให้ลูกน้องซัดดัมเกิดคลางแคลงใจว่าขึ้นมาทำไมมันจึงเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ในโลกมุสลิมได้
แล้วผู้อำนวยการฝ่ายความมั่นคงของอิรักก็พบว่า ชื่อโปเกม่อนหลายชื่อเป็นคำไม่มงคลในภาษาซิริแอก (ภาษาโบราณของชาวอาหรับและเปอร์เซีย) เช่น...
“โปเกม่อน” คล้ายกับคำว่า “ข้าคือยิว”
“ปิกาจู” คล้ายกับคำว่า “จงเป็นยิว”
“แมกม่า” คล้ายกับคำว่า “พระเจ้านั้นโง่”
ภาพแนบ: เกม Pokemon Go
เจอแบบนี้เข้าไป ผู้อำนวยการฯ ก็เรียนให้ซัดดัมทราบ เพราะกลัวว่ามันจะทำเด็กเสียคน พวกเขาเลยแบนของชั่วร้ายเหล่านี้เสีย!
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันโปเกม่อนก็ไม่ได้ถูกแบนในอิรักแล้ว และจากข่าวที่ออกมา มีคนอิรักเล่น Pokemon Go ด้วยนะ
*** อ่านต่อใน comment นะครับ ***
*** 10 เรื่องแปลกของ ซัดดัม ฮุสเซน ***
แต่รู้ไหมว่า นอกจากสิ่งที่เราเห็นส่วนใหญ่ตามหน้าข่าวดังๆ แล้ว ซัดดัมยังมีเรื่องราวพิสดารที่เกี่ยวโยงกับเขาอยู่เป็นจำนวนไม่น้อย
ในบทความนี้เป็นเรื่องแปลก 10 ข้อที่เกิดขึ้นตลอดชีวิตซัดดัม มีทั้งเรื่องที่ว่าเขาเกือบไม่มีตัวตนบนโลก (ข้อ 1) เรื่องที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือที่สุด (ข้อ 3) เรื่องที่ขัดกับภาพลักษณ์ที่สุด (ข้อ 4) เรื่องโปเกมอน (ข้อ 6) เรื่องสตาร์วอร์ส (ข้อ 7) และเรื่องที่ธรรมดาที่สุด (ข้อ 10)
ซัดดัม ฮุสเซน เป็นคนที่มีความพิเศษพิสดารมากกว่าที่เราเคยนึกถึง โดยมีเรื่องราวแปลกๆ เกี่ยวกับตัวเขาดังนี้
(1) โลกเกือบไม่มีซัดดัม ฮุสเซน
รู้ไหมครับว่าซัดดัมเกือบไม่ได้เกิดมาลืมตาดูโลก เพราะแม่ของเขาคิดจะทำแท้ง!
แน่นอนครับว่าในศาสนาอิสลาม การทำแท้งเป็นบาป เพราะเด็กในท้องคือสิ่งที่พระเจ้าบันดาลมาให้เกิด เหตุที่แม่ซัดดัมตัดสินใจอุกอาจเช่นนั้น เพราะสูญเสียสามีไปขณะตั้งท้องได้เพียง 4 เดือน และอีกไม่นานต่อมา ลูกชายคนโตที่อายุ 12 ก็มาตายไปอีก
นางเศร้าโศกอย่างยิ่งจึงคิดจะทำแท้งซัดดัมและฆ่าตัวตายเพื่อหนีความเจ็บช้ำ
ภาพแนบ: ซัดดัมตอนเป็นทารก
สุดท้ายแม่ซัดดัมก็ไม่ได้ฆ่าตัวตาย อาจเพราะยั้งคิดกลัวบาป ทำแล้วไม่สำเร็จ หรืออะไรก็ตาม ทำให้เด็กชายซัดดัมคลอดออกมา
นางไม่สนใจไยดีเด็กคนนี้นัก และได้ส่งไปให้ลุงเลี้ยง ซึ่งลุงซัดดัมนี่เองที่คอยปลูกฝังแนวคิดนิยมอาหรับและชักนำให้ซัดดัมเข้าพรรคบาธในกาลต่อมา
...การตัดสินใจไว้ชีวิตเด็กทารกที่ยังไม่ลืมตาดูโลกในวันนั้น ทำให้หลายชีวิตต้องจบลงก่อนวัยอันควร
(2) ซัดดัมเป็นคนตลก
อาบู อาลี พ่อครัวประจำตัวของซัดดัม เล่ากับนักเขียนโปแลนด์คนหนึ่งว่า วันหนึ่งซัดดัมเคยชวนเพื่อนไปล่องเรือสำราญบนแม่น้ำไทกริส และพาลูกน้องจำนวนหนึ่งไปด้วย…
เมื่อออกเดินทางไปได้สักพัก บอดี้การ์ดคนหนึ่งก็มาบอกพ่อครัวว่า วันนี้ไม่ต้องทำอะไร เพราะประธานาธิบดีจะทำอาหารให้ทุกคนได้กิน โดยเมนูที่ซัดดัมเลือกก็คือ “คอฟตาส” หรือเนื้อเสียบไม้ย่าง
ภาพแนบ: คอฟตาส
อาลีคิดว่าต้องมีการอำอะไรแน่ๆ เลยอย่างน้อยๆ ก็คงมีการหมักเนื้อวัวเนื้อแกะเสียบไม้ไว้ให้ เผื่อประธานาธิบดีปรุงมาไม่อร่อย บรรยากาศจะได้ไม่กร่อย สักชั่วโมงต่อมาบอดี้การ์ดก็ถือจานเนื้อย่างมาหา แล้วบอกว่าซัดดัมแบ่งมาให้
เมื่อพ่อครัวซึ้งใจจนกระทั่งกัดคำแรก เขาพบว่าปากเขาแสบร้อนเหมือนลุกเป็นไฟ! อาลีร้องหาน้ำ แต่ดื่มเท่าไหร่ก็ไม่คลายความเจ็บ
เขาเริ่มน้ำตาไหล ในใจคิดว่าคงโดนยาพิษเข้าเสียแล้ว อาจมีใครบางคนคิดลอบวางยาซัดดัมแล้วความซวยมาตกที่เขาก็เป็นได้
ภาพแนบ: ซอสทาบาสโก
...ผ่านไปพักใหญ่ๆ ความแสบร้อนเริ่มคลาย และอาลียังไม่ตาย มันหมายความว่ายังไง?
สรุปว่าซัดดัมแกล้งทุกคนโดยการเทซอสทาบาสโกเผ็ดติดลิ้นลงไปผสมกับเนื้อ ซึ่งจากมุมมองคนไทยก็อาจไม่ได้เผ็ดอะไรขนาดนั้น แต่กับคนอิรักที่ส่วนมากไม่ทานเผ็ดกัน เจอแบบนี้ก็ต้องวิ่งหาน้ำกันจ้าละหวั่น ขณะที่ซัดดัมนั่งหัวเราะท้องแข็ง
...เป็นอารมณ์ขัดแบบร้ายๆ ที่ว่าไปก็เหมาะกับภาพลักษณ์ซัดดัมดี...
(3) ซัดดัมเคยเป็นมหามิตรสหรัฐฯ
อิรักเป็นศัตรูตัวฉกาจของอเมริกา ...และจะว่าซัดดัมตายเพราะอเมริกาก็ไม่ผิดนัก แต่ก่อนหน้านี้ซัดดัมเคยเป็นมหามิตรของอเมริกามาก่อน
ในปี 1979 เกิดการปฏิวัติอิสลามที่อิหร่าน พระเจ้าชาห์ถูกโค่นอำนาจ อยาตอลเลาะห์ โคไมนี ผู้นำกลุ่มเคร่งศาสนาอิสลามนิกายชีอะห์ขึ้นมามีอำนาจแทน
โคไมนีมองว่าวัฒนธรรมตะวันตกที่พระเจ้าชาห์นิยมจะทำให้อิสลามเสื่อม จึงยุติการสวามิภักดิ์ต่ออเมริกา แถมยังจับตัวประกันในสถานทูตอเมริกันด้วย
ครั้นซัดดัมทำสงครามกับอิหร่านในปี 1980 อเมริกาและชาติอื่นๆ ที่ขณะนั้นเป็นศัตรูของอิหร่านจึงให้การสนับสนุนทางการทหารแก่อิรัก เพื่อหวังสยบโคไมนี
แม้ซัดดัมจะใช้อาวุธเคมีในศึกสงครามครั้งนั้นซึ่งผิดอนุสัญญาเจนีวา มหาอำนาจก็หลับตาลงข้างหนึ่งเสีย
แต่ความสัมพันธ์หวานชื่นดำเนินไปได้ไม่ถึงปี เพราะเมื่อซัดดัมรุกรานคูเวตเพื่อล้างหนี้ที่ตัวเองไปยืมมาช่วงสงครามอิรัก - อิหร่าน ทำให้เขาเปลี่ยนจากมหามิตรกลายเป็น “ภัยคุกคามอันดับหนึ่งของภูมิภาค” ในทันที
...ซึ่งสิ่งนี้จะก่อให้เกิด “สงครามอ่าวเปอร์เซีย” และเรื่องอื่นๆ ตามมา
ภาพแนบ: หน้าปกฉบับพิมพ์ครั้งแรกในอิรัก ซึ่งจริงๆ ภาพดังกล่าวไปก็อปนักวาดต่างชาติมา
(4) ซัดดัมเขียนนิยายรัก
ในปี 2000 มีหนังสือนิยายรักเล่มหนึ่งตีพิมพ์ออกมา นามว่า Zabibah and the King เล่าถึง “ซาบิบาห์” หญิงสาวผู้สวยงามแต่อาภัพในเมืองติกริต ช่วงศตวรรษที่ 7 - 8 เธอต้องแต่งงานกับชายที่ข่มขืนเธอ ทว่าซาบิบาห์ยังโชคดีที่ราชาแห่งอิรักนาม “อาหรับ” รักและเชิดชู พร้อมแก้แค้นเพื่อกู้ศักดิ์ศรีเธอคืนมา
ครับ… หน้าหนังสือเป็นนิยายรักก็จริง แต่อ่านๆ ไปแล้ว จะพบว่า มันแฝงนัยเอาไว้มากมาย ซาบิบาห์เป็นตัวแทนของประชาชนอิรัก สามีโฉดเป็นตัวแทน
ของอเมริกา และแน่นอน ราชาอาหรับผู้กล้าหาญและเทิดทูนความรักคือตัวซัดดัม
ภาพแนบ: ปกฉบับแปลภาษาอังกฤษ
ทั้งนี้ ในหนังสือยังมีตัวละครเช่น เฮซเคล (อิสราเอล) และ ชามิล (ชาวยิวอื่นๆ) ส่วนโครงเรื่องก็นำมาจากเหตุการณ์ในสงครามอ่าว เช่นวันที่ซาบิบาห์ถูกชายชั่วข่มขืน คือวันที่ 17 มกราคม ที่อเมริกาโจมตีอิรักในสงครามอ่าวนั่นเอง
ตอนแรกไม่ได้มีการเปิดเผยว่าใครเป็นผู้แต่ง แต่ CIA สืบไปสืบมาก็พบว่า ซัดดัม ฮุสเซน เองนี่แหละเขียน หรืออย่างน้อยๆ ก็เป็นนักเขียนเงาที่ซัดดัมเป็นคนวางแนวทางไว้ให้ เรียกว่าขัดภาพลักษณ์เผด็จการจอมโหดเป็นอย่างมาก
ภาพแนบ: ซัดดัมกับ ซาจิดา ทัลฟาห์ ซึ่งจะกลายเป็นภรรยาคนแรก ถ่ายช่วงปี 1980s ในภาพนี้ทั้งสองกำลังจีบกันอยู่
ซัดดัมยังเขียนนิยายแบบมีนัยแฝงออกมาจากปากกาซัดดัมอีก 3 เล่ม ได้แก่
- The Fortified Castle เล่าเรื่องความสัมพันธ์ของอิรักกับเคิร์ด
- Men and the City ว่าด้วยการเติบโตของพรรคบาธ
- Begone, Demons ที่เล่าเรื่องของกลุ่มไซออนนิสต์ - คริสต์ ที่หมายทำลายชาวอาหรับมุสลิม
(5) ซัดดัมพยายามสร้างบาบิโลนใหม่
อาณาจักรบาบิโลนหรือบาบิโลเนียอันยิ่งใหญ่เมื่อหลายพันปีก่อนนั้นตั้งอยู่บนเมโสโปเตเมีย ซึ่งก็คืออิรักในปัจจุบัน ซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างยุคนั้นยังคงตระหง่านอยู่ในทะเลทราย
เมื่อซัดดัมก้าวขึ้นสู่อำนาจ ในปี 1968 เขาก็หมายรื้อฟื้นความยิ่งใหญ่ของอิรักโบราณขึ้นมาใหม่ ประชาชนจะได้รู้ว่าประเทศของพวกเขามีต้นกำเนิดมาจากอะไร
...ซัดดัมเข้าพบนักโบราณคดี เพิ่มงบให้กระทรวงวัตถุโบราณกว่า 80% เพื่อรื้อฟื้นแหล่งอารยธรรมต่างๆ
ภาพแนบ: อิฐที่มีการสลักชื่อซัดดัมลงไป
เขาวางแผนสร้างกำแพงสูง 11.5 เมตร ขึ้นมาใหม่เพื่อสร้าง "บาบิโลน" อันยิ่งใหญ่ดังตำนาน ต่อมาเมื่อถูกนักโบราณคดีทัดทานว่าสร้างแบบนี้ บาบิโลนจะกลายเป็นดิสนีย์แลนด์ แต่ซัดดัมไม่สน และยังเติมสถาปัตยกรรมแบบโรมันลงไปด้วย (ไม่แน่ใจโลจิกเหมือนกัน)
ซึ่งพอเขาทราบว่ามหาราชโบราณเช่นเนบูคัดเนสซาร์ประทับชื่อลงไปบนอิฐที่สร้างของพวกนี้ เขาก็ให้มีชื่อตัวเองประทับลงไปด้วย
ภาพแนบ: เหรียญโลหะสีทอง เป็นรูปซัดดัมคู่กับเนบูคัดเนสซาร์
ซัดดัมนำตนไปเปรียบกับเนบูคัดเนสซาร์หลายครั้ง เช่นในปี 1981 เมื่อมีการฉลองที่อิรักบุกอิหร่านครบ 1 ปี ก็มีคำขวัญว่า “เมื่อวานเป็นเนบูคัดเนสซาร์ วันนี้เป็นซัดดัม ฮุสเซน”
และเมื่อมีงานเทศกาลที่อิรักในปี 1988 นักแสดงผู้รับบทเนบูคัดเนสซาร์ก็อ่านประกาศจากกระทรวงวัฒนธรรมว่า "ซัดดัมสืบเชื้อสายมาจากเนบูคัดเนสซาร์"
ภาพแนบ: ซัดดัมพบ มุสตาฟา บาร์ซานี ผู้นำชาวเคิร์ด
อนึ่งชาวเคิร์ดเป็นชนกลุ่มน้อยในตะวันออกกลาง มีราว 30 ล้านคน หากไม่มีประเทศของตนเอง พวกเขาแตกเป็นหลายส่วนและถูกกดขี่อย่างหนัก แต่การถูกกดขี่เคี่ยวกรำนั้นทำให้พวกเขากลายเป็นนักรบที่เก่งกาจ
หนังสือเล่มนี้เขียนเรื่องราวของชาวเคิร์ดตั้งแต่ยุคตำนานจนถึงประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งมีความพีคแล้วพีคอีก ผ่านสงครามใหญ่ๆ มากมาย เช่นสงครามอิรัก - อิหร่าน, สงครามอ่าวเปอร์เซีย, สงครามปราบซัดดัม, สงครามกลางเมืองอิรัก, สงครามปราบกลุ่มก่อการร้าย แต่ละสงครามที่ว่ามานี้มีสเกลใหญ่เป็นรองแค่สงครามโลก
ชาวเคิร์ดมีส่วนร่วมในสงครามเหล่านี้ทั้งหมดในฐานะชนกลุ่มน้อยที่ไม่รวยแต่รบเก่ง พอมีคนมาติดอาวุธให้เลยมักกลายเป็นไพ่โจ๊กเกอร์ที่เปลี่ยนผลชี้ขาดของสงคราม
(6) ซัดดัมแบนโปเกม่อน
โปเกม่อนบุกอิรักในปี 2001 มาทั้งรูปแบบเกม การ์ตูน ของเล่น ฮิตถล่มทลายเต็มท้องตลาด ทำให้ลูกน้องซัดดัมเกิดคลางแคลงใจว่าขึ้นมาทำไมมันจึงเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ในโลกมุสลิมได้
แล้วผู้อำนวยการฝ่ายความมั่นคงของอิรักก็พบว่า ชื่อโปเกม่อนหลายชื่อเป็นคำไม่มงคลในภาษาซิริแอก (ภาษาโบราณของชาวอาหรับและเปอร์เซีย) เช่น...
“โปเกม่อน” คล้ายกับคำว่า “ข้าคือยิว”
“ปิกาจู” คล้ายกับคำว่า “จงเป็นยิว”
“แมกม่า” คล้ายกับคำว่า “พระเจ้านั้นโง่”
ภาพแนบ: เกม Pokemon Go
เจอแบบนี้เข้าไป ผู้อำนวยการฯ ก็เรียนให้ซัดดัมทราบ เพราะกลัวว่ามันจะทำเด็กเสียคน พวกเขาเลยแบนของชั่วร้ายเหล่านี้เสีย!
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันโปเกม่อนก็ไม่ได้ถูกแบนในอิรักแล้ว และจากข่าวที่ออกมา มีคนอิรักเล่น Pokemon Go ด้วยนะ
*** อ่านต่อใน comment นะครับ ***