- เดิมผมไปฟัง ปฏิจจสมุปบาท จากพระคึกฤทธิ์แล้วไม่เข้าใจ จึงตกลงใจว่าจะศึกษาเอง
- ก็มาฟัง อาจารย์ (อ.อาณัติชัย เหลืออมรชัย)ท่านนี้สอนในยูตู๊บ ลองฟังดู ก็เกิดชอบใจขึ้นมา ก็ฟังไปไม่เข้าใจก็ฟังซ้ำ เผลอหลับไปก็ฟังซ้ำ เมื่อแต่ละประเด็นในบทเข้าใจแล้วก็ฟังประเด็นต่อไปในบท เข้าใจก็ไปฟังต่อ ไม่เข้าใจก็ไปฟังซ้ำ ฟังไปฟังมาฟังจบ ก็เกิดปิติ
- พอฟังปฏิจจสมุปบาทจบ ก็อยากรู้เรื่องจิต ว่าจิตคืออะไรกันแน่ ความจริงผมก็อ่านศึกษาตำราต่างๆหลากหลายเรื่องจิตมามาก หลายๆปี นั่งวิปัสสนา นั่งสมถุกัมมัฏฐาน ตอนนั้นยังไม่เข้าใจว่าอะไรคือสมถะ อะไรคือวิปัสสนา ก็ตั้งใจว่าจะมาฟังเรื่องจิตให้เข้าใจสักทีอย่างจริงจังจากอาจารย์ท่านนี้แหละ ก็แบบเดิมครับ ฟัง เรื่องปรมัตถธรรม4 แบบเดิม ฟังให้เข้าใจไม่เข้าใจก็ฟังซ้ำจนเข้าใจ เผลอหลับก็ฟังซ้ำจนเข้าใจ เข้าใจแล้วก็ผ่านทีละประเด็นทีละประเด็นจนจบปรมัตถธรรม
- ต่อมา ก็มาวิถีจิต ต่อมาก็ สมถะ และวิปัสสนา ต่อมาก็ปัฏฐาน
- นี้เป็นเที่ยวแรกด้วยการฟังให้เข้าใจแล้วผ่าน
- ต่อมาเที่ยวสองเห็นว่า น่าจะจดย่อทุกเรื่อง จดๆไปเห็นว่า ทุกคำสอนมีคุณค่ายิ่ง เอาไว้ทบทวนได้ จึงจดหมดทุกคำ ก็จดไปฟังไป จนจบหมด นับว่าเป็นรอบที่สองกับการเรียนพระอภิธรรม
- ทีนี้ก็ได้รับคำแนะนำจากท่านกัลยาณมิตรว่า ควรเรียนปฏิสัมภิทามรรค ก็เลยเริ่มเรียนพร้อมจดไปด้วย ได้ถึงบทที่ 30 แต่ในใจก็อยากทบทวนสิ่งที่จดไว้ด้วย พอบทที่ 30 กล่าวถึงปัฏฐาน ก็เลยมาทบทวนปัฏฐาน และก็เลยมาสาธยายในพันธ์ทิพย์นี้ครับ
----------
- ถ้าท่านกัลยาณมิตรทั้งหลายได้อ่านแล้ว ก็พอจะอนุมานได้นะครับ ว่าวิธีเรียนพระอภิธรรมสำหรับผมเป็นแบบนี้ครับ
- เมื่อเรียนแล้วจะรู้ว่า เวลาของชีวิตที่เสียไปด้วยการเรียนพระอภิธรรมนั้นมีคุณค่ายิ่งกว่าเวลาที่เสียไปสร้างผลงานที่ดีเด่นที่ผ่านมาในชีวิตของผม
- อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวของผม
- และอาจารย์ที่สอนท่านนี้ ก็จะเป็นบาท ให้ฟังอาจารย์/พระอาจารย์ท่านอื่นที่สอนในเรื่องเดียวกันต่อไป เพื่อสร้างความกระจ่างรอบรู้อย่างกว้างขวางครับ
---------
- ผมเลยคิดว่า ด้วยตัวแบบการเรียนของผม เป็นตัวแบบการเรียนพระอภิธรรมแบบหนึ่ง ที่ศึกษาด้วยตนเอง ที่ได้ผล และคุ้มค่าที่จะลงทุนด้วยเวลาของชีวิตที่มีคุณค่ายิ่งของตัวผมเอง อย่างแท้จริงแน่นอน และด้วยเหตุนี้แม้ชาติต่อๆไป ก็จะสละเวลาชีวิตมาศึกษาพระอภิธรรมอีกถ้าเกิดมาแล้วลืม เป็นอย่างนี้ทุกชาติทุกชาติไป จนกว่า จะถึงวันที่เหมาะสมควรแก่ธรรมที่จะบรรลุได้ดวงตาเห็นธรรมในกาลไหนก็ตาม
การศึกษาพระอภิธรรมแบบกระผมเรียนแบบไหน
- ก็มาฟัง อาจารย์ (อ.อาณัติชัย เหลืออมรชัย)ท่านนี้สอนในยูตู๊บ ลองฟังดู ก็เกิดชอบใจขึ้นมา ก็ฟังไปไม่เข้าใจก็ฟังซ้ำ เผลอหลับไปก็ฟังซ้ำ เมื่อแต่ละประเด็นในบทเข้าใจแล้วก็ฟังประเด็นต่อไปในบท เข้าใจก็ไปฟังต่อ ไม่เข้าใจก็ไปฟังซ้ำ ฟังไปฟังมาฟังจบ ก็เกิดปิติ
- พอฟังปฏิจจสมุปบาทจบ ก็อยากรู้เรื่องจิต ว่าจิตคืออะไรกันแน่ ความจริงผมก็อ่านศึกษาตำราต่างๆหลากหลายเรื่องจิตมามาก หลายๆปี นั่งวิปัสสนา นั่งสมถุกัมมัฏฐาน ตอนนั้นยังไม่เข้าใจว่าอะไรคือสมถะ อะไรคือวิปัสสนา ก็ตั้งใจว่าจะมาฟังเรื่องจิตให้เข้าใจสักทีอย่างจริงจังจากอาจารย์ท่านนี้แหละ ก็แบบเดิมครับ ฟัง เรื่องปรมัตถธรรม4 แบบเดิม ฟังให้เข้าใจไม่เข้าใจก็ฟังซ้ำจนเข้าใจ เผลอหลับก็ฟังซ้ำจนเข้าใจ เข้าใจแล้วก็ผ่านทีละประเด็นทีละประเด็นจนจบปรมัตถธรรม
- ต่อมา ก็มาวิถีจิต ต่อมาก็ สมถะ และวิปัสสนา ต่อมาก็ปัฏฐาน
- นี้เป็นเที่ยวแรกด้วยการฟังให้เข้าใจแล้วผ่าน
- ต่อมาเที่ยวสองเห็นว่า น่าจะจดย่อทุกเรื่อง จดๆไปเห็นว่า ทุกคำสอนมีคุณค่ายิ่ง เอาไว้ทบทวนได้ จึงจดหมดทุกคำ ก็จดไปฟังไป จนจบหมด นับว่าเป็นรอบที่สองกับการเรียนพระอภิธรรม
- ทีนี้ก็ได้รับคำแนะนำจากท่านกัลยาณมิตรว่า ควรเรียนปฏิสัมภิทามรรค ก็เลยเริ่มเรียนพร้อมจดไปด้วย ได้ถึงบทที่ 30 แต่ในใจก็อยากทบทวนสิ่งที่จดไว้ด้วย พอบทที่ 30 กล่าวถึงปัฏฐาน ก็เลยมาทบทวนปัฏฐาน และก็เลยมาสาธยายในพันธ์ทิพย์นี้ครับ
----------
- ถ้าท่านกัลยาณมิตรทั้งหลายได้อ่านแล้ว ก็พอจะอนุมานได้นะครับ ว่าวิธีเรียนพระอภิธรรมสำหรับผมเป็นแบบนี้ครับ
- เมื่อเรียนแล้วจะรู้ว่า เวลาของชีวิตที่เสียไปด้วยการเรียนพระอภิธรรมนั้นมีคุณค่ายิ่งกว่าเวลาที่เสียไปสร้างผลงานที่ดีเด่นที่ผ่านมาในชีวิตของผม
- อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวของผม
- และอาจารย์ที่สอนท่านนี้ ก็จะเป็นบาท ให้ฟังอาจารย์/พระอาจารย์ท่านอื่นที่สอนในเรื่องเดียวกันต่อไป เพื่อสร้างความกระจ่างรอบรู้อย่างกว้างขวางครับ
---------
- ผมเลยคิดว่า ด้วยตัวแบบการเรียนของผม เป็นตัวแบบการเรียนพระอภิธรรมแบบหนึ่ง ที่ศึกษาด้วยตนเอง ที่ได้ผล และคุ้มค่าที่จะลงทุนด้วยเวลาของชีวิตที่มีคุณค่ายิ่งของตัวผมเอง อย่างแท้จริงแน่นอน และด้วยเหตุนี้แม้ชาติต่อๆไป ก็จะสละเวลาชีวิตมาศึกษาพระอภิธรรมอีกถ้าเกิดมาแล้วลืม เป็นอย่างนี้ทุกชาติทุกชาติไป จนกว่า จะถึงวันที่เหมาะสมควรแก่ธรรมที่จะบรรลุได้ดวงตาเห็นธรรมในกาลไหนก็ตาม