"ขอขอบคุณเพจ ป ปืนอย่างสูงครับ"
https://www.facebook.com/Porpeunbybaster/
ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีความพยายามในการพัฒนาปืนเล็กยาวอัตโนมัติ/กึ่งอัตโนมัติ หรือ ปืนเล็กยาวต่อสู้( Battle rifle) ซึ่งรวมถึงปืนแบบอื่นๆอีก เช่นปืนกลเอนกประสงค์ ปืนซุ่มยิง ฯลฯ หนึ่งในคุณสมบัติที่ต้องการคือ กระสุนสามารถบรรจุด้วยซองกระสุนที่มีความจุมากกว่า 20 นัด ซึ่งในช่วงปลายยุค40 ได้มีการทดสอบโดยใช้กระสุนขนาด .30-06 Springfield ซึ่งก็พบว่าอำนาจของกระสุนนั้นมากเกินไปเมื่อจะต้องทำการยิงต่อเนื่อง จึงต้องมีการใช้กระสุนที่มีผลังงานนน้อยกว่าลงมา ซึ่งเป็นโครงการ '.30 Light Rifle' cartridges.
แนวคิดนี้เคยมีการเสนอโดย John Pedersen ซึ่งเขาเคยนำเสนอปืนกึ่งอัตโนมัติขนาด .276 Pedersen(ช่วงปี 1923–1932) ซึ่งสามารถบรรจุด้วย En-bloc clip ขนาด 10นัด (มิติกระสุนใกล้เคียงกัย 7.62X39mm.) โดยมีขนาด 7×51mm.
ในช่วงปี1944 ได้มีการนำแนวคิดนี้มาใช้อีกครั้งในโครงการกระสุนต้นแบบ ซึ่งใช้พื้นฐานของกระสุนขนา.300 Savage ซึ่งเป็นคู่แข่งในโครงการนี้ด้วย คือกระสุนต้นแบบ แบบ T65 series experimental cartridges ซึ่งออกแบบโดยคือ Frankford Arsenal โดยT65มีปลอกกระสุนเรียวน้อยกว่าของ . 300 Savage เพราะมีการนำปลอกกระสุนขนาด .30-06 Springfield มาลดความยาวลง และใช้หัวกระสุนแบบ 150gr M2 Ball bullet.จาก .30-06 ซึ่งทำให้มีความจุดนปืนน้อยกว่า . 300 Savage เนื่องจากผนังปลอกกระสุนหนากว่าซึ่งทำให้ได้กระสุน T65 หรือ 7.62x47mm. (ในปี1945 ก็มีการนำหัวกระสุนแบบเดียวกันมาใส่ในปลอกกระสุน . 300 Savage เช่นกัน )
แต่ T65 มีช่วงคอกระสุนที่สั้นจึงทำให้ไม่มีความมั่นใจว่าตรงส่วนนี้จะแข็งแรงพอเมื่อมีการใช้งาน ในปี1947 จึงมีการยืดความยาวปลอกกระสุนขึ้นมาอีก 49 มม. ซึ่งปลอกตัวนี้ถูกเรียกว่า FAT1. (Frankford Arsenal Test) ใช้หัวกระสุนแบบ T11 GMCS bullet 136 เกรน 7-ogive( ogive คือค่าทางรูปทรงผิวโค้งเรียว ซึ่งใช้ในกระสุนทรงหัวแหลมหรือ spitzer ogive. ) ท้ายเรียบ ซึ่งกลายเป็น T65E1 หรือ 7.62×49mm แบบที่1
ต่อมาปี1948 มีการปรับปรุงร่องสำหรับขอเกี่ยวปลอกกระสุนให้แข็งแรงขึ้นเนื่องจากแบบเดิมนั้นมีการฉีกขาดของปลอกกกระสุน นั้นคือปลอกกระสุนแบบ FAT1E1 และใช้หัวกระสุนแบบT104 กลายเป็น T65E2 / 7.62×49mm
และต่อมาปี1949 มีการปรับมุมเรียวขึ้นคือปลอกกระสุนแบบ FAT1E2 จนมีการพัฒนาให้คอกระสุนยาวขึ้นจนปลอกกระสุนยาว 51 มม. คือปลอกกระสุนแบบ FAT1E3 ใช้หัวกระสุนแบบ T104E1 ซึ่งก็ได้กระสุนต้นแบบ T65E3 หรือ 7.62×51mm
ในปี1952 ได้มีการออกแบบกระสุนแบบ T21 147 เกรน 10-ogive ซึ่งหัวกระสุนเป็นทรง boat-tail ซึ่งส่วนท้ายจะมีความเรียวโค้งคล้ายลูกรักบี้และมีแกนเหล็ก(steel core bullet.) ซึ่งมีการเรียกหัวกระสุนชนิดใหม่ว่า T104E2 หนัก 150.5 เกรน จึงได้กระสุนต้นแบบ T65E4 กองทัพสหรัฐฯจึงได้บรรจุกระสุนแบบ “Cartridge, caliber 7.62mm, NATO, ball, M59” หรือ M59 Ball ในปี 1955. ซึ่งมีการนำมาใช้กับปืนต้นแบบ T44 หรือ M14 .ในเวลาต่อมา
มีการพัฒนาในแบบสุดท้ายคือ T65E5 ซึ่งเป็นกระสุนแบบ non-magnetic GM jacketed bullet ซึ่งใช้หัวกระสุนแบบ T233 (GMCS jacketed bullet.) ซึ่งก็พัฒนาควบคู่ไปกับ T104E2 ของ M59 ซึ่งต่อมาหัวกระสุนแบบ T233 ใส้ตะกั่วล้วนหนัก 147 เกรน จึงได้บรรจุในปี1959 ในชื่อ “Cartridge, caliber 7.62mm, NATO, ball, M80”
การผลิต M59 Ball หยุดลงในปี 1960 และ M80 ยังคงเป็นกระสุนขนาด 7.62mm NATO มาตรฐานของกองทัพสหรัฐฯมาถึงปัจจุบัน โดยมีการพัฒนาไปเป็น M80A1, M993, XM1158, MK 316 MOD 0 เป็นต้น
ออสเตรเลีย ใช้งานแบบ Cartridge, Caliber 7.62mm, NATO, Ball, F4
อังกฤษ ปัจจุบันคือ Cartridge, ball, L44A1
เบลเยี่ยม ใช้งานแบบ SS77/1
เยอรมัน Patrone AB22, 7.62mm × 51, DM41, Weichkern ("soft-core", or "ball")
อิสราเอล ใช้งานแบบ IMI, 7.62mm × 51mm, long range match 175 gr
เป็นต้น
สู่ NATO
ในการนำเสนอกระสุนมาตรฐานของ NATO. นั้น สหรัฐฯมีคู่แข่งสำคัญคือ อังกฤษ ซึ่งได้นำเสนอกระสุนขนาด .280 British (7 mm)ซึ่งสามารถควบคุมปืนได้ง่ายกว่าโดยนำเสนอพร้อมกับปืนแบบฺ Bull-pup Rifle No. 9 ซึ่งถึงแม้ว่าแคนาดาจะแสดงออกว่าพวกเขาก็ยินดีที่จะใช้กระสุนขนาด .280 British เช่นกัน แต่สหรัฐฯก็มีจุดยืนที่ว่า การยิงแบบอัตโนมัติจะใช้งานก็ต่อเมื่อจำเป็นเท่านั้น และกระสุนแบบT65ก็มีอำนาจการทำลายสูง ซึ่งเป็นการแสดงออกอย่างชัดแจนว่าอเมริกันจะไม่ใช้ .280 British. อย่างแน่นอน (คือหากสมาชิกนาโต้บรรจุ .280 อเมริกาก็ยังจะใช้ T65 อยู่ดี) สมาชิก NATO.ได้มีการพิจารนาอย่างถี่ถ้วนสุดท้ายก็เลือกใช้กระสุนแบบ T65E5 (7.62×51mm) .ในปี 1954 ซึ่งกลายเป็นที่มาของกระสุนแบบ 7.62×51mm NATO ในที่สุด
กระสุนแบบ 7.62×51mm NATO นั้นมีหลายแบบทั้งของอเมริกันและประเทศอื่นๆ ซึ่งสามารถดูได้ตามลิงค์เครดิตครับ
.308 Winchester
Winchester นั้นได้เล็งเห็นการทำตลาดพลเรือนสำหรับกระสุนแบบ T65E4 ในช่วงเปิดตัวในปี 1952 ก่อนที่จะมีการนำไปทดสอบกับ NATO โดย Winchester ได้นำเสนอ .308 Winchester. ซึ่งเกือบจะมีสัดส่วนเท่ากับ 7.62×51mm NATO. แต่มีระยะ headspace ส้วนกว่าเล็กน้อยและผนังปลอกกระสุนแต่การเปลี่ยนแปลงในช่วงระหว่า 1952-1954 ทำให้กระสุนแบบ 7.62×51mm NATO นั้นสามารถป้อนเข้ารังเพลิงและใช้งานได้ในปืนขนาด.308 Winchester.ได้ แต่จะไม่สามารถ งานใช้กระสุนขนาด .308 Winchester .ในปืนที่เป็นรังเพลิงแบบ 7.62×51mm NATO.
ขอบคุณที่ติดตามและขออภัยหากมีข้อผิดพลาดประการใดมาณ.ที่นี้ครับ
Cr.
https://www.reddit.com/.../cartridge_history_for_the_day.../
https://en.wikipedia.org/wiki/7.62%C3%9751mm_NATO
https://www.facebook.com/Porpeunbybaster/posts/1704698482961630/
#7_62X51mmNATO #308Winchester #ป_ปืน
สวัสดีครับ
สารานุกรมปืนตอนที่ 670 กระสุน 7.62×51mm NATO
https://www.facebook.com/Porpeunbybaster/
ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้มีความพยายามในการพัฒนาปืนเล็กยาวอัตโนมัติ/กึ่งอัตโนมัติ หรือ ปืนเล็กยาวต่อสู้( Battle rifle) ซึ่งรวมถึงปืนแบบอื่นๆอีก เช่นปืนกลเอนกประสงค์ ปืนซุ่มยิง ฯลฯ หนึ่งในคุณสมบัติที่ต้องการคือ กระสุนสามารถบรรจุด้วยซองกระสุนที่มีความจุมากกว่า 20 นัด ซึ่งในช่วงปลายยุค40 ได้มีการทดสอบโดยใช้กระสุนขนาด .30-06 Springfield ซึ่งก็พบว่าอำนาจของกระสุนนั้นมากเกินไปเมื่อจะต้องทำการยิงต่อเนื่อง จึงต้องมีการใช้กระสุนที่มีผลังงานนน้อยกว่าลงมา ซึ่งเป็นโครงการ '.30 Light Rifle' cartridges.
แนวคิดนี้เคยมีการเสนอโดย John Pedersen ซึ่งเขาเคยนำเสนอปืนกึ่งอัตโนมัติขนาด .276 Pedersen(ช่วงปี 1923–1932) ซึ่งสามารถบรรจุด้วย En-bloc clip ขนาด 10นัด (มิติกระสุนใกล้เคียงกัย 7.62X39mm.) โดยมีขนาด 7×51mm.
ในช่วงปี1944 ได้มีการนำแนวคิดนี้มาใช้อีกครั้งในโครงการกระสุนต้นแบบ ซึ่งใช้พื้นฐานของกระสุนขนา.300 Savage ซึ่งเป็นคู่แข่งในโครงการนี้ด้วย คือกระสุนต้นแบบ แบบ T65 series experimental cartridges ซึ่งออกแบบโดยคือ Frankford Arsenal โดยT65มีปลอกกระสุนเรียวน้อยกว่าของ . 300 Savage เพราะมีการนำปลอกกระสุนขนาด .30-06 Springfield มาลดความยาวลง และใช้หัวกระสุนแบบ 150gr M2 Ball bullet.จาก .30-06 ซึ่งทำให้มีความจุดนปืนน้อยกว่า . 300 Savage เนื่องจากผนังปลอกกระสุนหนากว่าซึ่งทำให้ได้กระสุน T65 หรือ 7.62x47mm. (ในปี1945 ก็มีการนำหัวกระสุนแบบเดียวกันมาใส่ในปลอกกระสุน . 300 Savage เช่นกัน )
แต่ T65 มีช่วงคอกระสุนที่สั้นจึงทำให้ไม่มีความมั่นใจว่าตรงส่วนนี้จะแข็งแรงพอเมื่อมีการใช้งาน ในปี1947 จึงมีการยืดความยาวปลอกกระสุนขึ้นมาอีก 49 มม. ซึ่งปลอกตัวนี้ถูกเรียกว่า FAT1. (Frankford Arsenal Test) ใช้หัวกระสุนแบบ T11 GMCS bullet 136 เกรน 7-ogive( ogive คือค่าทางรูปทรงผิวโค้งเรียว ซึ่งใช้ในกระสุนทรงหัวแหลมหรือ spitzer ogive. ) ท้ายเรียบ ซึ่งกลายเป็น T65E1 หรือ 7.62×49mm แบบที่1
ต่อมาปี1948 มีการปรับปรุงร่องสำหรับขอเกี่ยวปลอกกระสุนให้แข็งแรงขึ้นเนื่องจากแบบเดิมนั้นมีการฉีกขาดของปลอกกกระสุน นั้นคือปลอกกระสุนแบบ FAT1E1 และใช้หัวกระสุนแบบT104 กลายเป็น T65E2 / 7.62×49mm
และต่อมาปี1949 มีการปรับมุมเรียวขึ้นคือปลอกกระสุนแบบ FAT1E2 จนมีการพัฒนาให้คอกระสุนยาวขึ้นจนปลอกกระสุนยาว 51 มม. คือปลอกกระสุนแบบ FAT1E3 ใช้หัวกระสุนแบบ T104E1 ซึ่งก็ได้กระสุนต้นแบบ T65E3 หรือ 7.62×51mm
ในปี1952 ได้มีการออกแบบกระสุนแบบ T21 147 เกรน 10-ogive ซึ่งหัวกระสุนเป็นทรง boat-tail ซึ่งส่วนท้ายจะมีความเรียวโค้งคล้ายลูกรักบี้และมีแกนเหล็ก(steel core bullet.) ซึ่งมีการเรียกหัวกระสุนชนิดใหม่ว่า T104E2 หนัก 150.5 เกรน จึงได้กระสุนต้นแบบ T65E4 กองทัพสหรัฐฯจึงได้บรรจุกระสุนแบบ “Cartridge, caliber 7.62mm, NATO, ball, M59” หรือ M59 Ball ในปี 1955. ซึ่งมีการนำมาใช้กับปืนต้นแบบ T44 หรือ M14 .ในเวลาต่อมา
มีการพัฒนาในแบบสุดท้ายคือ T65E5 ซึ่งเป็นกระสุนแบบ non-magnetic GM jacketed bullet ซึ่งใช้หัวกระสุนแบบ T233 (GMCS jacketed bullet.) ซึ่งก็พัฒนาควบคู่ไปกับ T104E2 ของ M59 ซึ่งต่อมาหัวกระสุนแบบ T233 ใส้ตะกั่วล้วนหนัก 147 เกรน จึงได้บรรจุในปี1959 ในชื่อ “Cartridge, caliber 7.62mm, NATO, ball, M80”
การผลิต M59 Ball หยุดลงในปี 1960 และ M80 ยังคงเป็นกระสุนขนาด 7.62mm NATO มาตรฐานของกองทัพสหรัฐฯมาถึงปัจจุบัน โดยมีการพัฒนาไปเป็น M80A1, M993, XM1158, MK 316 MOD 0 เป็นต้น
ออสเตรเลีย ใช้งานแบบ Cartridge, Caliber 7.62mm, NATO, Ball, F4
อังกฤษ ปัจจุบันคือ Cartridge, ball, L44A1
เบลเยี่ยม ใช้งานแบบ SS77/1
เยอรมัน Patrone AB22, 7.62mm × 51, DM41, Weichkern ("soft-core", or "ball")
อิสราเอล ใช้งานแบบ IMI, 7.62mm × 51mm, long range match 175 gr
เป็นต้น
สู่ NATO
ในการนำเสนอกระสุนมาตรฐานของ NATO. นั้น สหรัฐฯมีคู่แข่งสำคัญคือ อังกฤษ ซึ่งได้นำเสนอกระสุนขนาด .280 British (7 mm)ซึ่งสามารถควบคุมปืนได้ง่ายกว่าโดยนำเสนอพร้อมกับปืนแบบฺ Bull-pup Rifle No. 9 ซึ่งถึงแม้ว่าแคนาดาจะแสดงออกว่าพวกเขาก็ยินดีที่จะใช้กระสุนขนาด .280 British เช่นกัน แต่สหรัฐฯก็มีจุดยืนที่ว่า การยิงแบบอัตโนมัติจะใช้งานก็ต่อเมื่อจำเป็นเท่านั้น และกระสุนแบบT65ก็มีอำนาจการทำลายสูง ซึ่งเป็นการแสดงออกอย่างชัดแจนว่าอเมริกันจะไม่ใช้ .280 British. อย่างแน่นอน (คือหากสมาชิกนาโต้บรรจุ .280 อเมริกาก็ยังจะใช้ T65 อยู่ดี) สมาชิก NATO.ได้มีการพิจารนาอย่างถี่ถ้วนสุดท้ายก็เลือกใช้กระสุนแบบ T65E5 (7.62×51mm) .ในปี 1954 ซึ่งกลายเป็นที่มาของกระสุนแบบ 7.62×51mm NATO ในที่สุด
กระสุนแบบ 7.62×51mm NATO นั้นมีหลายแบบทั้งของอเมริกันและประเทศอื่นๆ ซึ่งสามารถดูได้ตามลิงค์เครดิตครับ
.308 Winchester
Winchester นั้นได้เล็งเห็นการทำตลาดพลเรือนสำหรับกระสุนแบบ T65E4 ในช่วงเปิดตัวในปี 1952 ก่อนที่จะมีการนำไปทดสอบกับ NATO โดย Winchester ได้นำเสนอ .308 Winchester. ซึ่งเกือบจะมีสัดส่วนเท่ากับ 7.62×51mm NATO. แต่มีระยะ headspace ส้วนกว่าเล็กน้อยและผนังปลอกกระสุนแต่การเปลี่ยนแปลงในช่วงระหว่า 1952-1954 ทำให้กระสุนแบบ 7.62×51mm NATO นั้นสามารถป้อนเข้ารังเพลิงและใช้งานได้ในปืนขนาด.308 Winchester.ได้ แต่จะไม่สามารถ งานใช้กระสุนขนาด .308 Winchester .ในปืนที่เป็นรังเพลิงแบบ 7.62×51mm NATO.
ขอบคุณที่ติดตามและขออภัยหากมีข้อผิดพลาดประการใดมาณ.ที่นี้ครับ
Cr.
https://www.reddit.com/.../cartridge_history_for_the_day.../
https://en.wikipedia.org/wiki/7.62%C3%9751mm_NATO
https://www.facebook.com/Porpeunbybaster/posts/1704698482961630/
#7_62X51mmNATO #308Winchester #ป_ปืน