ส.ส.วอนคืนความเป็นธรรมให้กับพระที่ติดคุกฟรี 450 วัน

วันที่ 18 กรกฎาคม 2564 ดร.นิยม เวชกามา สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสกลนคร เขต 2 พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า คดีเงินทอนวัดที่เป็นข่าวสะเทือนใจชาวพุทธ เมื่อ 3 ปีที่แล้ว สืบเนื่องจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดย พ.ต.ท. พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนา ในขณะนั้นเป็นผู้ให้ข้อมูลไม่ถูกต้องนำไปสู่การร้องทุกข์กล่าวโทษ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้บุกเข้าจับกุมพระเถระผู้ใหญ่ระดับรองสมเด็จพร้อมกันถึง 3 รูป คือ เจ้าอาวาสวัดสามพระยา พระพรหมดิลก พร้อมพระเจ้าคุณเลขา และ พระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาสวัดสระเกศ พร้อมพระระดับเจ้าคุณผู้ช่วยเจ้าอาวาส รวม 5 รูป ทั้งหมด 7 รูป ส่วนพระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ ท่านได้ขอลี้ภัยไปประเทศเยอรมัน

แต่เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมาศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ อท.205/2561 มีคำสั่ง “ยกฟ้อง” ตัดสินให้เจ้าคุณสังคม อดีตพระราชอุปเสณาภรณ์ และ เจ้าคุณเทอด อดีตพระราชกิจจาภรณ์ วัดสระเกศให้เป็นผู้บริสุทธิ์ เพราะเป็นการฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยสำนักพุทธได้นำหลักฐานเป็นเช็คผิดฉบับ ผิดปีงบประมาณ ผิดโครงการมาฟ้อง เข้าใจกันง่ายๆ เรียกว่า “นำหลักฐานมาฟ้องเท็จ” ต่อมาแม้มีการขอศาลแก้ไขคำฟ้องใหม่ แต่ก็เป็นการแก้ไขคำฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เท่ากับว่า จับพระไปขังคุกเปล่าๆ โดยไม่ได้ผ่านกระบวนการสอบสวนมาก่อนใดๆ ทั้งสิ้น ศาลท่านพิจารณาว่า การดำเนินการทั้งหมด ถือว่า ไม่ได้ผ่านกระบวนการสอบสวนมาก่อน จึงยกฟ้อง นับเป็นการสร้างความเสียหายต่อพระพุทธศาสนาอย่างร้ายแรง ที่สำคัญชาวพุทธทั้งประเทศสะเทือนใจ พระสงฆ์ก็เสียขวัญกับเรื่องนี้มาก

ขนาดพระผู้ใหญ่ซึ่งเป็นเสาหลักของพระพุทธศาสนาถูกกระทำอย่างไม่เป็นธรรม เช่นนี้ พระเล็กพระน้อยตามต่างจังหวัดก็ไม่ต้องพูดถึง สังคมต่างก็ตั้งคำถามว่า ใครจะต้องรับผิดชอบ ?

ดร.นิยม กล่าวต่อไปอีกว่า “ในฐานะที่ตนเป็น ส.ส.ชาวพุทธ ชาวบ้านเรียกกันว่า ส.ส.สายพระจึงขอชี้แจงแทนชาวพุทธว่า ผู้ที่จะต้องรับผิดชอบในเรื่องคนแรกเลย คือ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องไปแก้ไขให้ถูกต้อง เพราะเป็นผู้กำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้เกิดความเสียหายต่อพระพุทธศาสนาอย่างร้ายแรง ในครั้งนี้ เมื่อปรากฎว่า พระที่ถูกจับไปติดคุกฟรีนานถึง 450 วัน รวมแล้วก็ปีกว่า ซึ่งเกิดจากความผิดพลาดของนายกฯ และศาลยกฟ้อง จึงเป็นความรับผิดชอบของนายกฯ ที่จะต้องคืนความเป็นธรรมให้กับพระ นายกจะมีกระบวนการแก้ไข เยียวยาอย่างไรบ้าง เพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับท่านเหล่านั้น

นายกฯประยุทธ์ทราบหรือไม่ว่า สิ่งที่นายกฯ ดำเนินการไม่ชอบด้วยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ เมื่อสำนักพุทธนำข้อมูลหลักฐานอันเป็นเท็จรายงานต่อนายกรัฐมนตรี ในฐานะเป็นนายโดยตรง และเรื่องศาสนาเป็นเรื่องละเอียดอ่อน กระทบกระเทือนต่อความรู้สึกของชาวพุทธ จำเป็นต้องพิจารณาอย่างละเอียด รอบคอบ แต่ท่านนายกไม่ได้พิจารณาข้อมูลอย่างรอบด้าน ไม่ได้ตรวจสอบข้อมูลให้ดีเสียก่อน กลับนำข้อมูลอันเป็นเท็จที่สำนักพุทธเสนอมา ประกาศถอดถอนสมณศักดิ์พระเถระ โดยที่ตัวนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ จึงต้องรับผิดชอบตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 6 และมาตรา 182 ท่านจะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากความผิดพลาดของตนเองอย่างไร ?

ดร.นิยม กล่าวอีกว่า “ในฐานะนายกรัฐมนตรีจะต้องกระทำตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ทุกประการ ตามมาตรา 161 วรรคสอง ความว่า “…จะรักษาไว้และปฏิบัติตามซึ่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกประการ” และ ตามมาตรา 164 วรรคหนึ่ง ความว่า “ในการบริหารราชการแผ่นดิน คณะรัฐมนตรีต้องดำเนินการตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ กฎหมาย…”

เมื่อคดียังไม่ถึงที่สุด ต้องให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า พระเถระทุกรูปยังเป็นผู้บริสุทธิ์ จะปฏิบัติต่อท่านเสมือนเป็นผู้กระทำความผิดไม่ได้ ตามมาตรา 29 วรรคสอง แต่นายกกลับนำข้อมูลอันเป็นเท็จเสนอถอดถอนสมณศักดิ์ โดยอ้างเหตุผลตามประกาศว่า พระทุกรูปได้กระทำการทุจริตไปแล้ว ทั้งที่ในขณะนั้นสำนักพุทธ เพิ่งร้องทุกข์กล่าวโทษ และพนักงานสอบสวนก็เพิ่งรวบรวมพยานหลักฐาน และพระทุกรูปก็ยังไม่ได้สึกจากความเป็นพระ แต่เสนอข้อมูลอันเป็นเท็จว่า ท่านสึกไปแล้ว ฉวยเป็นโอกาสนำเรื่องเสนอถอดถอนสมณศักดิ์ เพื่อให้ดูมีเหตุผลเพียงพอที่จะถอดถอนสมณศักดิ์ โดยเล็งเห็นผลให้สังคมเกลียดชังประณามพระว่า “ทุจริตแล้ว” การกระทำของนายกรัฐมนตรี จึงเป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 29 วรรคสอง และการกระทำของนายกรัฐมนตรีนั้นเป็นอันใช้บังคับไม่ได้ ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 5 วรรคหนึ่ง

“ต่อกรณีดังกล่าวนี้ นายกฯจะรับผิดชอบอย่างไร และในเรื่องดังกล่าว ผมได้เสนอญัตติเข้าสภาผู้แทนราษฎร เพื่อสอบถามนายกฯ เปิดประชุมเมื่อไหร่ ก็จะต้องนำเรื่องนี้อภิปรายกัน ผมไม่ได้เน้นที่ตัวนายกฯประยุทธ์ แต่ผมพุ่งไปที่พระพุทธศาสนา มุ่งไปที่วงการพระสงฆ์ ต้องคืนความเป็นธรรมให้พระที่ถูกกลั่นแกล้งทุกรูป”

“ในฐานะชาวพุทธคนหนึ่ง และนายกฯก็เป็นชาวพุทธเช่นกัน ผมอยากขอความกรุณาให้นายกรัฐมนตรีได้ดำเนินการแก้ไขในความผิดพลาดของตนเองอย่างเร่งด่วน พร้อมทั้งอยากกราบนมัสการไปยังกรรมการมหาเถรสมาคม ขอให้เป็นเสาหลักให้กับพระสงฆ์ ให้พระสงฆ์พึ่งพิงได้ หันมาใส่ใจกับการดูแลพระสงฆ์กันเองอย่างจริงจัง อย่าเปิดโอกาสให้ใครก็ตามรังแกพระสงฆ์กันเองเลย ผมทราบว่า กรรมาธิการศาสนาและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร ได้ส่งผลการศึกษาเรื่องคดีเงินทอนวัดเพื่อให้มหาเถรสมาคมพิจารณาหาหนทางช่วยเหลือพระด้วยกันเอง ไม่ทราบว่า สำนักพุทธได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อที่ประชุมมหาเถรสมาคมแล้วหรือไม่ ทำไมเรื่องดังกล่าวจึงถูกเก็บเงียบหายไป”

“แม้ปรากฎแล้วว่า ศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง ทั้งที่รู้ว่า การกระทำที่ผ่านมา เป็นการกระทำที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่ต้น บัดนี้ ก็ยังไม่หยุดการกระทำดังกล่าว ขณะนี้มหาเถรสมาคมยังพยายามจะนำเสนอเรื่องที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญอยู่อีก โดยทราบว่าพยายามที่จะเสนอตั้งเจ้าอาวาสวัดสามพระยา วัดสระเกศ และวัดสัมพันธวงศ์ ครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่สนใจความถูกต้องแต่อย่างใดเลย เมื่อมันไม่ถูกต้องมาตั้งแต่ต้น ก็กลับไปแก้ไขให้ถูกต้องเสีย ยิ่งหันหลังให้ฝั่งก็จะพากันออกทะเลไปเรื่อย ที่สุดแล้ว ผู้ที่จะต้องรับผิดชอบก็คงหนีไม่พ้นนายกรัฐมนตรี” สส นิยม กล่าว
(ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์)

ฟังดูมีเหตุมีผล แต่ประเด็นฟ้องเท็จเข้าข่ายจริงหรือไม่ คงต้องรอนักกฎหมายมาช่วยให้คำตอบล่ะครับ...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่