สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 24
ผมคือคนที่อยู่ในสเตตัสเดียวกับสามีคุณ
เพียงแค่ต่างกันที่ว่า สำหรับเรื่องของผมมันสายไปแล้วและอาจจะเลือกไม่ไปต่อก็เท่านั้น
สิ่งที่คุณต้องเข้าใจก่อนอย่างแรก
คือเวลามีปัญหาบนความสัมพันธ์ ต่อให้คุณแก้ไขไปได้ดีขนาดไหนก็ตาม
มันจะไม่มีอะไรเหมือนเดิมเสมอ
เพราะฉะนั้นอย่าคาดหวังเยอะมากไปไว้จะดีกว่า
และทุกครั้งเวลาที่คนเราคบกัน ทะเลาะกัน
สิ่งที่ต้องจ่ายเสมอเพื่อให้ปัญหาจบ คือความรู้สึกดีๆ
ความรัก ความรู้สึกดี ความหลง อะไรพวกนี้คือด่านหน้าทั้งนั้น
และผมเชื่อว่าสามีคุณจ่ายจนเกือบหมดตัวไปแล้ว
ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเราจ่ายความรู้สึกดีออกไป
เราย่อมรักอีกคนน้อยลงครับ
อะไรที่เคยทำ แน่นอนมันก็ไม่ได้อยากทำเหมือนเดิม
ความสัมพันธ์ของคุณตอนนี้มันถูกทำสัญญาด้วยการแต่งงาน
สามีของคุณอาจจะไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่าว่า
ไหนๆก็แต่งงานกันแล้ว ก็คงต้องไปต่อกันให้รอด
เขาจึงถอนสิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ออกมาใช้
ซึ่งนั่นคือความอดทน
และคุณก็เห็นแล้วว่ามันก็ถูกเผาจนหมดไปเรียบร้อยอีกเช่นกัน
สภาพสามีคุณในตอนนี้
คือคนที่หลังชนฝาและพยายาม Protect ความรู้สึกตัวเอง
เขาไม่ได้อยากที่จะทิ้งคุณไป ไม่ได้อยากจะนอกใจคุณ
แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะเปลี่ยนคุณยังไง หรือควรเปลี่ยนตัวเองยังไง
เพื่อไม่ให้ตัวเอง Suffer ไปมากกว่านี้
มันเป็นความอึดอัดที่บอกไม่ถูก
ไม่ได้รัก แต่ก็ไม่ได้เกลียด
อยากไปต่อข้างหน้า แต่ก็เสียดายที่เดินผ่านมาข้างหลัง
เชื่อว่ามันอาจจะดีขึ้นได้ แต่ก็ไม่รู้จะเอาความรู้สึกไหนมาจ่ายเพื่อลองมันอีกครั้ง
ฯลฯ
แค่ฟังก็เหนื่อยแล้ว
แต่เชื่อผมเถอะ คนที่อยู่ในสภาวะแบบนี้เหนื่อยกว่าเยอะครับ
ดังนั้นสิ่งที่คุณควรทำตอนนี้คือให้เขาพักครับ
7 ปีที่ผ่านมาผมไม่รู้หรอกคุณรักกันแบบไหน
แต่ที่รู้ คือมันก็นานเกินพอสำหรับการที่เราอาจจะหลงลืม
หรือทิ้งอะไรบางอย่างที่ตัวเองเคยต้องการ เคยอยากทำ
เพื่อแลกกับสร้างความสัมพันธ์นี้ขึ้นมา
วันนี้สามีคุณแค่อาจจะอยากไปเก็บมันขึ้นมาประกอบใหม่
อยากใช้เวลาส่วนตัว ทำอะไรคนเดียว อยากอยู่กับเพื่อน
ปล่อยเขาไปก่อน และทำได้เพียงเชื่อใจครับ
ส่วนตัวคุณเอง ก็เพียงแค่ปรับพฤติกรรมที่ไม่ดีออกไป
ทำในสิ่งที่คิดว่ามันดี และมีเหตุผล
ไม่ต้องกลายเป็นคนหวาน ไม่ต้องกลายเป็นคนอ้อนเอาอกเอาใจ
ถ้าคุณไม่ได้เป็นคนแบบนั้น
เพียงแค่กลับไปเป็นตัวคุณ
แบบที่สามีคุณเจอเมื่อ 7 ปีก่อนแล้วตกหลุมรักกัน แค่นั้นก็พอ
และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของความผูกพันทั้งหมดที่ยังเหลือ
จัดการซ่อมความสัมพันธ์ด้วยตัวมันเองครับ
สุดท้าย
เรื่องที่คุณทะเลาะกัน จนมันเริ่มบั่นทอนความรู้สึกเขา
ผมและคุณไม่มีทางรู้หรอกว่ามันเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร หรือเพราะอะไร
ดังนั้น อย่าไปคาดหวังว่ามันจะดีขึ้นในวันสองวัน
คุณอาจจะต้องใช้เวลาเป็นปี สิบปี หรือมากกว่านั้น
แต่ถ้าคุณเลือกแล้วว่าคุณอยากจะอยู่กับคนนี้ไปทั้งชีวิต
ผมมองว่ายังไงมันก็คุ้มค่าที่จะแลกมัน
ขอให้สามีคุณไม่ได้คิดและตัดสินใจแบบเดียวกับผมละกันครับ
เป็นกำลังใจให้ครับ
เพียงแค่ต่างกันที่ว่า สำหรับเรื่องของผมมันสายไปแล้วและอาจจะเลือกไม่ไปต่อก็เท่านั้น
สิ่งที่คุณต้องเข้าใจก่อนอย่างแรก
คือเวลามีปัญหาบนความสัมพันธ์ ต่อให้คุณแก้ไขไปได้ดีขนาดไหนก็ตาม
มันจะไม่มีอะไรเหมือนเดิมเสมอ
เพราะฉะนั้นอย่าคาดหวังเยอะมากไปไว้จะดีกว่า
และทุกครั้งเวลาที่คนเราคบกัน ทะเลาะกัน
สิ่งที่ต้องจ่ายเสมอเพื่อให้ปัญหาจบ คือความรู้สึกดีๆ
ความรัก ความรู้สึกดี ความหลง อะไรพวกนี้คือด่านหน้าทั้งนั้น
และผมเชื่อว่าสามีคุณจ่ายจนเกือบหมดตัวไปแล้ว
ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อเราจ่ายความรู้สึกดีออกไป
เราย่อมรักอีกคนน้อยลงครับ
อะไรที่เคยทำ แน่นอนมันก็ไม่ได้อยากทำเหมือนเดิม
ความสัมพันธ์ของคุณตอนนี้มันถูกทำสัญญาด้วยการแต่งงาน
สามีของคุณอาจจะไม่ได้คิดอะไรไปมากกว่าว่า
ไหนๆก็แต่งงานกันแล้ว ก็คงต้องไปต่อกันให้รอด
เขาจึงถอนสิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ออกมาใช้
ซึ่งนั่นคือความอดทน
และคุณก็เห็นแล้วว่ามันก็ถูกเผาจนหมดไปเรียบร้อยอีกเช่นกัน
สภาพสามีคุณในตอนนี้
คือคนที่หลังชนฝาและพยายาม Protect ความรู้สึกตัวเอง
เขาไม่ได้อยากที่จะทิ้งคุณไป ไม่ได้อยากจะนอกใจคุณ
แต่เขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะเปลี่ยนคุณยังไง หรือควรเปลี่ยนตัวเองยังไง
เพื่อไม่ให้ตัวเอง Suffer ไปมากกว่านี้
มันเป็นความอึดอัดที่บอกไม่ถูก
ไม่ได้รัก แต่ก็ไม่ได้เกลียด
อยากไปต่อข้างหน้า แต่ก็เสียดายที่เดินผ่านมาข้างหลัง
เชื่อว่ามันอาจจะดีขึ้นได้ แต่ก็ไม่รู้จะเอาความรู้สึกไหนมาจ่ายเพื่อลองมันอีกครั้ง
ฯลฯ
แค่ฟังก็เหนื่อยแล้ว
แต่เชื่อผมเถอะ คนที่อยู่ในสภาวะแบบนี้เหนื่อยกว่าเยอะครับ
ดังนั้นสิ่งที่คุณควรทำตอนนี้คือให้เขาพักครับ
7 ปีที่ผ่านมาผมไม่รู้หรอกคุณรักกันแบบไหน
แต่ที่รู้ คือมันก็นานเกินพอสำหรับการที่เราอาจจะหลงลืม
หรือทิ้งอะไรบางอย่างที่ตัวเองเคยต้องการ เคยอยากทำ
เพื่อแลกกับสร้างความสัมพันธ์นี้ขึ้นมา
วันนี้สามีคุณแค่อาจจะอยากไปเก็บมันขึ้นมาประกอบใหม่
อยากใช้เวลาส่วนตัว ทำอะไรคนเดียว อยากอยู่กับเพื่อน
ปล่อยเขาไปก่อน และทำได้เพียงเชื่อใจครับ
ส่วนตัวคุณเอง ก็เพียงแค่ปรับพฤติกรรมที่ไม่ดีออกไป
ทำในสิ่งที่คิดว่ามันดี และมีเหตุผล
ไม่ต้องกลายเป็นคนหวาน ไม่ต้องกลายเป็นคนอ้อนเอาอกเอาใจ
ถ้าคุณไม่ได้เป็นคนแบบนั้น
เพียงแค่กลับไปเป็นตัวคุณ
แบบที่สามีคุณเจอเมื่อ 7 ปีก่อนแล้วตกหลุมรักกัน แค่นั้นก็พอ
และปล่อยให้เป็นหน้าที่ของความผูกพันทั้งหมดที่ยังเหลือ
จัดการซ่อมความสัมพันธ์ด้วยตัวมันเองครับ
สุดท้าย
เรื่องที่คุณทะเลาะกัน จนมันเริ่มบั่นทอนความรู้สึกเขา
ผมและคุณไม่มีทางรู้หรอกว่ามันเริ่มเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร หรือเพราะอะไร
ดังนั้น อย่าไปคาดหวังว่ามันจะดีขึ้นในวันสองวัน
คุณอาจจะต้องใช้เวลาเป็นปี สิบปี หรือมากกว่านั้น
แต่ถ้าคุณเลือกแล้วว่าคุณอยากจะอยู่กับคนนี้ไปทั้งชีวิต
ผมมองว่ายังไงมันก็คุ้มค่าที่จะแลกมัน
ขอให้สามีคุณไม่ได้คิดและตัดสินใจแบบเดียวกับผมละกันครับ
เป็นกำลังใจให้ครับ
ความคิดเห็นที่ 1
เราอยากมาคอมเม้นท์ให้กำลังใจค่ะ เราเองตอนคบกับแฟนช่วงแรกก็เป็นแบบคุณเลยค่ะ ทะเลาะบ่อยมาก นิดหน่อยก็เป็นเรื่อง ทั้งงี่เง่า เอาแต่ใจ หัวร้อนง่ายด้วย มีหลายครั้งที่เหนื่อย จนอยากเลิก จนวันหนึ่งทะเลาะกันหนักมากๆ และมันก็ทำให้แฟนรู้สึกถึงรักน้อยลง เรารู้ว่าเรากับแฟนต่างกันเกินไปในทุกเรื่อง แต่ก็รู้ว่าส่วนหนึ่งก็เพร่ะนิสัยเราเองด้วย ตอนนั้นแฟนก็บอกว่ารักเราน้อยลงเหมือนกัน เขาบอกว่าเขาเคยคิดว่าจะเลิก แต่ที่รู้สึกว่าอยากทำจริงๆก็คือครั้งนั้น มันสับสนไปหมด แอบโชคดีที่แฟนเรารักน้อยลงไม่มากค่ะ เพราะไม่ได้สะสมมาเป็นเวลานานเท่าไหร่นัก และแน่นอนว่าเราก็กลัวเหมือนคุณค่ะ ซึ่งหลังจากนั้นเราเปลี่ยนตัวเอง และเคร่งครัดกับตัวเองมากๆ เราคิดแค่ว่าเราต้องดีขึ้น เราเป็นคนที่ทำให้ความรักมันน้อยลง มีแค่เราเท่านั้นที่จะเป็นคนทำให้เขากลับมารักมากขึ้นได้ เราพยายามในหลายๆอย่าง และมันได้ผลค่ะ เพราะหลังจากตอนนั้นความสัมพันธ์เปลี่ยนไปในทางที่ดีมากขึ้น อะไรหลายๆอย่างดีมากขึ้น และแฟนก็เห็นความพยายามของเราค่ะ ตอนนี้เขาเองก็กลับมารักเราแบบเดิม
สำหรับเรา เราอยากให้คุณเลิกกลัวแล้วสู้ค่ะ ทำให้ดีที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ เรามองว่าความรักมันมีเพิ่มมีลดเป็นปกติ ถ้าเคยทำให้เขารักเราน้อยลงมาแล้วครั้งหนึ่ง เราก็สามารถที่จะเพิ่มความรักนั้นได้เช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าการจะทำให้เขากลับมารักเราอีกครั้งนั้น เราต้องไม่ใช่คนเดิม ไม่เป็นคนในแบบเดิม มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินจะทำ ถ้าตั้งใจจริง
เราขอให้ความรักของคุณกับสามีกลับมาสดใส สดชื่นดังเดิมนะคะ ความพยายามมันไม่เสียหายที่จะลองหรอกค่ะ
สำหรับเรา เราอยากให้คุณเลิกกลัวแล้วสู้ค่ะ ทำให้ดีที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ เรามองว่าความรักมันมีเพิ่มมีลดเป็นปกติ ถ้าเคยทำให้เขารักเราน้อยลงมาแล้วครั้งหนึ่ง เราก็สามารถที่จะเพิ่มความรักนั้นได้เช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าการจะทำให้เขากลับมารักเราอีกครั้งนั้น เราต้องไม่ใช่คนเดิม ไม่เป็นคนในแบบเดิม มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ยากเกินจะทำ ถ้าตั้งใจจริง
เราขอให้ความรักของคุณกับสามีกลับมาสดใส สดชื่นดังเดิมนะคะ ความพยายามมันไม่เสียหายที่จะลองหรอกค่ะ
ความคิดเห็นที่ 25
ไม่มั่นใจก็ต้องทำ ถ้ากลัวว่าทำไม่สำเร็จ แล้วไม่ทำ ก็คือล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่เริ่ม โอกาสสำเร็จคือ 0%
คุณอยากได้ คสพ นี้กลับมาแค่ไหนล่ะ ถ้าต้องมานั่งคิดก่อนว่าโอกาสสำเร็จมีกี่ % ถ้าเยอะค่อยทำ ถ้าน้อย จะไม่ทำ เพราะกลัวล้มเหลว แบบนั้นอย่าทำเลยดีกว่า ก็ปล่อยๆ เขาไปเถอะ ถ้าเขามีค่ากับคุณจริง ต่อให้โอกาส 0.001% คุณก็จะคว้าไว้อยู่ดีแหละ
ไม่ต้องไปคิดถึงผลท้ายที่สุดจะสำเร็จมั้ย มองแค่เราทำสุดความสามารถหรือยัง ทำดีที่สุดหรือยัง พยายามที่สุดหรือยัง ถ้าทุกอย่างสุดจริง ผลจะเป็นยังไง คุณจะไม่ค้างคาใจหรอก หรือแม้แต่แทบไม่เสียใจด้วยซ้ำ เพราะถือว่ามันสุดความสามารถคุณแล้ว
+++++++++++++++++
เพิ่มเติม จากประเด็นข้างบนที่ตอบคุณในแง่คิดจะทำหรือไม่ทำ
อีกเรื่องที่เราเห็นจากคุณคือ คุณยังนึกถึงตัวเองมากกว่านึกถึงเขา
คุณรู้สึกผิด รู้สึกตัวตอนนี้ เพราะเขาเปลี่ยนไป (หลังจากทนมานานมาก แต่ไม่เคยแสดงออกให้คุณรู้) ถ้าเขาไม่เปลี่ยน คุณก็จะไม่เคยรู้ตัวว่าสิ่งที่คุณทำมันแย่ขนาดไหน นั่นเป็นเพราะคุณไม่เคย "คิดถึงใจเขา" นั่นเอง คุณมารู้สึกตอนนี้เพราะคุณรู้สึกว่ากำลังจะเสียเขาไป เพราะคุณ "กลัวการสูญเสีย" ซึ่งเป็นการนึกถึงตัวเองล้วนๆ ถ้าเขายังอยู่คุณจะไม่มีความรู้สึกกลัวตรงนี้และก็จะทำตัวเหมือนเดิมต่อไป
ฉะนั้นต่อจากนี้ คุณควรหันมาคิดถึงจิตใจของเขาให้มาก ว่าทำอะไรแล้วมันจะส่งผลกระทบต่อจิตใจเขายังไง อะไรทำแล้วเขาไม่สบายใจ อะไรทำแล้วเขารู้สึกแย่ เลิกทำทุกอย่าง เขาบอกให้โอกาส คุณยังจะไปมองในจุดที่ว่าเขาให้คุณได้ไม่เหมือนเดิม ไม่กอดจูบ ไม่บอกรัก คุณไปมองแต่จุดที่คุณจะได้ พอไม่ได้ก็ถึงจะว้าวุ่น มาตั้งกระทู้ว่า จะทำไงดีๆ ให้เขาเหมือนเดิม
ถ้าคุณแยกแยะตรงนี้ไม่ออกนะ ต่อให้คุณพยายามทำอะไรไปทุกอย่าง มันก็จะเป็นเพียงเพราะ คุณ "ต้องการให้เขากลับมาเหมือนเดิม" แต่ไม่ใช่เพราะ "ต้องการให้เขามีความสุข" แค่เปลี่ยนความคิดชีวิตก็เปลี่ยน ลองคิดถึงใจเขาให้มากๆ ทะนุถนอมความรู้สึกเขาให้มากๆ แล้วการกระทำคุณจะออกมาเองโดยธรรมชาติ ไม่ต้องพยายาม ว่านี่คือเปลี่ยนรึยัง ทำดีรึยัง ถ้ารู้สึกว่าสิ่งที่ทำคือทำให้เขามีความสุข ทำให้เขาสบายใจ ก็คือถูกต้องแล้ว ไม่ต้องไปคิดให้มันซับซ้อนมาก
คุณอยากได้ คสพ นี้กลับมาแค่ไหนล่ะ ถ้าต้องมานั่งคิดก่อนว่าโอกาสสำเร็จมีกี่ % ถ้าเยอะค่อยทำ ถ้าน้อย จะไม่ทำ เพราะกลัวล้มเหลว แบบนั้นอย่าทำเลยดีกว่า ก็ปล่อยๆ เขาไปเถอะ ถ้าเขามีค่ากับคุณจริง ต่อให้โอกาส 0.001% คุณก็จะคว้าไว้อยู่ดีแหละ
ไม่ต้องไปคิดถึงผลท้ายที่สุดจะสำเร็จมั้ย มองแค่เราทำสุดความสามารถหรือยัง ทำดีที่สุดหรือยัง พยายามที่สุดหรือยัง ถ้าทุกอย่างสุดจริง ผลจะเป็นยังไง คุณจะไม่ค้างคาใจหรอก หรือแม้แต่แทบไม่เสียใจด้วยซ้ำ เพราะถือว่ามันสุดความสามารถคุณแล้ว
+++++++++++++++++
เพิ่มเติม จากประเด็นข้างบนที่ตอบคุณในแง่คิดจะทำหรือไม่ทำ
อีกเรื่องที่เราเห็นจากคุณคือ คุณยังนึกถึงตัวเองมากกว่านึกถึงเขา
คุณรู้สึกผิด รู้สึกตัวตอนนี้ เพราะเขาเปลี่ยนไป (หลังจากทนมานานมาก แต่ไม่เคยแสดงออกให้คุณรู้) ถ้าเขาไม่เปลี่ยน คุณก็จะไม่เคยรู้ตัวว่าสิ่งที่คุณทำมันแย่ขนาดไหน นั่นเป็นเพราะคุณไม่เคย "คิดถึงใจเขา" นั่นเอง คุณมารู้สึกตอนนี้เพราะคุณรู้สึกว่ากำลังจะเสียเขาไป เพราะคุณ "กลัวการสูญเสีย" ซึ่งเป็นการนึกถึงตัวเองล้วนๆ ถ้าเขายังอยู่คุณจะไม่มีความรู้สึกกลัวตรงนี้และก็จะทำตัวเหมือนเดิมต่อไป
ฉะนั้นต่อจากนี้ คุณควรหันมาคิดถึงจิตใจของเขาให้มาก ว่าทำอะไรแล้วมันจะส่งผลกระทบต่อจิตใจเขายังไง อะไรทำแล้วเขาไม่สบายใจ อะไรทำแล้วเขารู้สึกแย่ เลิกทำทุกอย่าง เขาบอกให้โอกาส คุณยังจะไปมองในจุดที่ว่าเขาให้คุณได้ไม่เหมือนเดิม ไม่กอดจูบ ไม่บอกรัก คุณไปมองแต่จุดที่คุณจะได้ พอไม่ได้ก็ถึงจะว้าวุ่น มาตั้งกระทู้ว่า จะทำไงดีๆ ให้เขาเหมือนเดิม
ถ้าคุณแยกแยะตรงนี้ไม่ออกนะ ต่อให้คุณพยายามทำอะไรไปทุกอย่าง มันก็จะเป็นเพียงเพราะ คุณ "ต้องการให้เขากลับมาเหมือนเดิม" แต่ไม่ใช่เพราะ "ต้องการให้เขามีความสุข" แค่เปลี่ยนความคิดชีวิตก็เปลี่ยน ลองคิดถึงใจเขาให้มากๆ ทะนุถนอมความรู้สึกเขาให้มากๆ แล้วการกระทำคุณจะออกมาเองโดยธรรมชาติ ไม่ต้องพยายาม ว่านี่คือเปลี่ยนรึยัง ทำดีรึยัง ถ้ารู้สึกว่าสิ่งที่ทำคือทำให้เขามีความสุข ทำให้เขาสบายใจ ก็คือถูกต้องแล้ว ไม่ต้องไปคิดให้มันซับซ้อนมาก
ความคิดเห็นที่ 2
ขอตอบในฐานะคนที่แต่งงานมา 20 ปี
เคยให้คำแนะนำเรื่องครอบครัวมาหลายร้อยคน
อาการของสามีตอนนี้เป็นอาการเรียกว่าหมดรัก และเริ่มจะหมดไฟ แต่ยังไม่สุดทาง
หากรักมี 100% ตอนนี้น้องคงเหลืออยู่ซัก 30% ตอนนี้จึงต้องใช้ต้นทุนที่มีอยู่ให้มีคุณค่า หากยังรักและอยากไปต่อ
แต่หากเราก็คิดว่าเราก็ไม่ไหวแล้ว ก็เลิกจบกันไป (แต่ไม่แนะนำ) เพราะดูแล้วสามีน้องก็ถือว่าเป็นคนที่ดีทีเดียว และไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่ายในสังคมตอนนี้
แนะนำให้ปรับปรุงตัวครับหากรู้ว่าทำอะไรไว้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
โอกาสยังมี แต่ไม่ใช่การเปลี่ยนเพื่อสามี แต่เป็นการเปลี่ยนเพื่อตัวเอง แล้วจะไม่กดดัน
หากอยากได้คำแนะนำก็ลองทักทายมาคุยกันได้ ใช้ต้นทุนที่มีเพิ่มให้ความรักกลับคืนมาอีกครั้ง...
เคยให้คำแนะนำเรื่องครอบครัวมาหลายร้อยคน
อาการของสามีตอนนี้เป็นอาการเรียกว่าหมดรัก และเริ่มจะหมดไฟ แต่ยังไม่สุดทาง
หากรักมี 100% ตอนนี้น้องคงเหลืออยู่ซัก 30% ตอนนี้จึงต้องใช้ต้นทุนที่มีอยู่ให้มีคุณค่า หากยังรักและอยากไปต่อ
แต่หากเราก็คิดว่าเราก็ไม่ไหวแล้ว ก็เลิกจบกันไป (แต่ไม่แนะนำ) เพราะดูแล้วสามีน้องก็ถือว่าเป็นคนที่ดีทีเดียว และไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่ายในสังคมตอนนี้
แนะนำให้ปรับปรุงตัวครับหากรู้ว่าทำอะไรไว้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
โอกาสยังมี แต่ไม่ใช่การเปลี่ยนเพื่อสามี แต่เป็นการเปลี่ยนเพื่อตัวเอง แล้วจะไม่กดดัน
หากอยากได้คำแนะนำก็ลองทักทายมาคุยกันได้ ใช้ต้นทุนที่มีเพิ่มให้ความรักกลับคืนมาอีกครั้ง...
แสดงความคิดเห็น
สามีให้โอกาสเราปรับปรุงตัว มันสามารถกลับมาเหมือนเดิมได้มั้ยคะ?
จนทางพ่อแม่สามีมาคุยกับเค้า และตอนนี้เค้าให้โอกาสเราแก้ไขตัวเองค่ะ แต่รู้สึกว่าสามีไม่เหมือนเดิม จากเคยกอดจูบ ตอนนี้ก็ไม่บ่อย ไม่บอกรัก
เค้าเองก็บอกว่าเค้าต้องการเวลา แต่เค้าจะดูว่าเราสามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้มั้ย ถ้าได้ก็ไปต่อ
แต่เราเห็นพฤติกรรมเค้าตอนนี้ เราไม่มั่นใจเลยค่ะ ว่าเราแก้ไขอะไรทันมั้ย เราทำได้แค่ทำใจ และเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นที่สุดเท่าที่จะทำได้
แต่ความรู้สึกตอนนี้โดดเดี่ยว เรากลัวว่ามันจะสายไป เราอยากให้เค้ากลับมาเหมือนเดิม แต่ก็รู้ว่ามันคงเร็วไป ถ้าต้องการอย่างเดิมในตอนนี้
เราจะมีโอกาสกลับมาเหมือนเดิมได้มากน้อยแค่ไหนหรอคะ เรากลัวชีวิตแต่งงานเราจะจบลงจริงๆ
เราควรไปปรึกษาปัญหาชีวิตคู่กับผู้เชี่ยวชาญดีมั้ยคะ เค้าสามารถช่วยเราได้มากน้อยแค่ไหนบ้าง