สถานการณ์โควิดระบาดที่บ้านติดกัน

กระทู้สนทนา
- คือ เมื่อผมไม่ได้มีการงานทำแล้ว ก็ไม่ออกไปท่องเที่ยว ก็ศึกษาพระธรรมอยู่ในบ้าน ทำกับข้าวให้เมียที่ยังต้องออกไปทำงานอยู่(แค่ถึง ก.ย.2564) และลูกที่กลับมาเยี่ยมบ้าน หรือ ลูกที่มีเพื่อนติดโควิดก็กลับมาอาศัยบ้าน ตรวจเชื้อ swop จำนวน 2 ครั้งแล้วไม่พบเชื้อ
- สถานการณ์ที่การตรวจโควิด ยากและเสี่ยงออกไปรอคิวตรวจแล้วติด เมื่อติดแล้วก็ยากที่จะหาเตียงรักษา ข่าวที่ออกมาก็มีแต่ป่วยจนตายแม้ผลการตรวจก็ยังไม่มี แต่อาการมี จนกระทั่งตายคาบ้าน เห็นแล้วน้ำตาก็ไหล เห็นพยาบาล เจ้าหน้าที่พยาบาล หมอ ตายบ้าง เป็นลมล้มพับเพราะหมดแรงบ้าง น้ำตาก็ไหล เห็นคนป่วยโควิดตาย น้ำตาก็ไหล และไม่มีหนทางที่ชัดเจนที่จะเป็นทางสว่างเมื่อถ้าหากติดโควิดโดยเฉพาะคนแก่อย่างผม
- ถึงตอนที่ลูกเข้ามาบ้านเพื่ออาศัยกักตัวรอตรวจเชื้อ จนกระทั่งตรวจเชื้อจบ 2 ครั้งแล้วผลเป็น ลบ
- ในระหว่างนี้ ก็ต้องพึ่ง แค๊ปซูลฟ้าทลายโจร และ แค็บซูลกระชายขาว คือ พยายามจะทานถ้ามีอาการน้ำมูกไหล ระคายคอ พยายามอ่านวิธีการทาน และอันตรายของการทานยาแบบนี้ แต่ทว่าก็ในเมื่อไม่มีระบบการแพทย์ในปัจจุบันที่ดีพอ เพราะการบริหารของรัฐล้มเหลว ก็ต้องพึ่งตนเอง ด้วย ยาพื้นบ้าน อย่างน้อยก็หากลูกติดโควิด อย่างน้อยก็อาจจะทำให้หนักเป็นเบา อย่างน้อยความเป็นมาของแพทย์แผนโบราณของไทยก็ไม่ใช่ว่าจะมีที่มา ก็ป้องกันไว้อย่างนี้
- เมื่อเพื่อนบ้านข้างๆติดโควิด อย่างน้อย 3 คนใน 8 ในบ้านข้างๆ การที่ชอบปลีกวิเวกไม่ค่อยชอบพูดคุยสุงสิงกับเพื่อนบ้าน รวมถึงนิสัยที่ชอบอยู่คนเดียวไม่ชอบพูดคุยกับคนอื่น เว้นคุยเรื่องกถาวัตถุ หรือสังคมกับเพื่อนๆ ก็ทำให้ไม่มีความเกี่ยวพัน ก็ทำให้ห่างโควิดได้ส่วนหนึ่ง
- การออกไปทำธุระส่วนตัว ก็รีบไปรีบกลับ ซื้อของเสร็จ ก็รีบกลับ กลับมาแล้วก็ถอดเสื้อผ้า ผ้าปิดปากจมูก ซัก อาบน้ำอาบท่า 
- การรับของ จาก ไรเดอร์ส่งของ ก็รับมา รีบเอาหีบห่อออกทิ้งไป เสร็จแล้วล้างมือ
- เมื่อลูกมาพึ่ง ผมก็สั่งฟ้าทะลายโจร และกระชายขาว แบบสังเคราะห์ และแบบแค็บซูล มาและได้ใช้ทุกวันตามที่กล่าวข้างต้นแล้ว ก็ทำให้ความกังวลลดน้อยลงไปได้บ้าง
- วันเวลาเงียบๆที่เหมาะสม ก็มานั่งฟังธรรม และมาพิมพ์สาธยายคัมภีร์ปัฏฐานในปริจเฉทที่ 8 ของพระอภิธรรมมัตตสังคหะ เพื่อเอาสิ่งที่บันทึกไว้ในสมุดจดเล่มใหญ่ มาใส่ไว้ในกระทู้ผมในพันธ์ทิพย์ ซึ่งมีผู้สนใจ แต่ผมไม่ได้คาดหวังว่าจะมีผู้สนใจมาก เพราะอย่างที่บอกแล้ว คนสอนก็น้อย คนเรียนก็น้อยกว่า แต่เมื่อได้กระทำในสิ่งที่เป็นมหากุศลอย่างยิ่งใหญ่นี้ได้ จะธรรมมะอะไรก็เหมือนกันหมดเพราะเป็นธรรมะ และไม่กล้ามากความให้นอกเหนือไปจากที่อาจารย์สอนเพราะรู้น้อยกว่าอาจารย์มากซึ่งท่านรอบรู้อย่างกว้างขวางรวมถึงท่านสามารถเป็นอาจารย์สอบอารมณ์ให้แก่ผู้ปฏิบัติวิปัสสนาและสมถะตามที่ได้ทราบมา
- ดังนั้น เมื่อมีคำถามว่า กลัวตายเพราะโควิดไหม ก็ตอบได้ว่า ไม่กลัวตาย เพราะได้กระทำความดี และรักษาศีล5 อยู่ในทุกวัน
- ความจริง อายุ ย่าง 61 ปี ก็เจอเหตุการณ์ร้ายๆมาเยอะ แต่สถานการณ์โควิดระลอกนี้น่าจะเป็น เหตุการณ์ที่ร้ายแรงที่สุด สำหรับประเทศไทยและคนไทย เพราะนอกจากจะป่วยตาย ก็จะมี ฆ่าตัวตาย โจรปล้น อดตาย หนี้ท่วมตาย โรคจิต คนบ้าติดยาทำร้ายคนอื่น คือถ้าเหตุการณ์นี้เกิดตอนผมอายุสัก 30 ปี ผมก็น่าจะรอดยากเพราะหนี้สินเพียบ 
แต่ตอนนี้ หนี้สินก็มีที่เกิดจากโลภะ แต่ก็หมดลงด้วยการจ่ายเงินบัตรเครดิตแบบชำระ100เปอร์เซ็นต์ ทำให้เพิ่งมีเงินเหลือ เมื่อสักเดือนสองเดือนเท่านั้นเอง และไม่มีหนี้ค้างชำระ
- ถ้าถามว่าจะรอดไหม ตอบได้เลยว่า แม้แต่ผมก็ไม่มั่นใจ เพราะการบริหารของรัฐในปัจจุบัน มองไม่เห็น ทางรอดของผม นอกจาก เก็บตัวในบ้าน สั่งข้าวของทานใช้ทางแพลทฟอร์ม และยังเสี่ยงจนกว่า เมียจะเกษียณ และลูกไม่ติดโควิดมาให้
- แต่อย่างไรก็ตาม ดีกว่า คนอื่นๆที่ปรากฏในข่าว ที่เห็นแล้วอดสงสารและน้ำตาไหลไม่ได้ครับ
- การท่องเที่ยวที่แปลนไว้ ในตอนนี้ ว่าจะขับรถท่องเที่ยวกางเต็นท์กับเมีย มองๆดูแล้วก็ไม่อาจเป็นไปได้ จนกระทั่ง จะได้ฉีดแอสตร้าเซเนก้า ครบ 2 เข็ม(อายุ 60 และมีโรคประจำตัว) พร้อมทั้งบวกเวลาอีก 14 วันเพื่อมีภูมิต้านทาน แต่ก็ไม่มั่นใจแล้ว เพราะการกลายพันธ์ุของโควิดที่จะต้องมีการบูทโด๊ท 3 ต่อๆไปไม่มีวันจบสิ้น
- ก็คอยติดตามการเอาตัวรอดของแต่ละบุคคล เพื่อนำมาปรับใช้เองต่อไป รักษาชีวิตไว้ให้ได้นานวันมากที่สุด แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครรู้นอกจากพระพุทธเจ้าครับที่จะรู้ว่าจะตายเมื่อใด 
- ในเมื่อเข้าใจอย่างนี้ ก็มีความไม่ประมาทให้เกิดขึ้น เท่าที่ทำได้ ตามสภาพความเหมาะสมของธรรมที่มีที่รักษา
- การตายก็เจอมาเยอะแยะแล้วมากกว่านี้ในภพก่อนกาลก่อน เมื่อเข้าใจพระธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว โยนิโสมนสิการให้มีสติเกิดพิจารณาไตร่ตรองตามความรู้พระธรรมที่ได้เล่าเรียนมา ชีวิตก็ดำเนินไปได้ในแต่ละวันแต่ละวันไป
- เมื่อรักษาศีล ศึกษาพระธรรม พิจารณาไตร่ตรองพระธรรมที่ได้เล่าเรียนมา สงเคราะห์ผู้อื่นตามโอกาส แม้วันใดจะตายลง ก็พร้อมแล้ว ณ ปัจจุบัน 
- ชีวิตในยามแก่ จริงๆก็ไม่จำเป็นจะต้องมีอะไรมากไปกว่า ความมีสติ สัมปชัญญะ และข้าวและกับข้าวง่ายๆที่ไม่เบียดเบียน และมีเวลาสงบๆในชีวิตแต่ละวันได้ และเมื่อมีปัญหาชีวิตเกิดขึ้นก็ค่อยๆแก้ไขด้วยสติ ด้วยความอดทน และด้วยมีที่พึ่ง ซึ่งเมื่อก่อนก็มีเทพ แต่มาตอนหลังศึกษาพระธรรมแล้ว ก็มี พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งที่ระลึกเท่านั้น
- การศึกษาพระธรรมที่ถูกทาง ก็มีอานิสงส์อย่างนี้แหละครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่