มนต์รักทะลุมิติ (รีไร้ท์)
โดย...ล. วิลิศมาหรา
บนเวทีประกวดร้องเพลงงานลอยกระทงบ้านหนองสีเขียด โฆษกกำลังประกาศผลการแข่งขัน แสงไฟสปอร์ตไล้ทส่องต้องร่างในชุดแบทแมนของนายเมืองลือ แหล่งอุดม ผู้ชนะเลิศการแข่งขันที่ยืนเด่นอยู่กลางเวทีจนสว่างจ้า ชายหนุ่มมีสีหน้าปลื้มปริ่ม รอยยิ้มกระจายเต็มใบหน้า
คุณนายมะลิซ้อนผู้เป็นมารดา พาร่างตุ้ยนุ้ยเดินตุ้บตั้บขึ้นไปบนเวที เธอบรรจงหอมแก้มซ้ายขวาของลูกชาย ก่อนหันมายิ้มตาหยีใส่กล้องถ่ายรูปที่แย่งกันถ่ายวูบวาบ โฆษกชายแต่งตัวเต็มยศด้วยชุดสูทอย่างโก้สีส้มสด ทาแป้งหน้าขาววอก ตัดกับเส้นผมที่ถูกย้อมจนดำสนิท เขากำลังยิงคำถามเข้าใส่ผู้ชนะเลิศ
“นอกจากคุณแม่ ท่านนายกเทศมนตรี และท่านผู้ชม ณ เวทีประกวดแห่งนี้แล้ว คุณเมืองลืออยากจะขอบคุณใคร ที่เป็นแรงบันดาลใจให้คุณเป็นพิเศษอีกบ้างไหมครับ” ชายหนุ่มแบทแมนยืดตัวขึ้น พลางกวาดสายตามองลงมาด้านล่างเวทีเพื่อเสาะหาใครคนหนึ่ง ก่อนตอบชัดถ้อยชัดคำว่า
“เซียวเล้งหิ่นครับ เธอคือคนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จครั้งนี้ของผมอย่างแท้จริง”
ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน...
“มองหน้าต่าง ข้างบ้าน
เมื่อวาน เขามีงานแต่งกัน
คนรวยแบงก์ โอะโอ้ยยยยย...มาแย่ง แฟนฉัน
หัวใจ มันสั่น เหมือนใครมาหั่นเอาหัวใจ...ไอ...ไอ
ใจจะขาด แล้วเอ๊ย...ใจจะขาด แล้ว...เออ เอยยยย”
เสียงเพลงอันไพเราะ ระดับกระชากวิญญาณคนฟังให้หลุดลอยไปเคลิบเคลิ้มกับบทเพลง ด้วยโทนเสียงแหลมสูงอันทรงพลัง ดังมาจากไอ้ลือของชาวบ้านหนองสีเขียด หรือนายเมืองลือ แหล่งอุดม ชื่อเสียงเรียงนามตามบัตรประชาชน พลเมืองแห่งราชอาณาจักรไทย ลูกชายคนเดียวของคุณนายมะลิซ้อน หญิงหม้ายทรงเครื่องหุ่นตุ้ยนุ้ย
เมืองลือเป็นหนุ่มหล่อล่ำผู้กำลังย่างเข้าสู่วัยเบญจเพส ผ่านการเกณฑ์ทหารและบวชเรียนมาเรียบร้อยแล้ว สร้างความภาคภูมิใจให้ตัวเองว่าอย่างน้อย เขาก็ได้ทำหน้าที่ชายไทยได้ครบถ้วนบริบูรณ์ดี ตามที่ถูกอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่ยังเล็กยังน้อย
จุดหมายป้ายหน้าของหนุ่มหล่อวัยคะนองก็คือ ต้องการเบียดสาวสักคนเอามาเป็นเมีย ส่วนป้ายต่อไปคืออยากเป็นแชมป์ “เดอะโว้ย” รายการประกวดร้องเพลงยอดนิยมของ พ.ศ. นี้ สักครั้งหนึ่งในชีวิต
เสียงเพลงของชายหนุ่มแห่งหนองสีเขียดล่องลอยไปตามสายลมยามสนธยา ที่พัดพลิ้วแผ่ว เย็นระรื่นชื่นหัวใจ ผ่านทุ่งนากว้างไกล ผ่านต้นกล้าเขียวขจี สุดลูกหูลูกตา เหล่านกกาพากันบินกลับรวงรัง บรรยากาศริมทุ่งยามเย็นช่างโรแมนติก น่าประทับใจ
แต่ใครเลยจะรู้ถึงหัวอกของไอ้หนุ่มบ้านนาผู้อ้างว้าง...ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม เต็มไปด้วยมนต์ขลังแบบนี้ หัวใจคนโสดอย่างเมืองลือมันว้าเหว่ หงอยเหงา เปล่าเปลี่ยวและเคว้งคว้าง เหมือนคนถูกจับโยนลงเรือเน่า เต็มไปด้วยรูรั่ว แต่ดันมีกัปตันเรือปัญญาอ่อน งี่เง่า นอกจากหาอะไรมาอุดรอยรั่วไม่เป็นแล้วยังขยันแบบโง่ ๆ ทำให้เรือรั่วซ้ำรั่วซาก เอาแต่ด่าคนบนเรือให้ก้มหน้าก้มตาวิดน้ำไป จนในที่สุดเรือก็ล่ม ปล่อยลูกเรือลอยคอเท้งเต้งอยู่กลางทะเล ไร้เสื้อชูชีพหรือแม้กระทั่งลูกมะพร้าวสักใบให้ลอยเกาะ มีชีวิตอยู่ไปเรื่อย ๆ ไร้อนาคต วันนี้ก็เหมือนเมื่อวาน และเมื่อวานก็คงเหมือนวันพรุ่งนี้ คิดแล้วชวนให้ละเหี่ยในใจ
ดังนั้น เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาที่อุตส่าห์วิ่งแซงสเปิมตัวอื่นมาเกิดได้ก่อน ไอ้หนุ่มลูกทุ่งจึงต้องมีความฝัน...เป็นความใฝ่ฝันเพื่อให้ชีวิตมีความหมาย เมืองลือ ซุ่มฝึกร้องเพลงลูกทุ่งยอดฮิตในอดีต ชื่อเพลง“ใจจะขาด”ทุกวัน เพราะฝันอยากเป็นนักร้องชื่อดังตามรอยนักร้องคนโปรดที่เขาทึ่งในพลังเสียง นอกเหนือจากใช้เสียงเพลงช่วยคลายความเหงา เมื่อยามต้องอยู่ลำพัง
ยามเย็นของวันนี้ หนุ่มหนองสีเขียดตั้งหน้าตั้งตาฝึกร้องเพลงอยู่กับโปรแกรมคาราโอเกะ ในคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่ซิวมาได้จากหลวงพี่ที่วัดในราคาคนกันเอง เพราะหลวงพี่ได้คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ เวอร์ชั่นล่าสุดจากเศรษฐินีใจบุญ ที่ส่งคอมพิวเตอร์รุ่นนี้ให้แก่ลูกชายคนหัวปี ผู้มักได้ทุกอย่างที่อยากได้ เพียงแค่กระตุกหัวคิ้วกับนิ่วหน้าอีกเล็กน้อยใส่พ่อกับแม่เท่านั้น
โชคร้าย เผอิญมอเตอร์ไซค์แต่งซิ่งของไอ้หนู ดันประสานงากับรถสิบล้อที่ไม่มีเวลารอสิบโมงเข้าอย่างจัง ส่งผลให้เด็กแว้นต้องไปหาพญายมเสียก่อนจะได้ใช้มัน คุณแม่จึงต้องส่งโน้ตบุคไปให้ลูกเล่นเกมในยมโลกแทน โดยผ่านทางหลวงพี่อีกที
บทเพลงที่เมืองลือกำลังแหกปาก...เอ่อ ตะเบ็งเสียงร้องอยู่นี้ เป็นเพลงโปรดที่เขาตั้งใจใช้เป็นเพลงเด็ด เอาไว้ฆ่าคู่แข่งบนเวทีให้ตายคาไมค์ ซึ่งงานนี้ท่านนายกเทศมนตรีเทศบาลหนองสีเขียด อนุมัติงบประมาณให้จัดขึ้นก่อนงานลอยกระทงหนึ่งวัน นัยว่าเพื่อคืนความสุขให้ประชาชนที่กระหน่ำกาบัตรเลือกเขาเข้ามาบริหารตำบล โดยงบประมาณคืนความสุขเป็นของเทศบาลเอง
เอาล่ะ เรื่องนั้นมันไร้สาระ ไม่ควรค่าแก่การสนใจ เรามาฟังไอ้คุณเมืองลือร้องเพลงท่อนต่อไปกันดีกว่า
“นอนไม่หลับ จับใจ...ใอ..ใอ
เต้นไว เหมือนมีใครเฆี่ยนตี...อีอีอีอี
มองอีกครั้ง เห็นเขานั่ง จู๋จี๋
โอ๊ย...ใครกันนี่ ช้ำอย่างนี้มีบ้างไหม
ใจจะขาด แล้วเอ๊ย ใจจะขาด แล้ว...เออ เอยยยย”
เสียงร้องเพลงของเมืองลือไพเราะจับใจ ใคร ๆ ก็พูดกันแบบนี้ทั้งนั้น ใครบ้างงั้นเหรอ ไม่เห็นต้องถาม คุณไม่ได้เป็นคนบ้านหนองสีเขียด คุณจะรู้ไปทำไม ถึงบอกไปก็ไม่รู้จัก
ยิ่งเสียงสูงนี่ ลองมาประชันกันก็ได้ กลัวเสียเมื่อไหร่
นอกจากเสียงดีแล้ว เมืองลือยังใส่จินตนาการ เวลาร้องเพลงมันต้องใส่อารมณ์ กรรมการใน 'เดอะโว้ย' เคยว่าเอาไว้ เขาตั้งใจฟังและท่องจำในใจอย่างดี เผื่อกรรมการถามเวลาไปยืนต่อหน้าเก้าอี้สี่ตัวนั่น
อย่างท่อนที่บอกว่า ‘เจ็บปวดเหมือนหัวใจถูกเฆี่ยนตี’ ความจริงใครจะเอาไม้เรียวไปตีหัวใจได้ แล้วคงไม่มีใครแหวะหัวใจออกดู
ทีนี้เมืองลือจึงต้องมโนเอาเองว่า หัวใจมันคงร้องโอ้ย ๆ เจ็บปวดจนเนื้อใจสั่นไหวระริก ต่อมามันก็คงทำหน้าเบ้ น้ำหูน้ำตาไหลพราก นึกแบบนี้แล้วสงสารหัวใจจับใจ เลยพานร้องไห้ออกมาจริง ๆ อย่างนี้เขาถึงเรียกว่าร้องมี ‘อินเนอร์’
คงเห็นกันแล้วว่าหนุ่มคนนี้มีดีที่ตรงไหน เขาถ่ายทอดอารมณ์เพลงได้ดี ในเมื่อมีพรสวรรค์สูงส่งปานนี้ เมืองลือจึงคู่ควรชนะเลิศบนเวทีประกวดร้องเพลงงานลอยกระทง
ที่จริง เวทีประกวดแถวนี้ แค่ใช้เป็นทางผ่านเพื่อไม่ให้ตื่นเวที เป้าหมายสูงสุดไม่ใช่ถ้วยรางวัลบ้าน ๆ กับเงินใส่ซองไม่กี่ร้อยบาทนั้นหรอก อัจฉริยะอย่างเขามันต้องระดับแชมป์ เดอะโว้ย เท่านั้น
ทีนี้มาดูเป้าหมายเรื่องเบียดกับสาวกันก่อน เมืองลือจะทำยังไงให้มันบรรลุวัตถุประสงค์ ความจริง ชายหนุ่มก็รูปหล่อพอตัว สาว ๆ เดินผ่านยังพากันหันมอง เสียแต่พวกเธอตาขาว ไม่เข้าใจอารมณ์ศิลปินผู้ชายแบบเขา อยากถามแม่สาวพวกนั้นนักว่ามันน่าอายตรงไหน ถ้าจะต้องเดินควงกับไอ้ค้างคาว ไอ้แมงมุม หรือจะให้เปลี่ยนบรรยากาศแต่งเป็นโงกุน เป็นอเวนเจอร์เวอร์ชั่นไหน ๆ ก็ได้ทั้งนั้น เท่จะตาย อายทำไมกัน
คารมอันคมคาย พูดเก่งจนลิงหลับ ไม่ช่วยให้เขาหายโสดได้ บ้านไม้ทรงไทยยกพื้นสูงหลังใหญ่ กลางที่นากว่ายี่สิบไร่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย คงต้องโทษกามเทพขี้เกียจ พระพรหมกลั่นแกล้ง ไม่เกี่ยวกับอาการไม่สมประกอบ อย่างที่คนขี้อิจฉามันชอบสุมหัวนินทาเอา เรือนไทยหลังใหญ่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางทุ่งนาหลังนี้เลยยังคงเงียบเหงา มีเพียงเขากับคุณนายแม่อาศัยอยู่กันสองคน
เอาละ มาดูเป้าหมายถัดมาเรื่องการตะกายดาว พอร้องรอบแรกจบ กะจะย้อนกลับไปเริ่มร้องใหม่ พอดีมีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น....เอ๊ะ...แถวนี้มีผู้หญิงมาเพ่นพ่านตั้งแต่เมื่อไหร่
“ร้องได้ห่วยมากเลยนะจ๊ะ”
แน่ะ แถมด้วยเสียงทักทายแบบไม่สร้างสรรค์เสียด้วย
“เธอเป็นใคร”
ไอ้หนุ่มลูกทุ่งหันขวับมามอง พอเห็นเรือนร่างสั้นเตี้ยกับใบหน้ากลมบ๊อก ล้อมกรอบด้วยผมหน้าม้าสั้นเต่อครึ่งหน้าผากของแม่สาวลึกลับ ผู้ปรากฏกายขึ้นท่ามกลางลำแสงสุดท้ายของตะวันพอดี เมืองลือก็ทำหน้าเหม็นเบื่อ เธอผู้นี้บังอาจขึ้นเรือนมายืนอยู่ข้างหลังเขา แบบไม่ให้สุ้มไม่ให้เสียงตั้งแต่เมื่อไหร่
(มีต่อ)
มนต์รักทะลุมิติ
โดย...ล. วิลิศมาหรา
บนเวทีประกวดร้องเพลงงานลอยกระทงบ้านหนองสีเขียด โฆษกกำลังประกาศผลการแข่งขัน แสงไฟสปอร์ตไล้ทส่องต้องร่างในชุดแบทแมนของนายเมืองลือ แหล่งอุดม ผู้ชนะเลิศการแข่งขันที่ยืนเด่นอยู่กลางเวทีจนสว่างจ้า ชายหนุ่มมีสีหน้าปลื้มปริ่ม รอยยิ้มกระจายเต็มใบหน้า
คุณนายมะลิซ้อนผู้เป็นมารดา พาร่างตุ้ยนุ้ยเดินตุ้บตั้บขึ้นไปบนเวที เธอบรรจงหอมแก้มซ้ายขวาของลูกชาย ก่อนหันมายิ้มตาหยีใส่กล้องถ่ายรูปที่แย่งกันถ่ายวูบวาบ โฆษกชายแต่งตัวเต็มยศด้วยชุดสูทอย่างโก้สีส้มสด ทาแป้งหน้าขาววอก ตัดกับเส้นผมที่ถูกย้อมจนดำสนิท เขากำลังยิงคำถามเข้าใส่ผู้ชนะเลิศ
“นอกจากคุณแม่ ท่านนายกเทศมนตรี และท่านผู้ชม ณ เวทีประกวดแห่งนี้แล้ว คุณเมืองลืออยากจะขอบคุณใคร ที่เป็นแรงบันดาลใจให้คุณเป็นพิเศษอีกบ้างไหมครับ” ชายหนุ่มแบทแมนยืดตัวขึ้น พลางกวาดสายตามองลงมาด้านล่างเวทีเพื่อเสาะหาใครคนหนึ่ง ก่อนตอบชัดถ้อยชัดคำว่า
“เซียวเล้งหิ่นครับ เธอคือคนที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จครั้งนี้ของผมอย่างแท้จริง”
ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน...
“มองหน้าต่าง ข้างบ้าน
เมื่อวาน เขามีงานแต่งกัน
คนรวยแบงก์ โอะโอ้ยยยยย...มาแย่ง แฟนฉัน
หัวใจ มันสั่น เหมือนใครมาหั่นเอาหัวใจ...ไอ...ไอ
ใจจะขาด แล้วเอ๊ย...ใจจะขาด แล้ว...เออ เอยยยย”
เสียงเพลงอันไพเราะ ระดับกระชากวิญญาณคนฟังให้หลุดลอยไปเคลิบเคลิ้มกับบทเพลง ด้วยโทนเสียงแหลมสูงอันทรงพลัง ดังมาจากไอ้ลือของชาวบ้านหนองสีเขียด หรือนายเมืองลือ แหล่งอุดม ชื่อเสียงเรียงนามตามบัตรประชาชน พลเมืองแห่งราชอาณาจักรไทย ลูกชายคนเดียวของคุณนายมะลิซ้อน หญิงหม้ายทรงเครื่องหุ่นตุ้ยนุ้ย
เมืองลือเป็นหนุ่มหล่อล่ำผู้กำลังย่างเข้าสู่วัยเบญจเพส ผ่านการเกณฑ์ทหารและบวชเรียนมาเรียบร้อยแล้ว สร้างความภาคภูมิใจให้ตัวเองว่าอย่างน้อย เขาก็ได้ทำหน้าที่ชายไทยได้ครบถ้วนบริบูรณ์ดี ตามที่ถูกอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่ยังเล็กยังน้อย
จุดหมายป้ายหน้าของหนุ่มหล่อวัยคะนองก็คือ ต้องการเบียดสาวสักคนเอามาเป็นเมีย ส่วนป้ายต่อไปคืออยากเป็นแชมป์ “เดอะโว้ย” รายการประกวดร้องเพลงยอดนิยมของ พ.ศ. นี้ สักครั้งหนึ่งในชีวิต
เสียงเพลงของชายหนุ่มแห่งหนองสีเขียดล่องลอยไปตามสายลมยามสนธยา ที่พัดพลิ้วแผ่ว เย็นระรื่นชื่นหัวใจ ผ่านทุ่งนากว้างไกล ผ่านต้นกล้าเขียวขจี สุดลูกหูลูกตา เหล่านกกาพากันบินกลับรวงรัง บรรยากาศริมทุ่งยามเย็นช่างโรแมนติก น่าประทับใจ
แต่ใครเลยจะรู้ถึงหัวอกของไอ้หนุ่มบ้านนาผู้อ้างว้าง...ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงาม เต็มไปด้วยมนต์ขลังแบบนี้ หัวใจคนโสดอย่างเมืองลือมันว้าเหว่ หงอยเหงา เปล่าเปลี่ยวและเคว้งคว้าง เหมือนคนถูกจับโยนลงเรือเน่า เต็มไปด้วยรูรั่ว แต่ดันมีกัปตันเรือปัญญาอ่อน งี่เง่า นอกจากหาอะไรมาอุดรอยรั่วไม่เป็นแล้วยังขยันแบบโง่ ๆ ทำให้เรือรั่วซ้ำรั่วซาก เอาแต่ด่าคนบนเรือให้ก้มหน้าก้มตาวิดน้ำไป จนในที่สุดเรือก็ล่ม ปล่อยลูกเรือลอยคอเท้งเต้งอยู่กลางทะเล ไร้เสื้อชูชีพหรือแม้กระทั่งลูกมะพร้าวสักใบให้ลอยเกาะ มีชีวิตอยู่ไปเรื่อย ๆ ไร้อนาคต วันนี้ก็เหมือนเมื่อวาน และเมื่อวานก็คงเหมือนวันพรุ่งนี้ คิดแล้วชวนให้ละเหี่ยในใจ
ดังนั้น เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาที่อุตส่าห์วิ่งแซงสเปิมตัวอื่นมาเกิดได้ก่อน ไอ้หนุ่มลูกทุ่งจึงต้องมีความฝัน...เป็นความใฝ่ฝันเพื่อให้ชีวิตมีความหมาย เมืองลือ ซุ่มฝึกร้องเพลงลูกทุ่งยอดฮิตในอดีต ชื่อเพลง“ใจจะขาด”ทุกวัน เพราะฝันอยากเป็นนักร้องชื่อดังตามรอยนักร้องคนโปรดที่เขาทึ่งในพลังเสียง นอกเหนือจากใช้เสียงเพลงช่วยคลายความเหงา เมื่อยามต้องอยู่ลำพัง
ยามเย็นของวันนี้ หนุ่มหนองสีเขียดตั้งหน้าตั้งตาฝึกร้องเพลงอยู่กับโปรแกรมคาราโอเกะ ในคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะที่ซิวมาได้จากหลวงพี่ที่วัดในราคาคนกันเอง เพราะหลวงพี่ได้คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ เวอร์ชั่นล่าสุดจากเศรษฐินีใจบุญ ที่ส่งคอมพิวเตอร์รุ่นนี้ให้แก่ลูกชายคนหัวปี ผู้มักได้ทุกอย่างที่อยากได้ เพียงแค่กระตุกหัวคิ้วกับนิ่วหน้าอีกเล็กน้อยใส่พ่อกับแม่เท่านั้น
โชคร้าย เผอิญมอเตอร์ไซค์แต่งซิ่งของไอ้หนู ดันประสานงากับรถสิบล้อที่ไม่มีเวลารอสิบโมงเข้าอย่างจัง ส่งผลให้เด็กแว้นต้องไปหาพญายมเสียก่อนจะได้ใช้มัน คุณแม่จึงต้องส่งโน้ตบุคไปให้ลูกเล่นเกมในยมโลกแทน โดยผ่านทางหลวงพี่อีกที
บทเพลงที่เมืองลือกำลังแหกปาก...เอ่อ ตะเบ็งเสียงร้องอยู่นี้ เป็นเพลงโปรดที่เขาตั้งใจใช้เป็นเพลงเด็ด เอาไว้ฆ่าคู่แข่งบนเวทีให้ตายคาไมค์ ซึ่งงานนี้ท่านนายกเทศมนตรีเทศบาลหนองสีเขียด อนุมัติงบประมาณให้จัดขึ้นก่อนงานลอยกระทงหนึ่งวัน นัยว่าเพื่อคืนความสุขให้ประชาชนที่กระหน่ำกาบัตรเลือกเขาเข้ามาบริหารตำบล โดยงบประมาณคืนความสุขเป็นของเทศบาลเอง
เอาล่ะ เรื่องนั้นมันไร้สาระ ไม่ควรค่าแก่การสนใจ เรามาฟังไอ้คุณเมืองลือร้องเพลงท่อนต่อไปกันดีกว่า
“นอนไม่หลับ จับใจ...ใอ..ใอ
เต้นไว เหมือนมีใครเฆี่ยนตี...อีอีอีอี
มองอีกครั้ง เห็นเขานั่ง จู๋จี๋
โอ๊ย...ใครกันนี่ ช้ำอย่างนี้มีบ้างไหม
ใจจะขาด แล้วเอ๊ย ใจจะขาด แล้ว...เออ เอยยยย”
เสียงร้องเพลงของเมืองลือไพเราะจับใจ ใคร ๆ ก็พูดกันแบบนี้ทั้งนั้น ใครบ้างงั้นเหรอ ไม่เห็นต้องถาม คุณไม่ได้เป็นคนบ้านหนองสีเขียด คุณจะรู้ไปทำไม ถึงบอกไปก็ไม่รู้จัก
ยิ่งเสียงสูงนี่ ลองมาประชันกันก็ได้ กลัวเสียเมื่อไหร่
นอกจากเสียงดีแล้ว เมืองลือยังใส่จินตนาการ เวลาร้องเพลงมันต้องใส่อารมณ์ กรรมการใน 'เดอะโว้ย' เคยว่าเอาไว้ เขาตั้งใจฟังและท่องจำในใจอย่างดี เผื่อกรรมการถามเวลาไปยืนต่อหน้าเก้าอี้สี่ตัวนั่น
อย่างท่อนที่บอกว่า ‘เจ็บปวดเหมือนหัวใจถูกเฆี่ยนตี’ ความจริงใครจะเอาไม้เรียวไปตีหัวใจได้ แล้วคงไม่มีใครแหวะหัวใจออกดู
ทีนี้เมืองลือจึงต้องมโนเอาเองว่า หัวใจมันคงร้องโอ้ย ๆ เจ็บปวดจนเนื้อใจสั่นไหวระริก ต่อมามันก็คงทำหน้าเบ้ น้ำหูน้ำตาไหลพราก นึกแบบนี้แล้วสงสารหัวใจจับใจ เลยพานร้องไห้ออกมาจริง ๆ อย่างนี้เขาถึงเรียกว่าร้องมี ‘อินเนอร์’
คงเห็นกันแล้วว่าหนุ่มคนนี้มีดีที่ตรงไหน เขาถ่ายทอดอารมณ์เพลงได้ดี ในเมื่อมีพรสวรรค์สูงส่งปานนี้ เมืองลือจึงคู่ควรชนะเลิศบนเวทีประกวดร้องเพลงงานลอยกระทง
ที่จริง เวทีประกวดแถวนี้ แค่ใช้เป็นทางผ่านเพื่อไม่ให้ตื่นเวที เป้าหมายสูงสุดไม่ใช่ถ้วยรางวัลบ้าน ๆ กับเงินใส่ซองไม่กี่ร้อยบาทนั้นหรอก อัจฉริยะอย่างเขามันต้องระดับแชมป์ เดอะโว้ย เท่านั้น
ทีนี้มาดูเป้าหมายเรื่องเบียดกับสาวกันก่อน เมืองลือจะทำยังไงให้มันบรรลุวัตถุประสงค์ ความจริง ชายหนุ่มก็รูปหล่อพอตัว สาว ๆ เดินผ่านยังพากันหันมอง เสียแต่พวกเธอตาขาว ไม่เข้าใจอารมณ์ศิลปินผู้ชายแบบเขา อยากถามแม่สาวพวกนั้นนักว่ามันน่าอายตรงไหน ถ้าจะต้องเดินควงกับไอ้ค้างคาว ไอ้แมงมุม หรือจะให้เปลี่ยนบรรยากาศแต่งเป็นโงกุน เป็นอเวนเจอร์เวอร์ชั่นไหน ๆ ก็ได้ทั้งนั้น เท่จะตาย อายทำไมกัน
คารมอันคมคาย พูดเก่งจนลิงหลับ ไม่ช่วยให้เขาหายโสดได้ บ้านไม้ทรงไทยยกพื้นสูงหลังใหญ่ กลางที่นากว่ายี่สิบไร่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย คงต้องโทษกามเทพขี้เกียจ พระพรหมกลั่นแกล้ง ไม่เกี่ยวกับอาการไม่สมประกอบ อย่างที่คนขี้อิจฉามันชอบสุมหัวนินทาเอา เรือนไทยหลังใหญ่ตั้งอยู่โดดเดี่ยวกลางทุ่งนาหลังนี้เลยยังคงเงียบเหงา มีเพียงเขากับคุณนายแม่อาศัยอยู่กันสองคน
เอาละ มาดูเป้าหมายถัดมาเรื่องการตะกายดาว พอร้องรอบแรกจบ กะจะย้อนกลับไปเริ่มร้องใหม่ พอดีมีเสียงผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น....เอ๊ะ...แถวนี้มีผู้หญิงมาเพ่นพ่านตั้งแต่เมื่อไหร่
“ร้องได้ห่วยมากเลยนะจ๊ะ”
แน่ะ แถมด้วยเสียงทักทายแบบไม่สร้างสรรค์เสียด้วย
“เธอเป็นใคร”
ไอ้หนุ่มลูกทุ่งหันขวับมามอง พอเห็นเรือนร่างสั้นเตี้ยกับใบหน้ากลมบ๊อก ล้อมกรอบด้วยผมหน้าม้าสั้นเต่อครึ่งหน้าผากของแม่สาวลึกลับ ผู้ปรากฏกายขึ้นท่ามกลางลำแสงสุดท้ายของตะวันพอดี เมืองลือก็ทำหน้าเหม็นเบื่อ เธอผู้นี้บังอาจขึ้นเรือนมายืนอยู่ข้างหลังเขา แบบไม่ให้สุ้มไม่ให้เสียงตั้งแต่เมื่อไหร่
(มีต่อ)