Turning point จุดเปลี่ยนที่เฝ้ารอ
ทีมชาติอิตาลีอดีตแชมป์โลก 4 สมัยมากที่สุดเป็นรองเพียงบราซิลเท่านั้นที่คว้าแชมป์ไปได้มากกว่าเพียง1 ครั้ง
.
หลังจากขึ้นสู่จุดสูงสุดคือการคว้าแชมป์โลกปี 2006 นับจากนั้นมาทีมชาติอิตาลีไม่เคยประสบความสำเร็จอีกเลยในเวทีลูกหนังโลก มิหนำซ้ำยังทำผลงานดิ่งเหวชนิดที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วยการกล้าที่จะตกรอบคัดเลือกฟุตบอล 2018 ที่ดินแดนหมีขาว รัสเซีย
.
ย้อนกลับมาดู อิตาลีประเทศที่มีฟุตบอลลีกที่แข็งแกร่งที่สุดลีกหนึ่งของโลก ประเทศมีทรัพยากรนักเตะชั้นดีที่โค้ชคนไหนก็ต้องการ จนเรียกได้ว่าต่อให้จัดตัวสำรองลงสนาม ก็ยังแข็งแกร่งกว่าหลายๆชาติ ที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายฟุตบอลโลก
.
หนึ่งในปัจจัยที่พาอิตาลีทำผลงานได้อย่างหน้าผิดหวัง นั้นคือการเลือกใช้บริการ จิอาน ปิเอโร่ เวนตูร่า เข้ามาบริหารทีม ถึงแม้จะว่า เวนตูร่า จะอยู่ในวงการฟุตบอลมาอย่างยาวนาน เพราะอายุอานามในขณะนั้นก็ใกล้จะ 70 ปีแล้ว แต่ถึงแม้ว่าจะคลุกคลีมีประสบการณ์ถึงขนาดนั้น แต่เขากลับไม่เคยประสบความสำเร็จในรายการระดับเมเจอร์อะไรเลย แม้กระทั้งผลงานการคุมทีมก็วนเวียนอยู่แต่ระดับทีมลีกรอง และทีมกลางตารางของกัลโซซีรีเอ เพียงเท่านั้น เรียกได้ว่าสมาคมฟุตบอลอิตาลีได้พาความหวังคนทั้งชาติเสี่ยงเดิมพันครั้งใหญ่ กับกุญซือวัยไม้ใกล้ฝั่ง
.
และดูเหมือนว่าการเดิมพันครั้งนี้ ผลลัพท์กลับเลวร้ายจน ชาวอิตาลีต้องน้ำตาตกกันทั้งประเทศ เพราะผลงานการคุมทีมชาติอิตาลีอดีตแชมป์โลก 4 สมัย
กลับสาละวันเตี้ยลง จนถึงจุดต่ำสุดนั้นคือการแพ้ สวีเดน 0-1 ในรอบเพลออฟ นัดตัดเชือก จนอิตาลีหมดสิทธิ์เข้ารวมรายการฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง world cup ที่พวกเขานั้นคือขาประจำ
.
ท่ามกลางเสียงด่า สาปแช่ง จากการบริหารงานที่ล้มเหลว สมาคมฟุตบอลเมืองรองเท้าบูต จึงตระหนักได้ว่า พวกเขาพลาดที่เลือกเอากุญชือที่ไม่เคยประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์เข้ามารับงานชิ้นใหญ่ขนาดนี้ จนท้ายที่สุดหลังจากเคยออกมาสนับสนุน จิอาน ปิเอโร่ เวนตูร่า มาอย่างต่อเนื่อง พวกเขาจึงตัดสินใจปลดกุญซื่อเฒ่ารายนี้ออก ถามกลางเสียงคัดค้านของบอร์ดบริหารบางคน เพราะการปลดครั้งนี้จะยิ่งเป็นตอกย้ำว่า ที่ผ่านมาพวกเขา "เลือกคนผิด"
.
และต่อไปนี้พวกเขาจะไม่ทำผิดเป็นครั้งที่ 2
หลังจากการประกาศยกเลิกสัญญากับ เวนตูร่า ได้ไม่นาน สมาคมฟุตบอลอิตาลี ที่กำลังหา Turning point และsome body ที่จะเข้ามาเปลี่ยนเพื่อกอบกู้เกียรติภูมิของประเทศให้กลับคืนมา ก็ประกาศแต่งตั้ง โรเบโต้ มันชินี ให้ขึ้นมาเป็นผู้นำภาระกิจสำคัญครั้งนี้
โรเบร์โต้ มันชินี ขึ้นมารับงานคุมทีมชาติบ้านเกิดครั้งแรก ด้วยโปรไฟล์อันยอดเยี่ยม นั้นคือ การเคยเป็นนักฟุตบอลทีมชาติอิตาลีที่ทุกคนยอมรับในฝีเท้าจนถูกเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดตลอดกาลของอิตาลี (Hall of frame) และยังเคยประสบความสำเร็จด้านการบริหารจัดการ โดยการพาสโมสร คว้าแชมป์ระดับเมเจอร์มากมาย ตั้งแต่แชมป์กัลโซซีรีเอ 3สมัย แชมป์พรีเมียร์ลีกอีก 1 สมัย และแชมป์บอลถ้วยอีกนับไม่ถ้วน
.
ประโยคแรกที่มันชินีกล่าวในวันแถลงการรับตำแหน่งนั้นคือ
"ผมเข้ามารับงานในทีมชาติอิตาลีด้วยสถานการณ์ที่ล้มเหลวและตกต่ำที่สุดในรอบ 50 ปี และผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว ที่เราต้องทำอะไรที่มันแตกต่างออกไปจากสิ่งเดิม ๆ ที่เราเคยทำ
.
และนั้นไม่ใช่เป็นเพียงแค่คำพูดที่ออกอากาศทางโทรทัศน์เท่านั้น เพราะมันชินี ได้แสดงให้เห็นว่า เขาหมายถึงอย่างนั้นจริงๆ มันชินีกสร้างสิ่งใหม่ ปฎิวัติสิ่งเดิมๆ ที่ทีมชาติเคยทำมา นั้นคือการเปลี่ยนสไตล์การเล่น จากอิตาลีที่เน้นเกมส์รับ กลายเป็นการเดินหน้าเข้าหาความสำเร็จ ด้วยบุคลิกและวิธีบริหารจัดการในแบบฉบับมันชินี ที่สามารถซื้อใจ และรวมใจนักเตะ ทำให้อิตาลีที่กำลังเมาหมัดเจียนอยู่เจียนไป กลับลุกขึ้นมาตั้งการ์ด และเดินสาวหมัดเข้าใส่ปัญหาต่างๆ อีกครั้ง จนผลงานเหล่าอัซซูรีผลิกขึ้นมาดีวันดีคืน เอาชนะคู่แข่งไปได้ถึง 24 นัดจาก 33 นัด (สถิติก่อนฟุตยูโร2020)
และปัจจุบันจากทีมที่เกือบจะแพ้น็อก กลายเป็นเดินหน้าเข้าต่อย เก็บคะแนนไปเรื่อยๆ ยกแล้วยกเล่า จนวันนี้ (8/7/64) อิตาลีภายใต้การนำของมันชินี ได้ผ่านการเดินทางมาจนถึงยกสุดท้ายของฟุตบอลยูโร โดยเหลืออังกฤษเพียงทีมเดียว ที่จะพิสูจน์ว่า Turning point ครั้งนี้ผลจะออกมาเป็นอย่างไร!!!!!!!
เครดิต โกลสตรอม
ถ้าอิตาลีอยากชนะ ต้องเปลี่ยนผู้นำ
Turning point จุดเปลี่ยนที่เฝ้ารอ
ทีมชาติอิตาลีอดีตแชมป์โลก 4 สมัยมากที่สุดเป็นรองเพียงบราซิลเท่านั้นที่คว้าแชมป์ไปได้มากกว่าเพียง1 ครั้ง
.
หลังจากขึ้นสู่จุดสูงสุดคือการคว้าแชมป์โลกปี 2006 นับจากนั้นมาทีมชาติอิตาลีไม่เคยประสบความสำเร็จอีกเลยในเวทีลูกหนังโลก มิหนำซ้ำยังทำผลงานดิ่งเหวชนิดที่แย่ที่สุดในประวัติศาสตร์ด้วยการกล้าที่จะตกรอบคัดเลือกฟุตบอล 2018 ที่ดินแดนหมีขาว รัสเซีย
.
ย้อนกลับมาดู อิตาลีประเทศที่มีฟุตบอลลีกที่แข็งแกร่งที่สุดลีกหนึ่งของโลก ประเทศมีทรัพยากรนักเตะชั้นดีที่โค้ชคนไหนก็ต้องการ จนเรียกได้ว่าต่อให้จัดตัวสำรองลงสนาม ก็ยังแข็งแกร่งกว่าหลายๆชาติ ที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายฟุตบอลโลก
.
หนึ่งในปัจจัยที่พาอิตาลีทำผลงานได้อย่างหน้าผิดหวัง นั้นคือการเลือกใช้บริการ จิอาน ปิเอโร่ เวนตูร่า เข้ามาบริหารทีม ถึงแม้จะว่า เวนตูร่า จะอยู่ในวงการฟุตบอลมาอย่างยาวนาน เพราะอายุอานามในขณะนั้นก็ใกล้จะ 70 ปีแล้ว แต่ถึงแม้ว่าจะคลุกคลีมีประสบการณ์ถึงขนาดนั้น แต่เขากลับไม่เคยประสบความสำเร็จในรายการระดับเมเจอร์อะไรเลย แม้กระทั้งผลงานการคุมทีมก็วนเวียนอยู่แต่ระดับทีมลีกรอง และทีมกลางตารางของกัลโซซีรีเอ เพียงเท่านั้น เรียกได้ว่าสมาคมฟุตบอลอิตาลีได้พาความหวังคนทั้งชาติเสี่ยงเดิมพันครั้งใหญ่ กับกุญซือวัยไม้ใกล้ฝั่ง
.
และดูเหมือนว่าการเดิมพันครั้งนี้ ผลลัพท์กลับเลวร้ายจน ชาวอิตาลีต้องน้ำตาตกกันทั้งประเทศ เพราะผลงานการคุมทีมชาติอิตาลีอดีตแชมป์โลก 4 สมัย
กลับสาละวันเตี้ยลง จนถึงจุดต่ำสุดนั้นคือการแพ้ สวีเดน 0-1 ในรอบเพลออฟ นัดตัดเชือก จนอิตาลีหมดสิทธิ์เข้ารวมรายการฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง world cup ที่พวกเขานั้นคือขาประจำ
.
ท่ามกลางเสียงด่า สาปแช่ง จากการบริหารงานที่ล้มเหลว สมาคมฟุตบอลเมืองรองเท้าบูต จึงตระหนักได้ว่า พวกเขาพลาดที่เลือกเอากุญชือที่ไม่เคยประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์เข้ามารับงานชิ้นใหญ่ขนาดนี้ จนท้ายที่สุดหลังจากเคยออกมาสนับสนุน จิอาน ปิเอโร่ เวนตูร่า มาอย่างต่อเนื่อง พวกเขาจึงตัดสินใจปลดกุญซื่อเฒ่ารายนี้ออก ถามกลางเสียงคัดค้านของบอร์ดบริหารบางคน เพราะการปลดครั้งนี้จะยิ่งเป็นตอกย้ำว่า ที่ผ่านมาพวกเขา "เลือกคนผิด"
.
และต่อไปนี้พวกเขาจะไม่ทำผิดเป็นครั้งที่ 2
หลังจากการประกาศยกเลิกสัญญากับ เวนตูร่า ได้ไม่นาน สมาคมฟุตบอลอิตาลี ที่กำลังหา Turning point และsome body ที่จะเข้ามาเปลี่ยนเพื่อกอบกู้เกียรติภูมิของประเทศให้กลับคืนมา ก็ประกาศแต่งตั้ง โรเบโต้ มันชินี ให้ขึ้นมาเป็นผู้นำภาระกิจสำคัญครั้งนี้
โรเบร์โต้ มันชินี ขึ้นมารับงานคุมทีมชาติบ้านเกิดครั้งแรก ด้วยโปรไฟล์อันยอดเยี่ยม นั้นคือ การเคยเป็นนักฟุตบอลทีมชาติอิตาลีที่ทุกคนยอมรับในฝีเท้าจนถูกเลือกให้เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ดีที่สุดตลอดกาลของอิตาลี (Hall of frame) และยังเคยประสบความสำเร็จด้านการบริหารจัดการ โดยการพาสโมสร คว้าแชมป์ระดับเมเจอร์มากมาย ตั้งแต่แชมป์กัลโซซีรีเอ 3สมัย แชมป์พรีเมียร์ลีกอีก 1 สมัย และแชมป์บอลถ้วยอีกนับไม่ถ้วน
.
ประโยคแรกที่มันชินีกล่าวในวันแถลงการรับตำแหน่งนั้นคือ
"ผมเข้ามารับงานในทีมชาติอิตาลีด้วยสถานการณ์ที่ล้มเหลวและตกต่ำที่สุดในรอบ 50 ปี และผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว ที่เราต้องทำอะไรที่มันแตกต่างออกไปจากสิ่งเดิม ๆ ที่เราเคยทำ
.
และนั้นไม่ใช่เป็นเพียงแค่คำพูดที่ออกอากาศทางโทรทัศน์เท่านั้น เพราะมันชินี ได้แสดงให้เห็นว่า เขาหมายถึงอย่างนั้นจริงๆ มันชินีกสร้างสิ่งใหม่ ปฎิวัติสิ่งเดิมๆ ที่ทีมชาติเคยทำมา นั้นคือการเปลี่ยนสไตล์การเล่น จากอิตาลีที่เน้นเกมส์รับ กลายเป็นการเดินหน้าเข้าหาความสำเร็จ ด้วยบุคลิกและวิธีบริหารจัดการในแบบฉบับมันชินี ที่สามารถซื้อใจ และรวมใจนักเตะ ทำให้อิตาลีที่กำลังเมาหมัดเจียนอยู่เจียนไป กลับลุกขึ้นมาตั้งการ์ด และเดินสาวหมัดเข้าใส่ปัญหาต่างๆ อีกครั้ง จนผลงานเหล่าอัซซูรีผลิกขึ้นมาดีวันดีคืน เอาชนะคู่แข่งไปได้ถึง 24 นัดจาก 33 นัด (สถิติก่อนฟุตยูโร2020)
และปัจจุบันจากทีมที่เกือบจะแพ้น็อก กลายเป็นเดินหน้าเข้าต่อย เก็บคะแนนไปเรื่อยๆ ยกแล้วยกเล่า จนวันนี้ (8/7/64) อิตาลีภายใต้การนำของมันชินี ได้ผ่านการเดินทางมาจนถึงยกสุดท้ายของฟุตบอลยูโร โดยเหลืออังกฤษเพียงทีมเดียว ที่จะพิสูจน์ว่า Turning point ครั้งนี้ผลจะออกมาเป็นอย่างไร!!!!!!!
เครดิต โกลสตรอม