เปิดชีวิตสุดระทมแคมป์คนงาน นอนเต็นท์ปูนร้อนจัด-ฝนตกก็ท่วม ไร้เงิน-ท้องหิว ข้าว3มื้อไม่มีจริง
https://www.matichon.co.th/politics/news_2818746
ปิดชีวิตสุดระทม คนงานป่วยโควิดในแคมป์ ผ่านไป 10 วัน ต้องนอนเต็นท์ปูนร้อนจัด-ฝนตกก็ท่วม ท้องหิว เงินไม่มี วอนขออาหาร เยียวยาที่รัฐบาลบอก ผ่านมานานทุกอย่างยังเป็นศูนย์
ผู้สื่อข่าวได้รับการติดต่อขอความช่วยเหลือ แจ้งว่าขณะนี้กำลังเกิดปัญหาขึ้นในแคมป์คนงานหลายแห่ง จากกรณีที่รัฐบาลและหน่วยงานรัฐสั่งปิดแคมป์คนงาน ล็อกดาวน์เพื่อป้องกันและแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้หลังมาตรการดังกล่าวบังคับใช้ผ่านไปแล้วราว10 วัน คือ ความทุกข์ทรมานของแรงงานในแคมป์ เพราะคนงานแคมป์มากกว่า 500 แคมป์รอบพื้นที่กรุงเทพฯที่ถูกสั่งปิด กำลังอยู่ในความทุกข์จากการถูกจำกัดพื้นที่ ความหิวที่เกิดจากการขาดอาหาร และสภาพที่อยู่อาศัยซึ่งไม่ได้เอื้อให้อยู่เป็นเวลานาน ทั้งกลางวัน กลางคืน และยิ่งเลวร้ายเมื่อฝนตก
เรื่องรายได้ของแรงงานยิ่งเดือดร้อนหนัก เพราะคนงานในแคมป์ส่วนใหญ่รับค่าแรงวันต่อวัน แคมป์ที่ไม่พบผู้ป่วยโควิดก็ขาดรายได้ แม้จะออกจากแคมป์ได้ แต่ก็ไม่มีเงินจับจ่ายใช้สอย เงินเยียวยา 50% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 7,500 บาท สำหรับคนที่อยู่ในระบบประกันสังคมจากที่สำรวจ 100% แจ้งว่ายังไม่ได้รับ ส่วนคนส่วนใหญ่ซึ่งอยู่นอกระบบรายรับเป็น 0 มา 10 วันแล้ว ส่วนการลงพื้นที่ของสาธารณสุขเข้าไปตรวจสอบโรค ก็เกิดขึ้นเพียงบางแคมป์ ยังไม่ครอบคลุม
ฝนตกต้องหนีน้ำ ไม่มีที่อยู่
ยกตัวอย่างความยากลำบากของแรงงาน กรณี แคมป์วิภาวดีซอย 20 มีแรงงานทั้งหมด 190 คน ส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างชาติ พบติดเชื้อโควิด 70 คน เจ้าหน้าที่ได้ทำการแยกตัวออกมา แต่ก็มานอนเต๊นท์เขียวที่กางบนพื้นปูนช่วงกลางวันแดดออก ทำให้ร้อนจัดจนแทบไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ บางวันฝนตกลงมาน้ำท่วมผู้ป่วยต้องอยู่กับน้ำที่ท่วมเข้ามา บริษัทส่งอาหารปรุงสุกให้วันละ 1 กล่อง พร้อมอาหารแห้งจำนวนจำกัด
ผู้สื่อข่าวสอบถามไปยัง “
ไชยวัฒน์ วรรณโคตร” เลขาธิการคณะอนุกรรมาธิการศึกษาด้านแรงงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร เล่าให้ฟังว่า
“จากรายงานของรัฐบาลแคมป์คนงาน กทม.และปริมณฑล มีมากกว่า 500 แคมป์ที่ถูกสั่งปิด สถานการณ์หลังสั่งปิดแคมป์คนงานเป็นเวลากว่า สิบวัน หลังจากวันแรกที่สั่งปิดผมได้ลงพื้นที่ไปที่แคมป์คนงานแถวบางกะปิ แคมป์ที่มีข่าวว่าข้าว 50 กล่องคน 400 คน พอลงพื้นที่ไปหน้างานก็ได้คุยกับหัวหน้าคนงานที่ดูแล พบว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในแคมป์ คือ รัฐบาลสั่งทหารเข้ามาปิดล้อมแคมป์โดยที่ในแคมป์มีทั้งผู้ป่วยโควิดที่ได้รับการตรวจแล้ว และยังไม่ได้ตรวจปนกันอยู่ดังนั้นการจับเขารวมกันในแคมป์ที่แออัดมันส่งผลให้ทุกคนตกอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหมด สิ่งแรกที่รัฐบาลควรทำไม่ใช่ให้ทหารมาปิดล้อมแต่ควรจะส่งทีมสาธารณสุขเข้ามาตรวจเชิงรุก ส่งยาให้ผู้ป่วย ส่งอาหารมาบริการ หรือมาจัดระเบียบโซนในแคมป์ระหว่างคนป่วยและคนไม่ป่วย”
ไชยวัฒน์ ระบุ ต่อว่า
“วันนี้ผ่านมาสิบวัน ทุกอย่างแทบจะเหมือนเดิม ‘คนงานถูกทิ้ง’ มีการส่งทีมงานสาธารณสุขลงไปทำ Swab Test บ้างในบางแคมป์แต่ก็ยังไม่มากนักทุกวันนี้ยังไม่มีตัวเลขเปิดเผยออกมาเลยว่าตรวจไปแล้วกี่แคมป์ กี่คน สภาพแวดล้อมภายในแคมป์ย่ำแย่ลงเนื่องจากปกติแคมป์คนงานมีสภาพแออัดอยู่แล้วเมื่อพบผู้ป่วย ผู้ป่วยในหลายแคมป์ก็ต้องถูกแยกออกไปนอนเต็นท์เขียว พื้นปูน กลางวันแดดออกก็ร้อน กลางคืนหนาว ฝนตกน้ำก็ท่วมเข้ามาในเต็นท์ จุดนี้ยังไม่มีใครเข้าไปดูแล เงินเยียวยาประกันสังคม ที่จะจ่าย 50% ของรายได้แต่ไม่เกิน 7,500 บาท เท่าที่สอบถามตอนนี้ผ่านมาสิบวันก็ยังไม่มีใครได้รับ ยังไม่รวมถึงคนงานนอกระบบที่มีเงื่อนไขเต็มไปหมดในการรับเงินเยียวยาสูงสุดจากรัฐบาล 2,000 บาท”
“เรื่องอาหารการกินรัฐบาลพูดอย่างดิบดีว่าการล็อคครั้งนี้จะมีอาหารให้สามมื้อแต่สุดท้ายโยนให้ผู้ประกอบการ เจ้าไหนดีหน่อยก็มีอาหารส่งให้วันละ 1 มื้อ เจ้าไหนแย่ ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ ก็ปล่อยทิ้งเลยหรือไม่ก็มีอาหารแห้งมาให้บ้าง ตอนนี้คนงานหลายแคมป์คอยรับของบริจาคเสี่ยงโชคว่าวันไหนจะมีข้าวกินบ้าง แคมป์ไหนที่ไม่มีโควิดแม้จะออกไปซื้อของได้บ้างเนื่องจากไม่มีทหารเฝ้าแต่ตอนนี้ก็ไม่มีเงินจะซื้อแล้วเพราะคนงานก่อสร้างส่วนใหญ่ทั้งไทยและต่างชาติเป็นคนงานทำงานรายวัน ทำงานเช้ารับเงินค่ำ ไม่อยู่ในระบบ แคมป์ที่มีผู้ป่วยรอเตียงนอกจากจะนอนรออย่างไม่มีกำหนดแล้วยังขาดทีมสาธารณสุขเข้าไปจัดแจงดูแล ทั้งหิว ทั้งป่วย นอนรออย่างไร้จุดหมาย สภาพจิตใจก็แย่ลงทุกวัน” ไชยวัฒน์ ระบุ
“รัฐบาลสั่งปิดแคมป์ก็ควรมีแผนบริหารจัดการสถานการณ์ เช่น ด้านการตรวจ ด้านสุขภาพจิต ด้านบริการสาธารณสุขอื่น ๆ ไม่ใช่เอาทหารมาปิดล้อมแล้วก็จบ ผมคิดว่า สิ่งที่รัฐบาลทำกับคนงานเหล่านี้ไม่ใช่การทอดทิ้ง แต่มันหนักกว่านั้น มันคือการกักขัง เขาไว้กับโรค กับความหิว กับความอ้างหว้างไร้จุดหมายที่ทำให้สภาพจิตใจเขาย่ำแย่ลงไปทุกวัน สุดท้ายอยากฝากให้รัฐบาลรีบลงมาจัดการปัญหาส่วนนี้ด้วย”
“เคสตัวอย่าง วิภาวดี 20 ภาพตัวอย่างสถานการณ์ในแคมป์ วิภาวดีซอย 20 แรงงาน 190 คน ต่างชาติเกือบทั้งหมด พบติดเชื้อโควิด 70 คน แยกออกมานอนที่เต๊นท์พื้นปูน (ตามภาพคือเต๊นท์เขียวพื้นปูน ช่วงกลางวันแดดออกทำให้ภายในร้อน ถ้าหากฝนตกลงมาน้ำท่วมผู้ป่วยต้องอยู่กับน้ำที่ท่วมเข้ามา) บริษัทส่งอาหารปรุงสุกให้วันละ 1 กล่อง พร้อมอาหารแห้งจำนวนจำกัด มีทีม สปสช ลงพื้นที่ไปทำ Swab Test ในซอยนี้ยังมีอีกหนึ่งแคมป์ใน วิภาวดีซอย 20 ซึ่งมีแรงงาน 40 คน แยกผู้ติดเชื้อแล้ว” ไชยวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับผู้ที่ต้องการช่วยเหลือ
จุดแคมป์วิภาวดีซอย 20 ของบริษัทกรณิศ
แรงงาน 190 คน ต่างชาติเกือบทั้งหมด ติดโควิด 70 คน แยกออกมานอนที่เต๊นท์พื้นปูน บริษัทส่งอาหารปรุงสุกให้วันละ 1 กล่อง พร้อมอาหารแห้งจำนวนจำกัด มี สปสช ลงพื้นที่ไปทำ Swab Test แล้ว ความต้องการที่เร่งด่วนมากๆ มีดังนี้
– อาหารปรุงสุกสำหรับ 190 คน วันละ 3 มื้อทุกวัน เพราะไม่อยากให้ปรุงอาหารเองแล้วแบ่งกัน มีความเสี่ยงจะแพร่เชื่อในแคมป์
– น้ำเกลือแร่ เพราะนอนพื้นปูนกัน เสียเหงื่อมาก
– ยาสามัญประจำบ้าน
– เครื่องนอน เต๊น ผ้าปู หมอน ผ้าห่ม น้ำท่วมทุกครั้งที่ฝนตก เสียหายทั้งหมด
– อาสาสมัครจัดการเรื่องอาหาร เพราะคนในนั้นส่วนใหญ่เป็นต่างชาติ ไม่ต้องเข้าพื้นที่ แต่ประสานงานกับคนในแคมป์กับคนให้เพื่อไม่ให้อาหารกระจุกในแต่ละวัน และมีข้าวส่งให้กินถุงสิ้นเดือน
พิกัด: ซอยวิภาวดี 20 ใกล้ถนนคลองวาฬ ตามแผนที่นี้
https://maps.google.com/maps?q=13.803853%2C100.562781
ติดต่อ: คุณสาริน เรียบ (คนกัมพูชา อาจสื่อสารได้ไม่คล่องมาก) 066-007-xxxx (เบอร์เต็มๆ กรุณาค้นหาได้ในข่าว
ที่นี่)
ชายดับคาบ้าน หลังรพ.ไม่รับตรวจโควิด จนอาการทรุดหนัก
https://www.pptvhd36.com/news/สังคม/151214
พ่อมีอาการป่วยมาประมาณ 10 วันแล้ว ลูกสาวพยายามพาพ่อวัย 61 ปีไปตรวจหาเชื้อโควิดตามโรงพยาบาลย่านสายไหมทุกโรงพยาบาลปฏิเสธการตรวจ จนอาการเริ่มทรุดหนักและเสียชีวิตภายในบ้านเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา
เพจเฟซบุ๊กสายไหมต้องรอด นำโดยนาย
เอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ช่วยส.ส.เขตสายไหม เข้าไปเก็บร่างผู้เสียชีวิตภายในบ้านพักหลังหนึ่ง ย่านสายไหม74 ภายหลังได้รับแจ้งจากลูกสาวว่าพ่อมีอาการป่วยมาประมาณ 10 วันแล้ว ซึ่งพยายามพาพ่อวัย 61 ปีไปตรวจหาเชื้อโควิดตามโรงพยาบาลย่านสายไหมทุกโรงพยาบาลปฏิเสธการตรวจจนอาการเริ่มทรุดหนักและเสียชีวิตภายในบ้านเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา
แต่ว่าลูกสาวพาคุณพ่อพาน้องไปโรงพยาบาลทุกที่ไปมาทุกที่ไม่มีที่ไหนตรวจให้เลยลูกสาวเลยตัดสินใจไปที่สุขุมวิทไปตรวจที่คลีนิกปรากฎว่าเมื่อวานนี้ผลออกมาติดเชื้อวันนี้เลยนัดพ่อกับนัดน้องชายจะพาไปตรวจเมื่อตอนช่วงสายๆพ่อก็ลงมาอาบน้ำ ลูกสาวก็ถอยรถเห็นล้อรถไหมยังหมุนไม่เต็มที่คือลูกสาวก็ถอยรถจะมามารับพ่อที่หน้าบ้านขับรถพากันไปตรวจปรากฎว่าคุณพ่ออาบน้ำเสร็จแล้วไม่ลงมาลูกสาวก็เลยเดินขึ้นไปตามพบว่าคุณพ่อเสียชีวิตแล้ว
ชาย 59 ปี เครียดรอเตียงผู้ป่วยโควิดไม่ไหว กระโดดสะพานจมน้ำเสียชีวิต
https://www.nationtv.tv/news/378828581
ญาติร่ำไห้ชายวัย 59 ปี เพิ่งทราบข่าวตัวเองติดเชื้อไวรัสโควิด แต่อดทนรอเตียงไม่ไหว หลังจากเจ็บหน้าอก จนหายใจไม่ออก ตัดสินใจคิดสั้นกระโดดสะพานกรุงธน ทำให้จมน้ำเสียชีวิต
เป็นข่าวที่สร้างความสลดใจอย่างมาก เมื่อตำรวจ สภ.เมืองนนทบุรี รับแจ้งเหตุช่วงกลางดึกวานนี้ (7 ก.ค.) พบศพชายวัย 59 ปี จมน้ำเสียชีวิตอยู่บริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงท่าเรือพิบูลสงคราม ใต้สะพานพระราม 5 ต.สวนใหญ่ อ.เมือง จ.นนทบุรี
โดยเจ้าหน้าที่เก็บกู้ศพ ต้องสวมชุดพีพีอี นำศพขึ้นมาจากน้ำ เนื่องจากทราบว่า ชายคนดังกล่าวเป็นผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จากการตรวจค้นตัว พบปืนปากกาขนาด .22 จำนวน 1 กระบอก และกระสุน 1 นัด
ทั้งนี้ผู้ตายได้กระโดดจากสะพานกรุงธน เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยจอดรถจักรยานยนต์ทิ้งไว้กลางสะพาน ซึ่งญาติแจ้งความไว้ที่ สน.บางโพ โดยก่อนเกิดเหตุประมาณ 2-3 วัน เพิ่งทราบว่า ตัวเองติดเชื้อไวรัสโควิด และอยู่ระหว่างกักตัวรอรถโรงพยาบาลมารับตัว
ขณะที่ญาติผู้ตาย ระบุว่า น้องชายได้บอกรอไม่ไหวแล้ว หายใจไม่ออก แน่นหน้าอก จากนั้นออกมาก่อเหตุกระโดดสะพานดังกล่าว
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ส่งศพไปยังสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อรอญาติรับศพไปฌาปนกิจต่อไป
JJNY : 5in1 ชีวิตสุดระทมแคมป์คนงาน│ชายดับคาบ้าน│เครียดรอเตียงกระโดดสะพาน│วิโรจน์บี้เปิดราคาไฟเซอร์│โควิดกดดันท่องเที่ยว
https://www.matichon.co.th/politics/news_2818746
ปิดชีวิตสุดระทม คนงานป่วยโควิดในแคมป์ ผ่านไป 10 วัน ต้องนอนเต็นท์ปูนร้อนจัด-ฝนตกก็ท่วม ท้องหิว เงินไม่มี วอนขออาหาร เยียวยาที่รัฐบาลบอก ผ่านมานานทุกอย่างยังเป็นศูนย์
ผู้สื่อข่าวได้รับการติดต่อขอความช่วยเหลือ แจ้งว่าขณะนี้กำลังเกิดปัญหาขึ้นในแคมป์คนงานหลายแห่ง จากกรณีที่รัฐบาลและหน่วยงานรัฐสั่งปิดแคมป์คนงาน ล็อกดาวน์เพื่อป้องกันและแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้หลังมาตรการดังกล่าวบังคับใช้ผ่านไปแล้วราว10 วัน คือ ความทุกข์ทรมานของแรงงานในแคมป์ เพราะคนงานแคมป์มากกว่า 500 แคมป์รอบพื้นที่กรุงเทพฯที่ถูกสั่งปิด กำลังอยู่ในความทุกข์จากการถูกจำกัดพื้นที่ ความหิวที่เกิดจากการขาดอาหาร และสภาพที่อยู่อาศัยซึ่งไม่ได้เอื้อให้อยู่เป็นเวลานาน ทั้งกลางวัน กลางคืน และยิ่งเลวร้ายเมื่อฝนตก
เรื่องรายได้ของแรงงานยิ่งเดือดร้อนหนัก เพราะคนงานในแคมป์ส่วนใหญ่รับค่าแรงวันต่อวัน แคมป์ที่ไม่พบผู้ป่วยโควิดก็ขาดรายได้ แม้จะออกจากแคมป์ได้ แต่ก็ไม่มีเงินจับจ่ายใช้สอย เงินเยียวยา 50% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 7,500 บาท สำหรับคนที่อยู่ในระบบประกันสังคมจากที่สำรวจ 100% แจ้งว่ายังไม่ได้รับ ส่วนคนส่วนใหญ่ซึ่งอยู่นอกระบบรายรับเป็น 0 มา 10 วันแล้ว ส่วนการลงพื้นที่ของสาธารณสุขเข้าไปตรวจสอบโรค ก็เกิดขึ้นเพียงบางแคมป์ ยังไม่ครอบคลุม
ฝนตกต้องหนีน้ำ ไม่มีที่อยู่
ยกตัวอย่างความยากลำบากของแรงงาน กรณี แคมป์วิภาวดีซอย 20 มีแรงงานทั้งหมด 190 คน ส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างชาติ พบติดเชื้อโควิด 70 คน เจ้าหน้าที่ได้ทำการแยกตัวออกมา แต่ก็มานอนเต๊นท์เขียวที่กางบนพื้นปูนช่วงกลางวันแดดออก ทำให้ร้อนจัดจนแทบไม่สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ บางวันฝนตกลงมาน้ำท่วมผู้ป่วยต้องอยู่กับน้ำที่ท่วมเข้ามา บริษัทส่งอาหารปรุงสุกให้วันละ 1 กล่อง พร้อมอาหารแห้งจำนวนจำกัด
ผู้สื่อข่าวสอบถามไปยัง “ไชยวัฒน์ วรรณโคตร” เลขาธิการคณะอนุกรรมาธิการศึกษาด้านแรงงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สภาผู้แทนราษฎร เล่าให้ฟังว่า
“จากรายงานของรัฐบาลแคมป์คนงาน กทม.และปริมณฑล มีมากกว่า 500 แคมป์ที่ถูกสั่งปิด สถานการณ์หลังสั่งปิดแคมป์คนงานเป็นเวลากว่า สิบวัน หลังจากวันแรกที่สั่งปิดผมได้ลงพื้นที่ไปที่แคมป์คนงานแถวบางกะปิ แคมป์ที่มีข่าวว่าข้าว 50 กล่องคน 400 คน พอลงพื้นที่ไปหน้างานก็ได้คุยกับหัวหน้าคนงานที่ดูแล พบว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในแคมป์ คือ รัฐบาลสั่งทหารเข้ามาปิดล้อมแคมป์โดยที่ในแคมป์มีทั้งผู้ป่วยโควิดที่ได้รับการตรวจแล้ว และยังไม่ได้ตรวจปนกันอยู่ดังนั้นการจับเขารวมกันในแคมป์ที่แออัดมันส่งผลให้ทุกคนตกอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหมด สิ่งแรกที่รัฐบาลควรทำไม่ใช่ให้ทหารมาปิดล้อมแต่ควรจะส่งทีมสาธารณสุขเข้ามาตรวจเชิงรุก ส่งยาให้ผู้ป่วย ส่งอาหารมาบริการ หรือมาจัดระเบียบโซนในแคมป์ระหว่างคนป่วยและคนไม่ป่วย”
ไชยวัฒน์ ระบุ ต่อว่า “วันนี้ผ่านมาสิบวัน ทุกอย่างแทบจะเหมือนเดิม ‘คนงานถูกทิ้ง’ มีการส่งทีมงานสาธารณสุขลงไปทำ Swab Test บ้างในบางแคมป์แต่ก็ยังไม่มากนักทุกวันนี้ยังไม่มีตัวเลขเปิดเผยออกมาเลยว่าตรวจไปแล้วกี่แคมป์ กี่คน สภาพแวดล้อมภายในแคมป์ย่ำแย่ลงเนื่องจากปกติแคมป์คนงานมีสภาพแออัดอยู่แล้วเมื่อพบผู้ป่วย ผู้ป่วยในหลายแคมป์ก็ต้องถูกแยกออกไปนอนเต็นท์เขียว พื้นปูน กลางวันแดดออกก็ร้อน กลางคืนหนาว ฝนตกน้ำก็ท่วมเข้ามาในเต็นท์ จุดนี้ยังไม่มีใครเข้าไปดูแล เงินเยียวยาประกันสังคม ที่จะจ่าย 50% ของรายได้แต่ไม่เกิน 7,500 บาท เท่าที่สอบถามตอนนี้ผ่านมาสิบวันก็ยังไม่มีใครได้รับ ยังไม่รวมถึงคนงานนอกระบบที่มีเงื่อนไขเต็มไปหมดในการรับเงินเยียวยาสูงสุดจากรัฐบาล 2,000 บาท”
“เรื่องอาหารการกินรัฐบาลพูดอย่างดิบดีว่าการล็อคครั้งนี้จะมีอาหารให้สามมื้อแต่สุดท้ายโยนให้ผู้ประกอบการ เจ้าไหนดีหน่อยก็มีอาหารส่งให้วันละ 1 มื้อ เจ้าไหนแย่ ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ ก็ปล่อยทิ้งเลยหรือไม่ก็มีอาหารแห้งมาให้บ้าง ตอนนี้คนงานหลายแคมป์คอยรับของบริจาคเสี่ยงโชคว่าวันไหนจะมีข้าวกินบ้าง แคมป์ไหนที่ไม่มีโควิดแม้จะออกไปซื้อของได้บ้างเนื่องจากไม่มีทหารเฝ้าแต่ตอนนี้ก็ไม่มีเงินจะซื้อแล้วเพราะคนงานก่อสร้างส่วนใหญ่ทั้งไทยและต่างชาติเป็นคนงานทำงานรายวัน ทำงานเช้ารับเงินค่ำ ไม่อยู่ในระบบ แคมป์ที่มีผู้ป่วยรอเตียงนอกจากจะนอนรออย่างไม่มีกำหนดแล้วยังขาดทีมสาธารณสุขเข้าไปจัดแจงดูแล ทั้งหิว ทั้งป่วย นอนรออย่างไร้จุดหมาย สภาพจิตใจก็แย่ลงทุกวัน” ไชยวัฒน์ ระบุ
“รัฐบาลสั่งปิดแคมป์ก็ควรมีแผนบริหารจัดการสถานการณ์ เช่น ด้านการตรวจ ด้านสุขภาพจิต ด้านบริการสาธารณสุขอื่น ๆ ไม่ใช่เอาทหารมาปิดล้อมแล้วก็จบ ผมคิดว่า สิ่งที่รัฐบาลทำกับคนงานเหล่านี้ไม่ใช่การทอดทิ้ง แต่มันหนักกว่านั้น มันคือการกักขัง เขาไว้กับโรค กับความหิว กับความอ้างหว้างไร้จุดหมายที่ทำให้สภาพจิตใจเขาย่ำแย่ลงไปทุกวัน สุดท้ายอยากฝากให้รัฐบาลรีบลงมาจัดการปัญหาส่วนนี้ด้วย”
“เคสตัวอย่าง วิภาวดี 20 ภาพตัวอย่างสถานการณ์ในแคมป์ วิภาวดีซอย 20 แรงงาน 190 คน ต่างชาติเกือบทั้งหมด พบติดเชื้อโควิด 70 คน แยกออกมานอนที่เต๊นท์พื้นปูน (ตามภาพคือเต๊นท์เขียวพื้นปูน ช่วงกลางวันแดดออกทำให้ภายในร้อน ถ้าหากฝนตกลงมาน้ำท่วมผู้ป่วยต้องอยู่กับน้ำที่ท่วมเข้ามา) บริษัทส่งอาหารปรุงสุกให้วันละ 1 กล่อง พร้อมอาหารแห้งจำนวนจำกัด มีทีม สปสช ลงพื้นที่ไปทำ Swab Test ในซอยนี้ยังมีอีกหนึ่งแคมป์ใน วิภาวดีซอย 20 ซึ่งมีแรงงาน 40 คน แยกผู้ติดเชื้อแล้ว” ไชยวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับผู้ที่ต้องการช่วยเหลือ
จุดแคมป์วิภาวดีซอย 20 ของบริษัทกรณิศ
แรงงาน 190 คน ต่างชาติเกือบทั้งหมด ติดโควิด 70 คน แยกออกมานอนที่เต๊นท์พื้นปูน บริษัทส่งอาหารปรุงสุกให้วันละ 1 กล่อง พร้อมอาหารแห้งจำนวนจำกัด มี สปสช ลงพื้นที่ไปทำ Swab Test แล้ว ความต้องการที่เร่งด่วนมากๆ มีดังนี้
– อาหารปรุงสุกสำหรับ 190 คน วันละ 3 มื้อทุกวัน เพราะไม่อยากให้ปรุงอาหารเองแล้วแบ่งกัน มีความเสี่ยงจะแพร่เชื่อในแคมป์
– น้ำเกลือแร่ เพราะนอนพื้นปูนกัน เสียเหงื่อมาก
– ยาสามัญประจำบ้าน
– เครื่องนอน เต๊น ผ้าปู หมอน ผ้าห่ม น้ำท่วมทุกครั้งที่ฝนตก เสียหายทั้งหมด
– อาสาสมัครจัดการเรื่องอาหาร เพราะคนในนั้นส่วนใหญ่เป็นต่างชาติ ไม่ต้องเข้าพื้นที่ แต่ประสานงานกับคนในแคมป์กับคนให้เพื่อไม่ให้อาหารกระจุกในแต่ละวัน และมีข้าวส่งให้กินถุงสิ้นเดือน
พิกัด: ซอยวิภาวดี 20 ใกล้ถนนคลองวาฬ ตามแผนที่นี้ https://maps.google.com/maps?q=13.803853%2C100.562781
ติดต่อ: คุณสาริน เรียบ (คนกัมพูชา อาจสื่อสารได้ไม่คล่องมาก) 066-007-xxxx (เบอร์เต็มๆ กรุณาค้นหาได้ในข่าว ที่นี่)
ชายดับคาบ้าน หลังรพ.ไม่รับตรวจโควิด จนอาการทรุดหนัก
https://www.pptvhd36.com/news/สังคม/151214
พ่อมีอาการป่วยมาประมาณ 10 วันแล้ว ลูกสาวพยายามพาพ่อวัย 61 ปีไปตรวจหาเชื้อโควิดตามโรงพยาบาลย่านสายไหมทุกโรงพยาบาลปฏิเสธการตรวจ จนอาการเริ่มทรุดหนักและเสียชีวิตภายในบ้านเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา
เพจเฟซบุ๊กสายไหมต้องรอด นำโดยนายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ช่วยส.ส.เขตสายไหม เข้าไปเก็บร่างผู้เสียชีวิตภายในบ้านพักหลังหนึ่ง ย่านสายไหม74 ภายหลังได้รับแจ้งจากลูกสาวว่าพ่อมีอาการป่วยมาประมาณ 10 วันแล้ว ซึ่งพยายามพาพ่อวัย 61 ปีไปตรวจหาเชื้อโควิดตามโรงพยาบาลย่านสายไหมทุกโรงพยาบาลปฏิเสธการตรวจจนอาการเริ่มทรุดหนักและเสียชีวิตภายในบ้านเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา
แต่ว่าลูกสาวพาคุณพ่อพาน้องไปโรงพยาบาลทุกที่ไปมาทุกที่ไม่มีที่ไหนตรวจให้เลยลูกสาวเลยตัดสินใจไปที่สุขุมวิทไปตรวจที่คลีนิกปรากฎว่าเมื่อวานนี้ผลออกมาติดเชื้อวันนี้เลยนัดพ่อกับนัดน้องชายจะพาไปตรวจเมื่อตอนช่วงสายๆพ่อก็ลงมาอาบน้ำ ลูกสาวก็ถอยรถเห็นล้อรถไหมยังหมุนไม่เต็มที่คือลูกสาวก็ถอยรถจะมามารับพ่อที่หน้าบ้านขับรถพากันไปตรวจปรากฎว่าคุณพ่ออาบน้ำเสร็จแล้วไม่ลงมาลูกสาวก็เลยเดินขึ้นไปตามพบว่าคุณพ่อเสียชีวิตแล้ว
ชาย 59 ปี เครียดรอเตียงผู้ป่วยโควิดไม่ไหว กระโดดสะพานจมน้ำเสียชีวิต
https://www.nationtv.tv/news/378828581
ญาติร่ำไห้ชายวัย 59 ปี เพิ่งทราบข่าวตัวเองติดเชื้อไวรัสโควิด แต่อดทนรอเตียงไม่ไหว หลังจากเจ็บหน้าอก จนหายใจไม่ออก ตัดสินใจคิดสั้นกระโดดสะพานกรุงธน ทำให้จมน้ำเสียชีวิต
เป็นข่าวที่สร้างความสลดใจอย่างมาก เมื่อตำรวจ สภ.เมืองนนทบุรี รับแจ้งเหตุช่วงกลางดึกวานนี้ (7 ก.ค.) พบศพชายวัย 59 ปี จมน้ำเสียชีวิตอยู่บริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงท่าเรือพิบูลสงคราม ใต้สะพานพระราม 5 ต.สวนใหญ่ อ.เมือง จ.นนทบุรี
โดยเจ้าหน้าที่เก็บกู้ศพ ต้องสวมชุดพีพีอี นำศพขึ้นมาจากน้ำ เนื่องจากทราบว่า ชายคนดังกล่าวเป็นผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จากการตรวจค้นตัว พบปืนปากกาขนาด .22 จำนวน 1 กระบอก และกระสุน 1 นัด
ทั้งนี้ผู้ตายได้กระโดดจากสะพานกรุงธน เมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 6 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยจอดรถจักรยานยนต์ทิ้งไว้กลางสะพาน ซึ่งญาติแจ้งความไว้ที่ สน.บางโพ โดยก่อนเกิดเหตุประมาณ 2-3 วัน เพิ่งทราบว่า ตัวเองติดเชื้อไวรัสโควิด และอยู่ระหว่างกักตัวรอรถโรงพยาบาลมารับตัว
ขณะที่ญาติผู้ตาย ระบุว่า น้องชายได้บอกรอไม่ไหวแล้ว หายใจไม่ออก แน่นหน้าอก จากนั้นออกมาก่อเหตุกระโดดสะพานดังกล่าว
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ส่งศพไปยังสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เพื่อรอญาติรับศพไปฌาปนกิจต่อไป