พ่อแม่เป็นเจ้าของกิจการ แต่ยังไม่มีเงินเก็บก่อนเกษียณ ทำให้ผมไม่กล้าทุ่มสุดตัวกับชีวิตตัวเอง ทำยังไงดีครับ

พ่อกับแม่อีกไม่มีกี่ปีจะอายุ 60 แล้วครับ เป็นเจ้าของโรงเรียนเอกชนในต่างจังหวัด ส่วนผมอายุ 23 ลูกคนเดียวเป็นพนักงานบริษัทเอกชนอยู่ในกรุงเทพ
ครอบครัวผมฐานะปานกลาง มีกินมีใช้ไม่ลำบาก เมื่อผมโตขึ้นจึงเริ่มสอบถามสถานะทางการเงินของครอบครัว เพื่อวางแผนอนาคตของตัวเองและเป็นห่วงพ่อกับแม่ในฐานะของลูกชายคนนึง

ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือ โรงเรียนเอกชนมีรายรับมาก แต่รายจ่ายก็มากเช่นกันครับ ยิ่งในสถานการณ์โควิดแบบนี้ ผู้ปกครองหลายคนเรียกร้องให้โรงเรียนคืนค่าเทอม ทั้งๆที่ความจริงแล้วต้นทุนอย่างเดียวที่ลดลงคือ ค่าน้ำค่าไฟ ในทางตรงกันข้ามเงินเดือนครู ค่าหลักสูตรต่างๆก็ต้องจ่ายปกติ อีกทั้งยังมีค่าอุปกรณ์ที่ต้องสนับสนุนครูในการสอนออนไลน์เพิ่มเข้าไปอีก นอกจากนี้แล้วพ่อแม่ผมเป็นคนดีมากครับ ตลอดมาเค้าไม่ได้มองสิ่งที่ทำเป็นธุรกิจไปทั้งหมด นักเรียนไม่จ่ายค่าเทอมก็ปล่อยไป (คนดีก็มีครับ เวลาผ่านไปก็ทดแทนบุญคุณ แต่คนชั่วมีมากกว่ารู้ว่าใจดีก็เอาเปรียบ ไม่จ่ายตั้งแต่อนุบาลถึงจบ ป.6 ก็มี) คนโกงเงินก็ไม่แจ้งความ ท่านพยายามสร้างการศึกษาที่ดีให้กับท้องถิ่น มีเท่าไหร่ก็พัฒนาหมดครับ ทั้งสร้างอาคาร ซื้อสื่อการเรียนการสอน ให้ความช่วยเหลือนักเรียนด้อยโอกาส มีคนชมพ่อแม่ให้ผมฟังเยอะมากครับ รู้สึกภูมิใจ แต่สังคมก็โหดร้ายครับ บางคนช่วยเหลือหลายครั้งไม่ช่วยครั้งเดียวก็ด่า บางครั้งพ่อแม่ซื้อรถ ซื้อของให้ผม ชาวบ้านเห็นก็มาด่าว่าหากินกับเด็ก ขูดรีดจนรวยแล้วมาปรนเปรอครอบครัวตัวเอง ผมรับรู้แล้วแทบจะร้องไห้ ทำไมคนเรามันแย่กันได้ถึงขนาดนี้ สุดท้ายผมก็ผลักดันตัวเองด้วยความรับไม่ได้ มาเรียนต่อที่กรุงเทพตั้งแต่ ม.ปลายครับ ทิ้งสัมคมแบบนั้นไว้ข้างหลัง ผมโชคดีที่ได้เรียนโรงเรียนที่ดี สังคมดี เพื่อนดี คบกันมาเกือบ 10 ปี มีแต่สิ่งดีๆให้กันครับช่วยเหลือกัน ผมหลอกตัวเองให้ลืมสังคมที่ตัวเองจากมาแต่ทำได้ไม่นาน พอโตขึ้นหน้าที่ลูกก็ต้องหันกลับไปใส่ใจครอบครัวมากขึ้น

ช่วงมหาลัยผมสับสนมากๆครับ เพื่อนๆรอบตัวฐานะดีกันมากๆ พอได้ไปที่บ้านเพื่อน พ่อแม่ของเพื่อนมีมุมมองการใช้ชีวิตที่ผมอยากให้พ่อแม่ผมเป็น (อันนี้ไม่ดีนะครับ) ธุรกิจคือธุรกิจ ครอบครัวคือครอบครัว ใครถูกชื่นชม ใครผิดต่อว่า ไม่ใช้อิทธิพลข่มขู่ผู้อื่น แต่ก็มีไว้เพื่อปกป้องตัวเอง ผมว่าสังคมประเทศไทยมันโหดร้าย ใครดีเกินไปก็เป็นเหยื่อ แต่เมื่อผมปรึกษาใครก็จะได้คำตอบว่า ชีวิตผมไม่ได้ลำบาก อะไรที่พ่อแม่ทำแล้วสบายใจก็ปล่อยเค้าไป ชอบไม่ชอบอะไรก็ไปทำกับชีวิตตัวเอง ผมนั่งไตร่ตรองและเห็นด้วยมากๆครับ ไม่หงุดหงิดกับสิ่งที่พ่อแม่ทำแล้ว มาลุยในหน้าที่การงานที่ตัวเองอยากจะเป็นตามความฝัน 2 ปีจากที่เรียนจบผมเหนื่อยมาก แต่ก็รู้สึกว่ามาไกลมากๆแล้ว ถึงเวลาที่จะต่อยอดเอาไปลงทุนทำธุรกิจ นอกเหนือจากเงินเดือน

นี่แหละครับประเด็นสำคัญ ผมเป็นคนประเภท all-in ทำอะไรทำสุดๆ เล่นหุ้นแบบสุดตัว เงินเดือนเข้าเหลือไว้หมื่นเดียว ที่เหลือเอาเข้าพอร์ทหมด กล้าได้กล้าเสีย คิดธุรกิจใหม่ๆได้เรื่อยๆ เอาไปเล่าให้เพื่อนฟังเพื่อนสนใจ สรุปเป็นเราเองที่ไม่พร้อมไม่มีเงินทุนมากพอ ให้เพื่อนทำเลยบางทีก็มานั่งน้อยใจทำไมเราไม่มีเหมือนเค้า เราทำอะไรต้องคิดมากๆ เพื่อนลงทุน 10 อย่างเจ๊ง 9 ปังแค่อันเดียวก็รวยแล้ว แต่ก็สู้ต่อเก็บเล็กๆน้อยๆทำไปจนมีคอนโด อายุมากขึ้นการลงทุนก็ใหญ่ขึ้นตามอายุ ผมมีเป้าหมายอาจจะไปเรียนต่างประเทศต่อโดยไม่ขอเงินพ่อแม่ครับ แต่ก็ฉุกคิดขึ้นมาก่อนเราทำอะไรถามครอบครัวก่อนดีกว่า เราเป็นลูกคนเดียว ถ้าเราล้มพ่อแม่อยู่ได้มั้ย คำตอบที่ได้ผมแทบช็อคครับ พ่อแม่บอกว่ามีเงินเก็บบ้างแต่ไม่ใช่เงินเย็นรอเกษียณต้องหมุนในธุรกิจ ผมขอดูบัญชียิ่งทำให้โมโห ขอเรียกมันว่า งบคนดีแล้วกันนะครับ ค่าใช้จ่ายหมดไปกับการพัฒนาการสอน การช่วยเหลือเด็ก สนับสนุนครู ค่าป้องกันโควิดต่างๆ (ไม่ใช่ไม่ดีครับ แต่ความดีมันกินไม่ได้อีกต่อไปแล้วในความคิดผม) โรงเรีบนเอกชนอื่นๆก็อยู่กันได้ปกติ ค่าใช้ง่ายไม่สูงเท่า เพราะบ้านผมมีงบคนดี งบศีลธรรม มันบั่นทอนผมมากครับ

ความเป็นคนดีเกินไปของพ่อกับแม่ สถานการณ์โควิด ความเป็นห่วงที่ลูกชายคนนึงมีต่อพ่อแม่ มันเหมือนโซ่ที่ดึงไม่ให้ผมไปข้างหน้าได้เต็มที่ นิสัยและใจมันอยากลุย แต่หน้าที่และความรักมันบอกว่าทำไม่ได้ ผมจะทำยังไงดีครับ ทั้งเหนื่อยทั้งท้อ ยิ่งสภาพสังคมที่เลวร้ายทุกวันนี้ ทำให้ผมมองโลกในแง่ร้ายมากขึ้น แต่ก็ไม่อยากจะเป็นคนชั่วกลืนไปกับสังคมแย่ๆ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่