อย่าบอกลาฉัน....แม้จะเป็นวันสุดท้าย
ฉัน
ผม...เคยบอกเธออย่างนี้จริง ๆ แน่นอนว่าความทรงจำนั้นชัดเจนมั่นคงไม่มีวันเสื่อมสลาย เท่าที่ลมหายใจกับร่างกายยังคงประสานความสามัคคีร่วมมือกัน ไม่ว่าความรักของเราจะก่อร่างสร้างตัวมาอย่างไร...แบบไหน...ทำไม ก็ตาม ไม่ว่าจะมีจินตนาการที่แสนหวานเพริดแพร้วพิสดารอย่างไรก็ตาม..แต่เราจะหนีความจริงไม่พ้น...ความจริงที่แสนน่ากลัว..
บางอย่างที่เยียบเย็นไร้สภาพ ขวางกั้นทางฝัน ปิดเส้นทางความรักตลอดกาล ชีวิตจริงไม่ใช่สวยงามสมหวังดั่งนิยาย
ผมเคยบอกเธอว่า “ถ้าคุณจะจากผมไป คุณอย่าสั่งลา หรือบอกลาได้ไหม”
“ทำไมคะ” เธอมองหน้าผม อย่างหาคำตอบ สายตามีแววสงสัยไม่เข้าใจ ผมถอนใจ จับมือเธอมากุม สบตาเธอ พยายามส่งความรู้สึกผ่านประตูใจเข้าไปในหัวใจส่วนลึกและละเอียดอ่อนที่สุดของเธอ ก่อนตอบว่า
“เพราะผมไม่อยากเจ็บ ไม่อยากรับตรง ๆ กับคำประเภทที่ว่า ลาก่อน... จากกันแล้วนะ...ไม่เจอกันอีกแล้วนะ...ถึงแม้ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็ตาม แต่ผมไม่อยากจะได้ยิน ไม่อยากรับรู้อยากให้เราจากกันด้วยวิธีปกติธรรมดา เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเดินจากกันไปธรรมดา คุณกลับบ้าน ผมกลับบ้าน ต่างคนต่างไป ถึงจะไม่มีวันหันกลับมามองกันอีกก็ตาม แต่อย่างน้อยวันพรุ่งนี้ ผมก็ยังมีความหวังว่า ผมจะได้เจอคุณอีก ผมหวังว่าคุณจะโผล่มาหาผม แล้วบอกว่า สวัสดีค่ะ เจอกันอีกแล้วนะ ใช่ครับ มันไม่จริง แต่อย่างน้อยวันนั้น ผมก็พอหลอกตัวเองไปได้อีกวัน”
ใช่แล้ว...มันเป็นเรื่องง่าย ๆ เพียงไม่เอ่ยคำอำลา แค่นี้จริง ๆ เธอจ้องตาของผม ประกายตาคมหวานทำให้รู้ว่าเธอมีความสงสัยมากมายวิ่งวนเวียน แต่เธอเลือกที่จะไม่ถามถึงเหตุผลของคำพูดปริศนา
ผมกลัวการลาจาก ทั้งที่รู้ว่า มันมีจริง !
เพียงไม่เอ่ยคำอำลา ก็ยังมีความหวังต่อให้หวังริบหรี่สุดขอบจักรวาลชนิดไม่มีวันไปถึง หรือเดินทางอย่างรอคอยรอคอยไปจนตายก็ตาม..
ผู้คน เพื่อนฝูง หลายคนมองผมเป็นคนแปลก..แต่หลายครั้งผมก็รู้สึกว่าตัวเองแปลกคน
เธอ
นี่ฉันจะทำอย่างไรกับผู้ชายคนนี้นะ....ผู้ชายที่บ้ายิ่งกว่าบ้า....ชนิดว่า ฉันไม่เคยมาก่อนในชีวิต หรือกระทั่งความฝัน..คนที่กลัวคำว่า ลาก่อน...ผู้ชายที่เดินไปส่งฉันขึ้นรถ แล้วห้ามการเอ่ยคำอำลา..ด้วยเหตุผลว่า...กลัวคำว่า “ลา” ไม่ว่าจะเป็นคำว่า ราตรีสวัสดิ์ โชคดีค่ะ หรืออะไรก็ตาม เอ่ยคำลาเพียงข้ามคืนข้ามวันก็ไม่ได้ ทุกครั้งฉันจึงได้เพียงส่งยิ้มให้เขา แทนคำบอกลา ฟังดูไม่ค่อยโรแมนติก แต่ฉันเข้าใจเขาเสมอ
ดังนั้น เราไม่เคยจากกัน ด้วยการกล่าวคำ อำลา เลยสักครั้ง มันบ้าชัดๆ เขาเคยบอกฉันว่า.... “อย่าไปส่งได้ไหม ทำตัวให้เป็นปรกติ..ไม่ต้องบอกลา ผมจะได้รู้สึกว่า การจากกันวันนี้ มันเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนเรากลับบ้านใครบ้านมัน มีโอกาสเจอกันพรุ่งนี้ตามปรติ ใช่ครับ เราจะมีโอกาสเจอกัน ในวันต่อไป ไม่ต้องบอกลาผมได้ไหม ต่อให้คุณจำเป็นต้องบอกลาก็ตาม...”
ไม่รู้เป็นเพราะอะไร หัวใจของฉันสั่นสะท้าน เพราะคำพูดของเขาฟังดูชวนให้ใจหาย อย่างไม่มีเหตุผล
คนอย่างนี้ก็มีในโลก ฉันนึกในใจ คนที่กล้าหลอกกระทั่งตัวเอง หลอกตัวเองอย่างยินยอมพร้อมใจ กลัวว่าจะเผชิญกับความจริง....ยอมถูกขังอยู่ในโลกแห่งความลวงตลอดไป โดยไม่ยอมรับความเป็นจริง กลัวกระทั่งคำเอ่ยลา
หรือกลัวกระทั่ง..
ว่าฉัน--- กำลังจะแต่งงาน กับคนที่ไม่ใช่เขา ทั้งที่ฉันรักเขา แต่ความรักอย่างเดียว ไม่พอ หรือไม่เคยพอ..
ฉันไม่ปฏิเสธว่า ฉันรักเขา เหมือนที่รู้ว่า เขาก็รักฉัน...รักมากด้วย..รักอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ก้าวพ้นจากความรักแบบธรรมดาสามัญ เสียดายว่า โลกแห่งความจริง ไม่ยอมรับในเรื่องนี้ ฉันยังหาจังหวะและโอกาสบอกเขาไม่ได้ เพียงบอกว่า...ที่ผ่านมา เป็นสิ่งดี ๆ..ควรค่าเก็บไว้ในความทรงจำ
ครอบครัวฉัน ไม่ได้เลือกเขา
ฉันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ทั้งเป็นครอบครัวแข็งแกร่งในสังคม ดังนั้นฉันจึงจำเป็นต้องสละความรัก และคนรัก ..และสละหัวใจของตนเองจนหมดสิ้น เข้าสู่โลกแห่งความถูกต้อง และความเป็นจริง ความรักเป็นเพียงเงาอดีต เงาแห่งความฝัน และภาพลวงตา
ลาก่อนที่รัก...ฉันกระซิบคำลาผ่านม่านน้ำตาไปกับสายลม ชีวิตของฉันเกิดมาโดยที่ไม่มีกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของชีวิตของตัวเอง เมฆขาวลอยฟ่องกลางฟ้าคราม ฉันอยากเป็นเหมือนก้อนเมฆ มีอิสระบนฟ้ากว้าง วันใดที่เขาคนนั้นเศร้าใจ ฉันจะได้ล่องลอยไปหลั่งน้ำตาลงมาเป็นสายฝนปลอบประโลม
ลาก่อนที่รัก หัวใจของฉันกำลังแหลกสลายลง แต่ฉันก็พยายามฝืนยิ้มให้ความความทรงจำสวยงาม
อำลา
“ฉันไปส่งคุณที่รถนะคะ”
“ไม่" ผมตอบเสียงชัดเจน ไม่ต้องส่ง เพราะการส่ง จะต้องมีคำอำลา ทำไมไม่ทำตัวเป็นปกติ ว่าเราไม่ได้จากกันแสนนาน แสนไกลผมไม่ต้องการ การส่งเพื่อลาจาก ทำไม่เราไม่ทำตัวเป็นปกติ ไม่ต้องบอกลา เพื่อผมจะได้คิดว่า...วันพรุ่งนี้ เรายังจะมีโอกาสเจอกัน ยิ้มให้กัน ทักทายกัน เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะผมยังจะได้ทำใจว่า พรุ่งนี้..คุณจะเดินมาหาผม แล้วบอกว่า สวัสดีค่ะไปเดินเล่นด้วยกันไหม ไปทานข้าวด้วยกัน...พูดคุยกันเป็นปกติ
ต่อให้มันเป็นไปไม่ได้ก็ตาม เพราะเธอบอกข่าวร้ายที่สุดในชีวิต ให้ผมรับรู้แล้ว เธอกำลังจะแต่งงาน
ทางเลือก
ใช่แล้ว ฉันแต่งงาน ฉันไม่ได้บอกลาเขาคนนั้น อย่างที่เขาต้องการ ทำได้เท่านี้สำหรับความรัก ฉันรู้ว่า เขาต้องทุกข์โศกตรมอย่างถึงที่สุด เขาต้องนอนซบหมอนร้องไห้ ปานใจจะขาดและคิดถึงฉัน จนกว่าจะหมดสภาพหลับไป เขาต้องทรมานมากจนเกินคำบรรยายใด ฉันรู้ แต่ทำอะไรไม่ได้ ทำไมฉันเป็นคนแบบนี้นะ..ทำไมฉันเลือกสิ่งที่ถูกต้องแทนที่จะเลือกหัวใจของตัวเอง....ฉันคงทำผิดมากมาย...
เจ้าบ่าวของฉัน ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร เขาเป็นคนดี
เพียงแต่…………
งานวิวาห์
ผมตัดสินใจไปงานแต่งงานของเธอ แอบมองจากเงามืด ของสุมทุมพุ่มไม้ ไม่กล้าโผล่หน้าไปในใครเห็นโดยเฉพาะกับเธอ ไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาของผม...น้ำตาของลูกผู้ชาย ในเงาไม้และแสงจันทร์เลือนราง นั่งฟังเสียงเพลง เสียงพูดคุยหัวเราะในงาน บรรยากาศแห่งความสุขแบบนั้น..ผมไม่ควรไปเกี่ยวข้อง ถ้าหากน้ำตาจะไหลริน ก็ขอพื้นดินซับน้ำตา เงาไม้และความมืดปลอบประโลมก็พอ
ที่รัก.... ผมไม่ได้รับบัตรเชิญ.แต่วางหัวใจไว้ตรงนี้...............
ผมควรดีใจกับเธอ ไม่หึง ไม่หวง อีกต่อไป มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย ใช่ไหม.. คิดได้แต่บางทีหัวใจมันไม่มีเหตุผล ผมถามใจตัวเอง แต่ใจของผมหลบหน้าผมไปเสียแล้ว กระทั่งหัวใจของตัวเองยังทิ้งผมไปเสียแล้ว
สุดท้าย
ฉันพยายามลืมเขา...ลืมความทรงจำ ลืมคำสัญญา...แต่ฉันไม่มีวันลืมคำพูดของเขาเลย มันเกาะติดอยู่ในความรู้สึกส่วนลึก วันใดจิตใจอ่อนแอ สิ่งซ่อนเร้นลึกร้าวจะโผล่หน้าขึ้นมาทันที นี่คงเป็นเวรเป็นกรรมของฉัน คำพูดยังคงกึกก้องในความรู้สึก
“อย่าบอกลาผมนะที่รัก...เพียงคุณไม่บอกลา...เราจะไม่แยกจากกัน คุณห่างผมแต่กาย แต่ใจผมอยู่กับคุณตลอดเวลา”
เป็นเหตุผลที่เขา ไม่เคยยอมให้ฉันบอกลา ฉันจดจำได้เสมอ
แต่เวลานี้ ฉันต้องเป็นฝ่ายไปหาเขาแล้ว... เขาคงจมอยู่กับความทุกข์ทรมานมานานแสนนาน ความรักที่ไร้ขีดจำกัด ไม่ใช่เพราะทางกายภาพ ทำไมฉันไม่ทำอะไรให้ถูกต้องเสียแต่แรก...ทั้งที่ฉันเองก็คิดว่าเข้าใจคำว่ารัก.แต่ทำไมปล่อยให้เขาทรมานอย่างเดียวดาย ตลอดเวลาผ่านมายาวนาน
.
วาระสุดท้าย
“คุณย่าจากพวกเราไปแล้ว”
ฉันได้ยินแบบนี้จริง ๆ แต่กลับโล่งใจอย่างประหลาด ญาติ ลูกและสามี อยู่ข้างเตียงพากันมีสีหน้าหม่นหมองเสียใจ มีเสียงร้องไห้ พวกเขาเป็นคนดี ฉันไม่มีโอกาสเอ่ยปากอำลาพวกเขาในวาระสุดท้าย การแต่งงานของฉันก็ไม่ใช่เรื่องผิดบาป...ฉันมีชีวิตที่ดีตลอดมา ฉันไม่ปฏิเสธความจริง เพียงรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างขาดหาย...ไม่สมบูรณ์
พอดวงจิตเริ่มสงบลง ฉันเห็นชายคนหนึ่ง ที่ฉันไม่เคยลืม ไม่เคยบอกลาต่อหน้า ปรากฏต่อหน้าฉัน...ทำให้รู้สึกว่าไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ต่อจากนี้ ไม่สำคัญอีกแล้ว รอยยิ้มที่อบอุ่น ผ่านเวลามายาวนาน และฉันไม่เคยลืม...
“ขอบคุณครับ ไม่บอกลาผม...ไม่งั้นผมคงตามหาคุณไม่เจอ”
เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม ฉันยิ้มรับทั้งที่น้ำตาหลั่งริน น้ำตาแห่งความสมหวัง...วางมือลงบนอุ้งมืออบอุ่น..และยิ้มจากใจ เดินไปด้วยกันในม่านหมอกออกสู่โลกใหม่ เพิ่งเข้าใจที่เขาพร่ำบอกว่า อย่าเอ่ยคำอำลาต่อหน้า เพราะคำอำลาไม่ได้เป็นเพียงคำพูดลมปาก มันมีผลเร้นลับซับซ้อนไปยังโลกหน้า เป็นกำแพงหนาทึบขวางกั้นตลอดไป ถ้าหัวใจและคำพูดบอกอำลา
ที่รัก ฉันจะไม่มีวันบอกลาคุณ ไม่ว่าจะเป็นวันไหน แม้จะเป็นวันสุดท้ายของชีวิตและหัวใจ เราไม่เคยจากกันอย่างแท้จริงเลยสักครั้ง
ต
อนนี้เราอยู่ด้วยกันแล้วใช่ไหมที่รัก..ชั่วนิรันดร์
จบ
ขอบคุณทุกท่าน ที่มาเยือนครับ
ชื่อเดียวเอี่ยวทุกเรื่อง.....นิรันดร.....(คำบอกลา)
อย่าบอกลาฉัน....แม้จะเป็นวันสุดท้าย
ฉัน
ผม...เคยบอกเธออย่างนี้จริง ๆ แน่นอนว่าความทรงจำนั้นชัดเจนมั่นคงไม่มีวันเสื่อมสลาย เท่าที่ลมหายใจกับร่างกายยังคงประสานความสามัคคีร่วมมือกัน ไม่ว่าความรักของเราจะก่อร่างสร้างตัวมาอย่างไร...แบบไหน...ทำไม ก็ตาม ไม่ว่าจะมีจินตนาการที่แสนหวานเพริดแพร้วพิสดารอย่างไรก็ตาม..แต่เราจะหนีความจริงไม่พ้น...ความจริงที่แสนน่ากลัว..
บางอย่างที่เยียบเย็นไร้สภาพ ขวางกั้นทางฝัน ปิดเส้นทางความรักตลอดกาล ชีวิตจริงไม่ใช่สวยงามสมหวังดั่งนิยาย
ผมเคยบอกเธอว่า “ถ้าคุณจะจากผมไป คุณอย่าสั่งลา หรือบอกลาได้ไหม”
“ทำไมคะ” เธอมองหน้าผม อย่างหาคำตอบ สายตามีแววสงสัยไม่เข้าใจ ผมถอนใจ จับมือเธอมากุม สบตาเธอ พยายามส่งความรู้สึกผ่านประตูใจเข้าไปในหัวใจส่วนลึกและละเอียดอ่อนที่สุดของเธอ ก่อนตอบว่า
“เพราะผมไม่อยากเจ็บ ไม่อยากรับตรง ๆ กับคำประเภทที่ว่า ลาก่อน... จากกันแล้วนะ...ไม่เจอกันอีกแล้วนะ...ถึงแม้ว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ก็ตาม แต่ผมไม่อยากจะได้ยิน ไม่อยากรับรู้อยากให้เราจากกันด้วยวิธีปกติธรรมดา เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเดินจากกันไปธรรมดา คุณกลับบ้าน ผมกลับบ้าน ต่างคนต่างไป ถึงจะไม่มีวันหันกลับมามองกันอีกก็ตาม แต่อย่างน้อยวันพรุ่งนี้ ผมก็ยังมีความหวังว่า ผมจะได้เจอคุณอีก ผมหวังว่าคุณจะโผล่มาหาผม แล้วบอกว่า สวัสดีค่ะ เจอกันอีกแล้วนะ ใช่ครับ มันไม่จริง แต่อย่างน้อยวันนั้น ผมก็พอหลอกตัวเองไปได้อีกวัน”
ใช่แล้ว...มันเป็นเรื่องง่าย ๆ เพียงไม่เอ่ยคำอำลา แค่นี้จริง ๆ เธอจ้องตาของผม ประกายตาคมหวานทำให้รู้ว่าเธอมีความสงสัยมากมายวิ่งวนเวียน แต่เธอเลือกที่จะไม่ถามถึงเหตุผลของคำพูดปริศนา
ผมกลัวการลาจาก ทั้งที่รู้ว่า มันมีจริง !
เพียงไม่เอ่ยคำอำลา ก็ยังมีความหวังต่อให้หวังริบหรี่สุดขอบจักรวาลชนิดไม่มีวันไปถึง หรือเดินทางอย่างรอคอยรอคอยไปจนตายก็ตาม..
ผู้คน เพื่อนฝูง หลายคนมองผมเป็นคนแปลก..แต่หลายครั้งผมก็รู้สึกว่าตัวเองแปลกคน
เธอ
นี่ฉันจะทำอย่างไรกับผู้ชายคนนี้นะ....ผู้ชายที่บ้ายิ่งกว่าบ้า....ชนิดว่า ฉันไม่เคยมาก่อนในชีวิต หรือกระทั่งความฝัน..คนที่กลัวคำว่า ลาก่อน...ผู้ชายที่เดินไปส่งฉันขึ้นรถ แล้วห้ามการเอ่ยคำอำลา..ด้วยเหตุผลว่า...กลัวคำว่า “ลา” ไม่ว่าจะเป็นคำว่า ราตรีสวัสดิ์ โชคดีค่ะ หรืออะไรก็ตาม เอ่ยคำลาเพียงข้ามคืนข้ามวันก็ไม่ได้ ทุกครั้งฉันจึงได้เพียงส่งยิ้มให้เขา แทนคำบอกลา ฟังดูไม่ค่อยโรแมนติก แต่ฉันเข้าใจเขาเสมอ
ดังนั้น เราไม่เคยจากกัน ด้วยการกล่าวคำ อำลา เลยสักครั้ง มันบ้าชัดๆ เขาเคยบอกฉันว่า.... “อย่าไปส่งได้ไหม ทำตัวให้เป็นปรกติ..ไม่ต้องบอกลา ผมจะได้รู้สึกว่า การจากกันวันนี้ มันเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนเรากลับบ้านใครบ้านมัน มีโอกาสเจอกันพรุ่งนี้ตามปรติ ใช่ครับ เราจะมีโอกาสเจอกัน ในวันต่อไป ไม่ต้องบอกลาผมได้ไหม ต่อให้คุณจำเป็นต้องบอกลาก็ตาม...”
ไม่รู้เป็นเพราะอะไร หัวใจของฉันสั่นสะท้าน เพราะคำพูดของเขาฟังดูชวนให้ใจหาย อย่างไม่มีเหตุผล
คนอย่างนี้ก็มีในโลก ฉันนึกในใจ คนที่กล้าหลอกกระทั่งตัวเอง หลอกตัวเองอย่างยินยอมพร้อมใจ กลัวว่าจะเผชิญกับความจริง....ยอมถูกขังอยู่ในโลกแห่งความลวงตลอดไป โดยไม่ยอมรับความเป็นจริง กลัวกระทั่งคำเอ่ยลา
หรือกลัวกระทั่ง..
ว่าฉัน--- กำลังจะแต่งงาน กับคนที่ไม่ใช่เขา ทั้งที่ฉันรักเขา แต่ความรักอย่างเดียว ไม่พอ หรือไม่เคยพอ..
ฉันไม่ปฏิเสธว่า ฉันรักเขา เหมือนที่รู้ว่า เขาก็รักฉัน...รักมากด้วย..รักอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ก้าวพ้นจากความรักแบบธรรมดาสามัญ เสียดายว่า โลกแห่งความจริง ไม่ยอมรับในเรื่องนี้ ฉันยังหาจังหวะและโอกาสบอกเขาไม่ได้ เพียงบอกว่า...ที่ผ่านมา เป็นสิ่งดี ๆ..ควรค่าเก็บไว้ในความทรงจำ
ครอบครัวฉัน ไม่ได้เลือกเขา
ฉันเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัว ทั้งเป็นครอบครัวแข็งแกร่งในสังคม ดังนั้นฉันจึงจำเป็นต้องสละความรัก และคนรัก ..และสละหัวใจของตนเองจนหมดสิ้น เข้าสู่โลกแห่งความถูกต้อง และความเป็นจริง ความรักเป็นเพียงเงาอดีต เงาแห่งความฝัน และภาพลวงตา
ลาก่อนที่รัก...ฉันกระซิบคำลาผ่านม่านน้ำตาไปกับสายลม ชีวิตของฉันเกิดมาโดยที่ไม่มีกรรมสิทธิ์เป็นเจ้าของชีวิตของตัวเอง เมฆขาวลอยฟ่องกลางฟ้าคราม ฉันอยากเป็นเหมือนก้อนเมฆ มีอิสระบนฟ้ากว้าง วันใดที่เขาคนนั้นเศร้าใจ ฉันจะได้ล่องลอยไปหลั่งน้ำตาลงมาเป็นสายฝนปลอบประโลม
ลาก่อนที่รัก หัวใจของฉันกำลังแหลกสลายลง แต่ฉันก็พยายามฝืนยิ้มให้ความความทรงจำสวยงาม
อำลา
“ฉันไปส่งคุณที่รถนะคะ”
“ไม่" ผมตอบเสียงชัดเจน ไม่ต้องส่ง เพราะการส่ง จะต้องมีคำอำลา ทำไมไม่ทำตัวเป็นปกติ ว่าเราไม่ได้จากกันแสนนาน แสนไกลผมไม่ต้องการ การส่งเพื่อลาจาก ทำไม่เราไม่ทำตัวเป็นปกติ ไม่ต้องบอกลา เพื่อผมจะได้คิดว่า...วันพรุ่งนี้ เรายังจะมีโอกาสเจอกัน ยิ้มให้กัน ทักทายกัน เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะผมยังจะได้ทำใจว่า พรุ่งนี้..คุณจะเดินมาหาผม แล้วบอกว่า สวัสดีค่ะไปเดินเล่นด้วยกันไหม ไปทานข้าวด้วยกัน...พูดคุยกันเป็นปกติ
ต่อให้มันเป็นไปไม่ได้ก็ตาม เพราะเธอบอกข่าวร้ายที่สุดในชีวิต ให้ผมรับรู้แล้ว เธอกำลังจะแต่งงาน
ทางเลือก
ใช่แล้ว ฉันแต่งงาน ฉันไม่ได้บอกลาเขาคนนั้น อย่างที่เขาต้องการ ทำได้เท่านี้สำหรับความรัก ฉันรู้ว่า เขาต้องทุกข์โศกตรมอย่างถึงที่สุด เขาต้องนอนซบหมอนร้องไห้ ปานใจจะขาดและคิดถึงฉัน จนกว่าจะหมดสภาพหลับไป เขาต้องทรมานมากจนเกินคำบรรยายใด ฉันรู้ แต่ทำอะไรไม่ได้ ทำไมฉันเป็นคนแบบนี้นะ..ทำไมฉันเลือกสิ่งที่ถูกต้องแทนที่จะเลือกหัวใจของตัวเอง....ฉันคงทำผิดมากมาย...
เจ้าบ่าวของฉัน ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร เขาเป็นคนดี
เพียงแต่…………
งานวิวาห์
ผมตัดสินใจไปงานแต่งงานของเธอ แอบมองจากเงามืด ของสุมทุมพุ่มไม้ ไม่กล้าโผล่หน้าไปในใครเห็นโดยเฉพาะกับเธอ ไม่อยากให้ใครเห็นน้ำตาของผม...น้ำตาของลูกผู้ชาย ในเงาไม้และแสงจันทร์เลือนราง นั่งฟังเสียงเพลง เสียงพูดคุยหัวเราะในงาน บรรยากาศแห่งความสุขแบบนั้น..ผมไม่ควรไปเกี่ยวข้อง ถ้าหากน้ำตาจะไหลริน ก็ขอพื้นดินซับน้ำตา เงาไม้และความมืดปลอบประโลมก็พอ
ที่รัก.... ผมไม่ได้รับบัตรเชิญ.แต่วางหัวใจไว้ตรงนี้...............
ผมควรดีใจกับเธอ ไม่หึง ไม่หวง อีกต่อไป มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย ใช่ไหม.. คิดได้แต่บางทีหัวใจมันไม่มีเหตุผล ผมถามใจตัวเอง แต่ใจของผมหลบหน้าผมไปเสียแล้ว กระทั่งหัวใจของตัวเองยังทิ้งผมไปเสียแล้ว
สุดท้าย
ฉันพยายามลืมเขา...ลืมความทรงจำ ลืมคำสัญญา...แต่ฉันไม่มีวันลืมคำพูดของเขาเลย มันเกาะติดอยู่ในความรู้สึกส่วนลึก วันใดจิตใจอ่อนแอ สิ่งซ่อนเร้นลึกร้าวจะโผล่หน้าขึ้นมาทันที นี่คงเป็นเวรเป็นกรรมของฉัน คำพูดยังคงกึกก้องในความรู้สึก
“อย่าบอกลาผมนะที่รัก...เพียงคุณไม่บอกลา...เราจะไม่แยกจากกัน คุณห่างผมแต่กาย แต่ใจผมอยู่กับคุณตลอดเวลา”
เป็นเหตุผลที่เขา ไม่เคยยอมให้ฉันบอกลา ฉันจดจำได้เสมอ
แต่เวลานี้ ฉันต้องเป็นฝ่ายไปหาเขาแล้ว... เขาคงจมอยู่กับความทุกข์ทรมานมานานแสนนาน ความรักที่ไร้ขีดจำกัด ไม่ใช่เพราะทางกายภาพ ทำไมฉันไม่ทำอะไรให้ถูกต้องเสียแต่แรก...ทั้งที่ฉันเองก็คิดว่าเข้าใจคำว่ารัก.แต่ทำไมปล่อยให้เขาทรมานอย่างเดียวดาย ตลอดเวลาผ่านมายาวนาน
.
วาระสุดท้าย
“คุณย่าจากพวกเราไปแล้ว”
ฉันได้ยินแบบนี้จริง ๆ แต่กลับโล่งใจอย่างประหลาด ญาติ ลูกและสามี อยู่ข้างเตียงพากันมีสีหน้าหม่นหมองเสียใจ มีเสียงร้องไห้ พวกเขาเป็นคนดี ฉันไม่มีโอกาสเอ่ยปากอำลาพวกเขาในวาระสุดท้าย การแต่งงานของฉันก็ไม่ใช่เรื่องผิดบาป...ฉันมีชีวิตที่ดีตลอดมา ฉันไม่ปฏิเสธความจริง เพียงรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างขาดหาย...ไม่สมบูรณ์
พอดวงจิตเริ่มสงบลง ฉันเห็นชายคนหนึ่ง ที่ฉันไม่เคยลืม ไม่เคยบอกลาต่อหน้า ปรากฏต่อหน้าฉัน...ทำให้รู้สึกว่าไม่ว่าจะอะไรก็ตาม ต่อจากนี้ ไม่สำคัญอีกแล้ว รอยยิ้มที่อบอุ่น ผ่านเวลามายาวนาน และฉันไม่เคยลืม...
“ขอบคุณครับ ไม่บอกลาผม...ไม่งั้นผมคงตามหาคุณไม่เจอ”
เขาพูดพร้อมรอยยิ้ม ฉันยิ้มรับทั้งที่น้ำตาหลั่งริน น้ำตาแห่งความสมหวัง...วางมือลงบนอุ้งมืออบอุ่น..และยิ้มจากใจ เดินไปด้วยกันในม่านหมอกออกสู่โลกใหม่ เพิ่งเข้าใจที่เขาพร่ำบอกว่า อย่าเอ่ยคำอำลาต่อหน้า เพราะคำอำลาไม่ได้เป็นเพียงคำพูดลมปาก มันมีผลเร้นลับซับซ้อนไปยังโลกหน้า เป็นกำแพงหนาทึบขวางกั้นตลอดไป ถ้าหัวใจและคำพูดบอกอำลา
ที่รัก ฉันจะไม่มีวันบอกลาคุณ ไม่ว่าจะเป็นวันไหน แม้จะเป็นวันสุดท้ายของชีวิตและหัวใจ เราไม่เคยจากกันอย่างแท้จริงเลยสักครั้ง
ตอนนี้เราอยู่ด้วยกันแล้วใช่ไหมที่รัก..ชั่วนิรันดร์
จบ
ขอบคุณทุกท่าน ที่มาเยือนครับ