ขอเกริ่นก่อนว่าจขกททำงานที่อเมริกาค่ะ พอรู้ว่าตัวเองท้อง ก็เริ่มหาข้อมูลว่าจะฝากท้องที่ไหนดี อย่างแรกคือต้องหาโรงพยาบาลที่อยู่ในเครือข่ายของประกัน (in network) เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายให้มากที่สุด เพราะอย่างที่หลายคนคงรู้ ระบบสาธารณสุขที่นี่ไม่เหมือนบ้านเรา โรงพยาบาลไหนๆค่ารักษาก็แพงทั้งนั้น เรียกว่าหลายๆคนเป็นหนี้ค่ารักษาพยาบาลถึงแม้จะมีประกันสุขภาพก็ตาม เวลาเจ็บป่วยต้องโทรไปนัดหมอก่อน บางทีต้องให้ primary doctor เขียนใบส่งตัว (ขึ้นกับเงื่อนไขของประกัน) ถ้าไปฉุกเฉินสุ่มสี่สุ่มห้า บิลค่ารักษาส่งมา อาจมีตาเหลือกได้
จขกทตัดสินใจฝากท้องที่โรงพยาบาลใกล้ที่ทำงาน จะได้ง่ายเวลาไปตามนัด หรือเกิดเจ็บท้องคลอดขึ้นมา ก็เดินไปคลอดได้เลย เนื่องจากเป็นโรงพยาบาลที่ฝากเป็นโรงเรียนแพทย์ ก็เลยไม่ได้ฝากท้องกับใครเป็นพิเศษ คนที่ตรวจเราก็คือresidentหรือแพทย์ประจำบ้านซึ่งเวียนกันไปไม่ซ้ำหน้า เค้าจะตรวจ แล้วก็มีอาจารย์แพทย์ดูประวัติเราซ้ำอีกที บางครั้งก็ได้นัดเจอพยาบาล ความต่างที่สังเกตได้เมื่อเทียบกับที่ไทยคือที่นี่เค้าจะไม่ได้อธิบายละเอียดมาก ไม่มีการจ่ายยาบำรุงอะไร ก็ให้ไปซื้อเองตามร้ายขายยา
เนื่องจากเป็นช่วงCOVID เค้าจึงให้ไปฝากท้องได้คนเดียว ห้ามพาสามีหรือญาติไปเป็นเพื่อน ไปตรวจแต่ละครั้ง จะมีข้อความส่งมาหา เพื่อตอบแบบสอบถามว่าเรามีความเสี่ยงCOVIDรึเปล่า และมีการวัดอุณหภูมิก่อนเข้ารพ ข้อดีของCOVIDคื มีการพบแพทย์แบบVDO callเป็นบางครั้ง ซึ่งก็สะดวกดี ไม่ต้องไปรพทุกครั้ง
ตรวจครั้งแรกตอน10 weeks (ปกตินัดที่8week แต่เนื่องจากCOVIDเค้าจึงนัดตรวจครั้งแรกที่10 weeks) เจาะเลือดจำนวนมาก ตรวจภายใน ทำpap smear และตรวจเต้านม
13week ก็ultrasoundดูขนาดเพื่อคำนวณกำหนดคลอดและเจาะcell free DNA (ตรวจ screen DNA ลูกที่ลอยปนอยู่ในเลือดแม่) เพื่อscreen trisomy 13, 18 และ 21 และก็จะสามารถรู้เพศได้ด้วย
16 week เจาะเลือดดูค่าAlpha feto protein เพื่อscreenหาว่าลูกมีภาวะเยื่อหุ้มไขสันหลังไม่ปิดรึเปล่า
20 week anatomical ultrasound เพื่อดูความสมบูรณ์ของเด็กอย่างละเอียด
28 week เจาะน้ำตาลเพื่อดูว่ามีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์รึเปล่า (gestational diabetes)
36 week ตรวจหาว่ามีการติดเชื้อ streptococcus group.B หรือไม่ ถ้ามีต้องได้ยาฆ่าเชื้อ เพราะลูกคลอดออกมาทางช่องคลอดมีโอกาสติดเชื้อรุนแรงได้ และเจาะเลือดว่ามีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือไม่อีกครั้งหนึ่ง
เนื่องจากลูกของจขกทไม่ยอมกลับหัว อยู่ในท่าก้น คุณหมอที่นี่ก็แนะนำให้ทำExternal cephalic version ซึ่งคือหัตถการกลับตัวเด็กผ่านทางหน้าท้องแม่ เนื่องจากหัตถการนี้ แม่มักจะเจ็บและเกร็งต้าน เค้าจะฉีดยาชาเข้าไขสันหลังเพื่อให้แม่ไม่เจ็บ โอกาสสำเร็จ 58% แต่ก็มีโอกาสที่เด็กจะกลับเป็นท่าก้นอีก และความเสี่ยงของหัตการคือมีโอกาสที่เด็กหัวใจเต้นช้า สายสะดือถูกกดทับทำให้เด็กขาดเลือด รกฉีกขาดมีเลือดออก ซึ่งจะต้องรีบผ่าคลอดฉุกเฉิน หัตการนี้จึงทำตอนที่เด็กอายุ 37weekแล้ว ถือว่าปอดเติบโตเพียงพอ หัตถการนี้แพทย์จะแนะนำให้ทำหรือไม่ ขึ้นกับประสบการณ์ของแพทย์แต่ละที่
จขกทมาคิดดูแล้ว บวกลบคูณหาร คิดว่าในเมื่อต้องฉีดยาชาเข้าไขสันหลังตอนคลอด แล้วต้องมาฉีดยาชาเข้าไขสันหลังตอนทำหัตถการนี้อีก ซึ่งมีโอกาสสำเร็จ 58% เลยขอตัดสินใจผ่าคลอดไปเลยดีกว่า
ตัดสินใจได้แล้วทางรพก็เลยนัดวันผ่าตัดก่อนครบกำหนดประมาณ1สัปดาห์ ใจจริงจขกทอยากคลอดเองมากกว่า เพราะเป็นกลไกธรรมชาติ และร่างกายจะได้ฟื้นตัวเร็วกว่า แต่เมื่อเป็นแบบนี้ก็พยายามมองโลกในแง่ดีว่าเราจะได้วางแผนขีวิตได้ (ยกเว้นเจ็บท้องคลอดก่อนกำหนดผ่า)
การคลอดในช่วงCOVID ที่รพอนุญาตให้มีคนเฝ้าได้คนเดียว ต้องเป็นคนเดิม และไม่อนุญาตให้เข้าๆออกๆจากรพ ทางรพจึงเตรียมอาหารให้คนเฝ้าด้วย (ซึ่งน่าสงสารมาก อาหารกล่องเป็น ขนมปังเดนิชตอนเข้า และsandwichตอน กลางวัน-เย็นเหมือนกันทุกวัน) ส่วนคุณแม่ได้กินของดีกว่าเยอะ ยังดีช่วงที่คลอด มาตรการของรพลดหย่อนลงมากแล้ว ทางรพอนุญาตให้ญาติคนไข้ใช้บริการโรงอาหารของรพได้ สั่งdeliveryได้ และออกไปทำธุระใดๆได้บ้าง
ทางรพมีการนัดไปเจาะเลือด3วันก่อนผ่า และตรวจCOVID พอวันผ่า ก็งดน้ำงดอาหาร และไปรพตอนเช้า รอผ่าตอนสาย ประกันทั่วๆไปจะครอบคลุมการนอนรพ 2คืนสำหรับคลอดธรรสชาติ และ 3-4คืนสำหรับผ่าคลอด
วันผ่าจริง จขกทงดอาหารตั้งแต่คืนก่อนผ่า ไปถึงรพตามนัด ปรากฏว่ามีเคสผ่าฉุกเฉินหลายเคส เลยช้าไป4ชั่วโมง ซึ่งไม่มีปัญหา ติดแค่หิวมากก ที่อยากผ่าแล้วไม่ใช่อะไรนะคะ หิวค่ะ แต่พอถึงเวลาขึ้นเตียงเข็นไปห้องผ่าตัด เกิดปอดแหกขึ้นมา กลัวการผ่าตัด เพราะเรารู้ตัวตลอด โอ๊ยยังไม่พร้อม ลูกออกมาแล้วออกมาเลย จะเลี้ยงไหวมั้ย กังวลไปต่างๆนาๆ ขึ้นเตียงผ่าตัด ฉีดยาชาเข้าไขสันหลัง เจ็บแค่ตอนฉีดยาชา หลังจากนั้นลำตัวท่อนล่างก็ไม่รู้สึกละ เค้าก็เอาผ้ามากั้น แป๊ปเดียวสามีก็มาอยู่ข้างๆ จับมือ ซักพักเค้าก็บอก ลูกออกมาแล้ว และโชว์ให้ดูผ่านพลาสติกใส เอาลูกไปชั่งน้ำหนัก เช็ดตัวห่อตัว แล้วก็พามาวางบนหน้าอกทำskin to skin contactทันที ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก แล้วเค้าก็เอาลูกกลับไปตรวจเช็ค ป้ายยาที่ตา เราก็โดนย้ายขึ้นเตียง ลูกก็เอากลับมาให้อุ้ม แล้วก็ออกจากห้องผ่าตัด หลังจากนั้นลูกก็อยู่ติดกับเราตลอดจนกลับบ้าน
ที่นี่เค้ามีนโยบาย room in ซึ่งที่ไทยก็ทำกันมากขึ้นแล้ว คือเด็กจะอยู่กับแม่ตลอด เพื่อสานสัมพันธ์และทำความรู้จักกันตั้งแต่ในรพ เวลากลับบ้านจะได้เลี้ยงเป็น เวลาหมอมาตรวจลูกก็จะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ถ้าแม่อยากพักผ่อนก็สามาถเรียกพยาบาลให้ช่วยดูลูกได้ชั่วคราว
ระหว่างนอนรพ เค้าก็เอกสารเกี่ยวกับลูกมาให้เซ็น และทำเรื่องขอใบเกิดกับsocial security number ให้เรียบร้อย
จขกทอยู่รพทั้งหมด3คืน ตอนคืนที่2ผ่านไป เค้ามาถามว่าอยากกลับบ้านมั้ย แต่จขกทขออยู่ต่อเพราะยังลุกนั่งค่อนข้างลำบากและลูกตัวเหลือง บ่ายวันที่4 ก็ได้กลับบ้าน เนื่องจากลูกตัวเหลือง จึงต้องนัดมาติดตามอาการวันถัดไป
สรุปจขกท ฝากครรภ์แบบปกติ ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ผ่าคลอดแบบไม่ฉุกเฉิน นอนโรงพยาบาล3คืน รวมค่าใช้จ่ายในการคลอดที่ต้องออกเองหลังประกันจ่าย $4,400 (ราคาเต็มเกือบ $20,000 - ค่าห้อง ค่าอุปกรณ์ ค่าผ่าตัด ค่าบล๊อคไขสันหลัง)
ถือว่าแพงอยู่ดีนะ แค่ราคาค่าห้องเก่าๆธรรมดาเล็กๆ เค้าคิดคืนละ$6,300 !!!! เห็นราคาแล้วลมจับ นี่ยังดีที่เตรียมตัวเก็บเงินไว้ ไม่แปลกใจเลยว่าคนเป็นหนี้ค่ารักษาพยาบาลกันเยอะ
จบแล้วค่ะ สำหรับการรีวิวประสบการณ์ฝากครรภ์ที่อเมริกาในช่วงCOVID
[CR] รีวิวฝากครรภ์และผ่าคลอดที่อเมริกาในช่วงCOVID
จขกทตัดสินใจฝากท้องที่โรงพยาบาลใกล้ที่ทำงาน จะได้ง่ายเวลาไปตามนัด หรือเกิดเจ็บท้องคลอดขึ้นมา ก็เดินไปคลอดได้เลย เนื่องจากเป็นโรงพยาบาลที่ฝากเป็นโรงเรียนแพทย์ ก็เลยไม่ได้ฝากท้องกับใครเป็นพิเศษ คนที่ตรวจเราก็คือresidentหรือแพทย์ประจำบ้านซึ่งเวียนกันไปไม่ซ้ำหน้า เค้าจะตรวจ แล้วก็มีอาจารย์แพทย์ดูประวัติเราซ้ำอีกที บางครั้งก็ได้นัดเจอพยาบาล ความต่างที่สังเกตได้เมื่อเทียบกับที่ไทยคือที่นี่เค้าจะไม่ได้อธิบายละเอียดมาก ไม่มีการจ่ายยาบำรุงอะไร ก็ให้ไปซื้อเองตามร้ายขายยา
เนื่องจากเป็นช่วงCOVID เค้าจึงให้ไปฝากท้องได้คนเดียว ห้ามพาสามีหรือญาติไปเป็นเพื่อน ไปตรวจแต่ละครั้ง จะมีข้อความส่งมาหา เพื่อตอบแบบสอบถามว่าเรามีความเสี่ยงCOVIDรึเปล่า และมีการวัดอุณหภูมิก่อนเข้ารพ ข้อดีของCOVIDคื มีการพบแพทย์แบบVDO callเป็นบางครั้ง ซึ่งก็สะดวกดี ไม่ต้องไปรพทุกครั้ง
ตรวจครั้งแรกตอน10 weeks (ปกตินัดที่8week แต่เนื่องจากCOVIDเค้าจึงนัดตรวจครั้งแรกที่10 weeks) เจาะเลือดจำนวนมาก ตรวจภายใน ทำpap smear และตรวจเต้านม
13week ก็ultrasoundดูขนาดเพื่อคำนวณกำหนดคลอดและเจาะcell free DNA (ตรวจ screen DNA ลูกที่ลอยปนอยู่ในเลือดแม่) เพื่อscreen trisomy 13, 18 และ 21 และก็จะสามารถรู้เพศได้ด้วย
16 week เจาะเลือดดูค่าAlpha feto protein เพื่อscreenหาว่าลูกมีภาวะเยื่อหุ้มไขสันหลังไม่ปิดรึเปล่า
20 week anatomical ultrasound เพื่อดูความสมบูรณ์ของเด็กอย่างละเอียด
28 week เจาะน้ำตาลเพื่อดูว่ามีภาวะเบาหวานขณะตั้งครรภ์รึเปล่า (gestational diabetes)
36 week ตรวจหาว่ามีการติดเชื้อ streptococcus group.B หรือไม่ ถ้ามีต้องได้ยาฆ่าเชื้อ เพราะลูกคลอดออกมาทางช่องคลอดมีโอกาสติดเชื้อรุนแรงได้ และเจาะเลือดว่ามีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือไม่อีกครั้งหนึ่ง
เนื่องจากลูกของจขกทไม่ยอมกลับหัว อยู่ในท่าก้น คุณหมอที่นี่ก็แนะนำให้ทำExternal cephalic version ซึ่งคือหัตถการกลับตัวเด็กผ่านทางหน้าท้องแม่ เนื่องจากหัตถการนี้ แม่มักจะเจ็บและเกร็งต้าน เค้าจะฉีดยาชาเข้าไขสันหลังเพื่อให้แม่ไม่เจ็บ โอกาสสำเร็จ 58% แต่ก็มีโอกาสที่เด็กจะกลับเป็นท่าก้นอีก และความเสี่ยงของหัตการคือมีโอกาสที่เด็กหัวใจเต้นช้า สายสะดือถูกกดทับทำให้เด็กขาดเลือด รกฉีกขาดมีเลือดออก ซึ่งจะต้องรีบผ่าคลอดฉุกเฉิน หัตการนี้จึงทำตอนที่เด็กอายุ 37weekแล้ว ถือว่าปอดเติบโตเพียงพอ หัตถการนี้แพทย์จะแนะนำให้ทำหรือไม่ ขึ้นกับประสบการณ์ของแพทย์แต่ละที่
จขกทมาคิดดูแล้ว บวกลบคูณหาร คิดว่าในเมื่อต้องฉีดยาชาเข้าไขสันหลังตอนคลอด แล้วต้องมาฉีดยาชาเข้าไขสันหลังตอนทำหัตถการนี้อีก ซึ่งมีโอกาสสำเร็จ 58% เลยขอตัดสินใจผ่าคลอดไปเลยดีกว่า
ตัดสินใจได้แล้วทางรพก็เลยนัดวันผ่าตัดก่อนครบกำหนดประมาณ1สัปดาห์ ใจจริงจขกทอยากคลอดเองมากกว่า เพราะเป็นกลไกธรรมชาติ และร่างกายจะได้ฟื้นตัวเร็วกว่า แต่เมื่อเป็นแบบนี้ก็พยายามมองโลกในแง่ดีว่าเราจะได้วางแผนขีวิตได้ (ยกเว้นเจ็บท้องคลอดก่อนกำหนดผ่า)
การคลอดในช่วงCOVID ที่รพอนุญาตให้มีคนเฝ้าได้คนเดียว ต้องเป็นคนเดิม และไม่อนุญาตให้เข้าๆออกๆจากรพ ทางรพจึงเตรียมอาหารให้คนเฝ้าด้วย (ซึ่งน่าสงสารมาก อาหารกล่องเป็น ขนมปังเดนิชตอนเข้า และsandwichตอน กลางวัน-เย็นเหมือนกันทุกวัน) ส่วนคุณแม่ได้กินของดีกว่าเยอะ ยังดีช่วงที่คลอด มาตรการของรพลดหย่อนลงมากแล้ว ทางรพอนุญาตให้ญาติคนไข้ใช้บริการโรงอาหารของรพได้ สั่งdeliveryได้ และออกไปทำธุระใดๆได้บ้าง
ทางรพมีการนัดไปเจาะเลือด3วันก่อนผ่า และตรวจCOVID พอวันผ่า ก็งดน้ำงดอาหาร และไปรพตอนเช้า รอผ่าตอนสาย ประกันทั่วๆไปจะครอบคลุมการนอนรพ 2คืนสำหรับคลอดธรรสชาติ และ 3-4คืนสำหรับผ่าคลอด
วันผ่าจริง จขกทงดอาหารตั้งแต่คืนก่อนผ่า ไปถึงรพตามนัด ปรากฏว่ามีเคสผ่าฉุกเฉินหลายเคส เลยช้าไป4ชั่วโมง ซึ่งไม่มีปัญหา ติดแค่หิวมากก ที่อยากผ่าแล้วไม่ใช่อะไรนะคะ หิวค่ะ แต่พอถึงเวลาขึ้นเตียงเข็นไปห้องผ่าตัด เกิดปอดแหกขึ้นมา กลัวการผ่าตัด เพราะเรารู้ตัวตลอด โอ๊ยยังไม่พร้อม ลูกออกมาแล้วออกมาเลย จะเลี้ยงไหวมั้ย กังวลไปต่างๆนาๆ ขึ้นเตียงผ่าตัด ฉีดยาชาเข้าไขสันหลัง เจ็บแค่ตอนฉีดยาชา หลังจากนั้นลำตัวท่อนล่างก็ไม่รู้สึกละ เค้าก็เอาผ้ามากั้น แป๊ปเดียวสามีก็มาอยู่ข้างๆ จับมือ ซักพักเค้าก็บอก ลูกออกมาแล้ว และโชว์ให้ดูผ่านพลาสติกใส เอาลูกไปชั่งน้ำหนัก เช็ดตัวห่อตัว แล้วก็พามาวางบนหน้าอกทำskin to skin contactทันที ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก แล้วเค้าก็เอาลูกกลับไปตรวจเช็ค ป้ายยาที่ตา เราก็โดนย้ายขึ้นเตียง ลูกก็เอากลับมาให้อุ้ม แล้วก็ออกจากห้องผ่าตัด หลังจากนั้นลูกก็อยู่ติดกับเราตลอดจนกลับบ้าน
ที่นี่เค้ามีนโยบาย room in ซึ่งที่ไทยก็ทำกันมากขึ้นแล้ว คือเด็กจะอยู่กับแม่ตลอด เพื่อสานสัมพันธ์และทำความรู้จักกันตั้งแต่ในรพ เวลากลับบ้านจะได้เลี้ยงเป็น เวลาหมอมาตรวจลูกก็จะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่ถ้าแม่อยากพักผ่อนก็สามาถเรียกพยาบาลให้ช่วยดูลูกได้ชั่วคราว
ระหว่างนอนรพ เค้าก็เอกสารเกี่ยวกับลูกมาให้เซ็น และทำเรื่องขอใบเกิดกับsocial security number ให้เรียบร้อย
จขกทอยู่รพทั้งหมด3คืน ตอนคืนที่2ผ่านไป เค้ามาถามว่าอยากกลับบ้านมั้ย แต่จขกทขออยู่ต่อเพราะยังลุกนั่งค่อนข้างลำบากและลูกตัวเหลือง บ่ายวันที่4 ก็ได้กลับบ้าน เนื่องจากลูกตัวเหลือง จึงต้องนัดมาติดตามอาการวันถัดไป
สรุปจขกท ฝากครรภ์แบบปกติ ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ผ่าคลอดแบบไม่ฉุกเฉิน นอนโรงพยาบาล3คืน รวมค่าใช้จ่ายในการคลอดที่ต้องออกเองหลังประกันจ่าย $4,400 (ราคาเต็มเกือบ $20,000 - ค่าห้อง ค่าอุปกรณ์ ค่าผ่าตัด ค่าบล๊อคไขสันหลัง)
ถือว่าแพงอยู่ดีนะ แค่ราคาค่าห้องเก่าๆธรรมดาเล็กๆ เค้าคิดคืนละ$6,300 !!!! เห็นราคาแล้วลมจับ นี่ยังดีที่เตรียมตัวเก็บเงินไว้ ไม่แปลกใจเลยว่าคนเป็นหนี้ค่ารักษาพยาบาลกันเยอะ
จบแล้วค่ะ สำหรับการรีวิวประสบการณ์ฝากครรภ์ที่อเมริกาในช่วงCOVID
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้