ลวง
โดย ล. วิลิศมาหรา
สีดาใส่แบงก์สีเทาใบนั้นลงในกระเป๋าถือใบเล็กที่คล้องแขนอยู่ สายตามองตามหญิงวัยกลางคนร่างอ้วน ที่ผละขึ้นรถขับห่างออกไป ด้วยความขบขันแกมสมเพช
ยืนมองจนเก๋งคันนั้นแล่นลับตาไปแล้ว จึงหยิบแบงก์พันออกจากกระเป๋ามาถือไว้ในมือ สร้อยข้อมือเส้นใหญ่ของหญิงอ้วน ถูกปาทิ้งลงข้างทางไปอย่างไร้ความใยดี สาววัยยี่สิบเจ็ดปียิ้มมุมปาก เมื่อนึกถึงภาพใบหน้าบูดเบี้ยวของหญิงอ้วน เวลาเอาทองที่ได้จากการแลกกันกับเธอไปขาย
หญิงแปลกหน้าคนนี้เข้ามาได้ถูกจังหวะพอดี สีดากำลังเกิดวิตกกังวลอย่างหนักกับเงินเก็บที่เหลืออยู่ไม่กี่ร้อยบาท จากพิษโรคระบาดโควิด กลัวว่ามันจะหมดลงไปในไม่ช้าไม่นานนี้แล้ว
เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา หญิงต่างวัยพบกันที่หน้าปากซอยโดยบังเอิญ สีดาเดินออกจากปากซอยมา กำลังจะเลี้ยวขวาไปทางตลาด เพื่อหาซื้อของกิน ซึ่งก็คงไม่พ้นข้าวถุงแกงถุง แบ่งกันกินกับสมควรผู้เป็นสามี ที่ตกงานมาแล้วเกือบปี จากภาวะฝืดเคืองทางเศรษฐกิจที่ดิ่งลงเหว จนไม่มีทีท่าว่าจะโงหัวขึ้นมาได้
จู่ ๆ ผู้หญิงคนนี้ที่เดินนำหน้าเธอมา ก็หยุดเดินเอาดื้อ ๆ ก้มลงมองพื้นข้างทางด้านขวามือของตัวเอง แล้วเงยหน้ามองซ้ายขวา พอหันมาสบตากันกับสีดาที่มองอยู่เข้า หล่อนก็ยิ้มปุเลี่ยน พลันสีดาก็เหลือบเห็นวัตถุสีทองเหลืองอร่าม ตกอยู่ข้างทาง ชิดกับกำแพงรั้วบ้านของใครคนหนึ่ง
“ใครทำทองตกก็ไม่รู้แฮะ”
เมื่อเหลียวมาเจอเธอ หญิงอ้วนก็พูดพึมพำ พลางก้มลงเก็บสร้อยข้อมือทองคำมากำไว้แน่น เดินเร็ว ๆ มาหาเธอ
สีดาอดยกข้อมือข้างซ้ายที่สวมสร้อยทองของเธอขึ้นมาดูไม่ได้ ปรากฏว่าสร้อยข้อมือหนักสองสลึงยังอยู่ที่ข้อมือดี
“ถือว่าเป็นลาภลอยของเราสองคนแล้วล่ะ ไม่ต่ำกว่าบาทหนึ่งแน่”
ผู้หญิงคนนั้นพูดเสียงเบา แล้วยิ้มจนตาหยี
“โชคดีที่พี่จอดรถไว้แถวนี้ ไม่มีใครอยู่แถวนี้ด้วย เอาไงดี ในเมื่อเราเจอพร้อมกัน เรามาแบ่งกันดีมั้ยล่ะ” หล่อนทำท่ากระซิบกระซาบ สีดามองหน้าหล่อน ชั่งใจคิด
“เอ้อ...จะดีเหรอคะ”
“ดีสิ ดีแท้แน่นอน ช่วงนี้ยิ่งค้าขายลำบากอยู่ มาเจอลาภลอยเอาแบบนี้ เหมือนมีโชคช่วยนะน้อง...น้องไม่อยากได้เงินไปใช้เหรอ”
หญิงอ้วนพูดจี้ใจดำ สีดานิ่งอึ้ง พอนึกถึงความจำเป็นในช่วงนี้ที่ไม่มีรายได้เข้ามาเลยทั้งเธอกับสามี จึงพยักหน้าตกลง
“ก็ได้ค่ะ แต่ว่าสร้อยมีเส้นเดียว จะแบ่งกันยังไง”
เธอเออออเสียงแผ่ว หญิงอ้วนมีสีหน้าโล่งใจ ทำท่าคิดนิดหนึ่ง แล้วตาหยีก็เบิกโตขึ้น เหมือนนึกอะไรได้
“ทองบาทนึง แบ่งกันคนละสองสลึง น้องเอาสร้อยเส้นเล็กของน้องมาให้พี่ก็ได้ คงสักสองสลึงใช่ไหมจ๊ะ แล้วเอาทองเส้นใหญ่นี้ไปเลย แบ่งกันแบบนี้ยุติธรรมดีมั้ย”
หล่อนกระซิบกระซาบกับเธออีก เมื่อเห็นสีดายังอ้ำอึ้ง หญิงอ้วนก็ล้วงกระเป๋าเงินออกมาจากกระเป๋าสะพาย เปิดหยิบแบงก์พันใบหนึ่งยื่นส่งให้เธอ
“พี่ให้เงินน้องเพิ่มอีกพัน ท่าทางน้องจะอยากใช้เงินมากกว่าพี่”
นั่นเป็นคำพูดสุดท้าย ก่อนร่างอ้วนพีจะเดินไปที่รถของตัวเอง แล้วขับจากไป...
มันช่วยไม่ได้จริง ๆ ที่นักตกทองอย่างหญิงอ้วนคนนั้นจะตาฟาง จนมองไม่ออกว่าสร้อยข้อมือของสีดาเป็นทองชุบ
เดินนึกอย่างกระหยิ่มจนถึงตลาด แต่ไม่ยักตรงไปที่แผงขายอาหารเหมือนตั้งใจไว้ หญิงสาวกำแบงก์สีเทาแน่น สาวเท้าเข้าไปหาแม่ค้าขายลอตเตอรี่เจ้าประจำด้วยท่าทางมุ่งมั่น สายตาเต็มไปด้วยความคาดหวังกับเจ้ากระดาษแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็ก ๆ ที่เรียงกันเป็นตับ อยู่บนแผงกระดาษเหนือโต๊ะไม้ข้างหน้านั่น
หลายวันแล้วที่ทั้งเธอกับสมควรพากันยอมทนหิว อดมื้อกินมื้อ เพื่อรักษาเงินในกระเป๋าให้อยู่กับตัวเองนานที่สุดเท่าที่จะนานได้ จนกว่าเธอกับสามีจะมีวิธีหาเงินมาเติมในกระเป๋าได้อีก ไม่นับที่หลวงท่านเติมมาให้ในบัตรคนจน ซึ่งพอเติมมาได้ไม่ทันพ้นวัน มันก็จะระเห็จไปอยู่ที่เจ๊เจ้าของห้องเช่าหมด โดนหักเปอร์เซ็นต์อีกต่างหาก ถ้าจะเอาเป็นเงินสด นี่ขนาดยังไม่มีลูกเต้ากับเขาสักคนเลยนะ ถ้าปล่อยให้มีเจ้าตัวเล็กโผล่ออกมาร่วมแชร์ความลำบากด้วยอีกคน คงดูไม่จืด
สมควรทำงานเป็นช่างทอง มีรายได้ตามสภาพเศรษฐกิจ ถ้าเศรษฐกิจดีก็จะมีโบนัสจากเถ้าแก่ แต่เพราะเศรษฐกิจมันแย่ จากผลกระทบของเจ้าวายร้ายโควิด สามีของสีดาจึงตกงาน พร้อม ๆ กันกับผู้เป็นภรรยา สร้อยเส้นที่สีดาถอดให้หญิงอ้วนไป สามีเธอก็เป็นคนทำให้ ทดแทนของเก่าที่ขายกินจนหมดเกลี้ยง ทั้งแหวนทั้งสร้อย สมควรฝีมือดี ทองชุบฝีมือเขาเหมือนจริงมากจนดูไม่ออก
พอเดินมาถึงแผงลอตเตอรี่ สีดากวาดตามองหาเลขเด็ด ที่กำลังโจษกันว่าเป็นหวยล็อก อยากได้สักใบสองใบ เผื่อถูกรางวัล ถ้าถูกที่หนึ่งก็จะได้ตั้งหกล้าน สองใบก็สิบสองล้าน มันมากพอจะทำให้ความฝันอยากมีบ้านเป็นของตัวเองเป็นความจริง ไม่ต้องคอยหลบหน้าเจ้าของห้องเช่า ที่ตามทวงค่าเช่าอยู่ทุกเช้าเย็น สมควรจะมีร้านทำทองเป็นของตัวเอง ไม่ต้องรับจ้างคนอื่นทำ ส่วนเธอก็จะเปิดร้านตัดเสื้อใหญ่โต หาจักรเย็บผ้ารุ่นใหม่อีกสักคัน แทนตัวเดิมที่ขายเอาเงินมาซื้อข้าวกินกันเสียแล้ว
ฝันหวานไปถึงการเก็บรักษาเงิน สงสัยว่าเงินล้านมันจะเยอะขนาดไหนกันนะ...คงใส่ล้นกระเป๋าใบเล็กของเธอออกมา ฟุ้งซ่านต่ออีกว่า ถ้าถูกที่หนึ่งจริง คงต้องพึ่งธนาคาร แค่เดินเข้าไปหาผู้จัดการบอกว่าถูกรางวัลที่หนึ่ง เดี๋ยวเขาคงบริการให้เอง แต่ถ้าพลาดรางวัลใหญ่ ๆ ยังไงขอให้ถูกเลขท้ายสองตัวก็ยังดี ถึงยามนี้ สำหรับสีดาแล้ว เงินหลักสิบหลักร้อยก็มีค่ามหาศาลทั้งนั้น
แม่ค้าลอตเตอรี่เป็นหญิงแก่คราวแม่ คุ้นเคยกันดี ถามหญิงสาวล้อ ๆ อย่างรู้ใจ
“หาเก้าศูนย์อยู่เหรอ หมดเกลี้ยงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เลขนี้คนหากันจัง เห็นว่าเป็นเลขเด็ดจากคุณแม่น้ำนิ่ง เอาเก้าหกไหมล่ะ เหลืออยู่ใบ”
หญิงชรากระวีกระวาดยกแผงกระดาษหนึ่งในหลายแผง ที่มีใบหวยเหลือติดอยู่สองสามใบมาวางให้ดู
“ว้า...เสียดายจัง ฉันก็กำลังหาเลขนี้อยู่พอดี ฉันเลี้ยงของฉันมานาน พอดีหลับฝันเห็นเลขนี้เสียด้วย”
สีดาบ่นอย่างเสียดาย กวาดตามองหวยบนแผง เมื่อวานคนรู้จักกันไปขอหวยกับเจ้าพ่อประดู่แดง ได้มาสี่ห้าเลข หล่อนบอกหมายเลขให้สีดา ก่อนพูดเชิงให้สำนึกบุญคุณ
“นี่เห็นว่าชอบพอกันนะ โฮ้ย! ฉันรอท่านเข้าทรงตั้งนาน ไอ้พวกนั้นก็ถามท่านอยู่ได้เรื่องทำเสน่ห์ยาแฝด ไอ้เรารึก็รอขอหวย รอจนมืดค่ำกว่าจะได้กลับบ้าน”
สีดายิ้มให้คนพูด นี่ถ้าวันนี้เธอถูกหวยเข้าจริง ๆ หล่อนคงมาขอแบ่งเปอร์เซ็นต์
“เอาเก้าหกก็ได้ป้า นี่ก็ใกล้เวลาหวยออกเต็มที ฉันคงไปหาซื้อเลขเด็ดไม่ทันละ เฮ้อ...พึ่งมีเงินมาซื้อเมื่อกี้นี้เอง”
หญิงสาวบ่นงึมงำ แม่ค้าหวยดึงแผ่นสลากเลขท้ายเก้าหกให้หญิงสาว แล้วรับแบงก์พันจากเธอมาดู
“แหม ไปล่ำซำมาจากไหนยะหล่อน เล่นแบงก์พันเชียวนะ”
หญิงขายสลากแซวยิ้ม ๆ มือลูบธนบัตรใบนั้นไปมา ทำท่าชะงัก ก่อนยกมันขึ้นส่องดู แม่ค้าชราเหลือบมองหน้าสีดาแวบหนึ่ง เอื้อมมือไปเปิดหลอดไฟแบล็กไลท์ที่ติดไว้ใต้โต๊ะ เอาธนบัตรใบนั้นส่องดูใต้แสงไฟ
“แบงก์ปลอม” แกโยนธนบัตรใบนั้นลงบนแผงสลาก
“เอาหวยชั้นคืนมา แล้วเอาแบงก์ปลอมของแกไปไกล ๆ ม่ายงั้นชั้นแจ้งตำรวจจับ”
สีดาตกใจ ตัวเย็นวาบ
“ล้อกันเล่นหรือเปล่า จะเป็นแบงก์ปลอมได้ไง ก็ฉันพึ่งได้มาตะกี้”
หญิงสาวเอะอะเสียงดัง พอรู้สึกตัวก็เบาเสียงลง คืนสลากให้โดยดีเมื่อได้ยินคำว่าตำรวจ แม่ค้ารีบคว้าสลากหมับ แล้วผลักธนบัตรใบนั้นมาให้เธอ
“แกจะได้มันมายังไงฉันไม่รู้ แต่แบงก์นี่พอส่องกับแสงไฟฉันไม่เห็นเส้นใยเรืองแสงแดง ๆ เหลือง ๆ กะสีน้ำเงิน ตัวเลขก็ไม่เปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีส้มเรืองแสง”
หญิงแม่ค้าสลากโบกมือวุ่น
“ฉันรู้แต่ว่ามันเป็นแบงก์ปลอม”
จบบริบูรณ์
ลวง!!!
โดย ล. วิลิศมาหรา
สีดาใส่แบงก์สีเทาใบนั้นลงในกระเป๋าถือใบเล็กที่คล้องแขนอยู่ สายตามองตามหญิงวัยกลางคนร่างอ้วน ที่ผละขึ้นรถขับห่างออกไป ด้วยความขบขันแกมสมเพช
ยืนมองจนเก๋งคันนั้นแล่นลับตาไปแล้ว จึงหยิบแบงก์พันออกจากกระเป๋ามาถือไว้ในมือ สร้อยข้อมือเส้นใหญ่ของหญิงอ้วน ถูกปาทิ้งลงข้างทางไปอย่างไร้ความใยดี สาววัยยี่สิบเจ็ดปียิ้มมุมปาก เมื่อนึกถึงภาพใบหน้าบูดเบี้ยวของหญิงอ้วน เวลาเอาทองที่ได้จากการแลกกันกับเธอไปขาย
หญิงแปลกหน้าคนนี้เข้ามาได้ถูกจังหวะพอดี สีดากำลังเกิดวิตกกังวลอย่างหนักกับเงินเก็บที่เหลืออยู่ไม่กี่ร้อยบาท จากพิษโรคระบาดโควิด กลัวว่ามันจะหมดลงไปในไม่ช้าไม่นานนี้แล้ว
เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา หญิงต่างวัยพบกันที่หน้าปากซอยโดยบังเอิญ สีดาเดินออกจากปากซอยมา กำลังจะเลี้ยวขวาไปทางตลาด เพื่อหาซื้อของกิน ซึ่งก็คงไม่พ้นข้าวถุงแกงถุง แบ่งกันกินกับสมควรผู้เป็นสามี ที่ตกงานมาแล้วเกือบปี จากภาวะฝืดเคืองทางเศรษฐกิจที่ดิ่งลงเหว จนไม่มีทีท่าว่าจะโงหัวขึ้นมาได้
จู่ ๆ ผู้หญิงคนนี้ที่เดินนำหน้าเธอมา ก็หยุดเดินเอาดื้อ ๆ ก้มลงมองพื้นข้างทางด้านขวามือของตัวเอง แล้วเงยหน้ามองซ้ายขวา พอหันมาสบตากันกับสีดาที่มองอยู่เข้า หล่อนก็ยิ้มปุเลี่ยน พลันสีดาก็เหลือบเห็นวัตถุสีทองเหลืองอร่าม ตกอยู่ข้างทาง ชิดกับกำแพงรั้วบ้านของใครคนหนึ่ง
“ใครทำทองตกก็ไม่รู้แฮะ”
เมื่อเหลียวมาเจอเธอ หญิงอ้วนก็พูดพึมพำ พลางก้มลงเก็บสร้อยข้อมือทองคำมากำไว้แน่น เดินเร็ว ๆ มาหาเธอ
สีดาอดยกข้อมือข้างซ้ายที่สวมสร้อยทองของเธอขึ้นมาดูไม่ได้ ปรากฏว่าสร้อยข้อมือหนักสองสลึงยังอยู่ที่ข้อมือดี
“ถือว่าเป็นลาภลอยของเราสองคนแล้วล่ะ ไม่ต่ำกว่าบาทหนึ่งแน่”
ผู้หญิงคนนั้นพูดเสียงเบา แล้วยิ้มจนตาหยี
“โชคดีที่พี่จอดรถไว้แถวนี้ ไม่มีใครอยู่แถวนี้ด้วย เอาไงดี ในเมื่อเราเจอพร้อมกัน เรามาแบ่งกันดีมั้ยล่ะ” หล่อนทำท่ากระซิบกระซาบ สีดามองหน้าหล่อน ชั่งใจคิด
“เอ้อ...จะดีเหรอคะ”
“ดีสิ ดีแท้แน่นอน ช่วงนี้ยิ่งค้าขายลำบากอยู่ มาเจอลาภลอยเอาแบบนี้ เหมือนมีโชคช่วยนะน้อง...น้องไม่อยากได้เงินไปใช้เหรอ”
หญิงอ้วนพูดจี้ใจดำ สีดานิ่งอึ้ง พอนึกถึงความจำเป็นในช่วงนี้ที่ไม่มีรายได้เข้ามาเลยทั้งเธอกับสามี จึงพยักหน้าตกลง
“ก็ได้ค่ะ แต่ว่าสร้อยมีเส้นเดียว จะแบ่งกันยังไง”
เธอเออออเสียงแผ่ว หญิงอ้วนมีสีหน้าโล่งใจ ทำท่าคิดนิดหนึ่ง แล้วตาหยีก็เบิกโตขึ้น เหมือนนึกอะไรได้
“ทองบาทนึง แบ่งกันคนละสองสลึง น้องเอาสร้อยเส้นเล็กของน้องมาให้พี่ก็ได้ คงสักสองสลึงใช่ไหมจ๊ะ แล้วเอาทองเส้นใหญ่นี้ไปเลย แบ่งกันแบบนี้ยุติธรรมดีมั้ย”
หล่อนกระซิบกระซาบกับเธออีก เมื่อเห็นสีดายังอ้ำอึ้ง หญิงอ้วนก็ล้วงกระเป๋าเงินออกมาจากกระเป๋าสะพาย เปิดหยิบแบงก์พันใบหนึ่งยื่นส่งให้เธอ
“พี่ให้เงินน้องเพิ่มอีกพัน ท่าทางน้องจะอยากใช้เงินมากกว่าพี่”
นั่นเป็นคำพูดสุดท้าย ก่อนร่างอ้วนพีจะเดินไปที่รถของตัวเอง แล้วขับจากไป...
มันช่วยไม่ได้จริง ๆ ที่นักตกทองอย่างหญิงอ้วนคนนั้นจะตาฟาง จนมองไม่ออกว่าสร้อยข้อมือของสีดาเป็นทองชุบ
เดินนึกอย่างกระหยิ่มจนถึงตลาด แต่ไม่ยักตรงไปที่แผงขายอาหารเหมือนตั้งใจไว้ หญิงสาวกำแบงก์สีเทาแน่น สาวเท้าเข้าไปหาแม่ค้าขายลอตเตอรี่เจ้าประจำด้วยท่าทางมุ่งมั่น สายตาเต็มไปด้วยความคาดหวังกับเจ้ากระดาษแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้าเล็ก ๆ ที่เรียงกันเป็นตับ อยู่บนแผงกระดาษเหนือโต๊ะไม้ข้างหน้านั่น
หลายวันแล้วที่ทั้งเธอกับสมควรพากันยอมทนหิว อดมื้อกินมื้อ เพื่อรักษาเงินในกระเป๋าให้อยู่กับตัวเองนานที่สุดเท่าที่จะนานได้ จนกว่าเธอกับสามีจะมีวิธีหาเงินมาเติมในกระเป๋าได้อีก ไม่นับที่หลวงท่านเติมมาให้ในบัตรคนจน ซึ่งพอเติมมาได้ไม่ทันพ้นวัน มันก็จะระเห็จไปอยู่ที่เจ๊เจ้าของห้องเช่าหมด โดนหักเปอร์เซ็นต์อีกต่างหาก ถ้าจะเอาเป็นเงินสด นี่ขนาดยังไม่มีลูกเต้ากับเขาสักคนเลยนะ ถ้าปล่อยให้มีเจ้าตัวเล็กโผล่ออกมาร่วมแชร์ความลำบากด้วยอีกคน คงดูไม่จืด
สมควรทำงานเป็นช่างทอง มีรายได้ตามสภาพเศรษฐกิจ ถ้าเศรษฐกิจดีก็จะมีโบนัสจากเถ้าแก่ แต่เพราะเศรษฐกิจมันแย่ จากผลกระทบของเจ้าวายร้ายโควิด สามีของสีดาจึงตกงาน พร้อม ๆ กันกับผู้เป็นภรรยา สร้อยเส้นที่สีดาถอดให้หญิงอ้วนไป สามีเธอก็เป็นคนทำให้ ทดแทนของเก่าที่ขายกินจนหมดเกลี้ยง ทั้งแหวนทั้งสร้อย สมควรฝีมือดี ทองชุบฝีมือเขาเหมือนจริงมากจนดูไม่ออก
พอเดินมาถึงแผงลอตเตอรี่ สีดากวาดตามองหาเลขเด็ด ที่กำลังโจษกันว่าเป็นหวยล็อก อยากได้สักใบสองใบ เผื่อถูกรางวัล ถ้าถูกที่หนึ่งก็จะได้ตั้งหกล้าน สองใบก็สิบสองล้าน มันมากพอจะทำให้ความฝันอยากมีบ้านเป็นของตัวเองเป็นความจริง ไม่ต้องคอยหลบหน้าเจ้าของห้องเช่า ที่ตามทวงค่าเช่าอยู่ทุกเช้าเย็น สมควรจะมีร้านทำทองเป็นของตัวเอง ไม่ต้องรับจ้างคนอื่นทำ ส่วนเธอก็จะเปิดร้านตัดเสื้อใหญ่โต หาจักรเย็บผ้ารุ่นใหม่อีกสักคัน แทนตัวเดิมที่ขายเอาเงินมาซื้อข้าวกินกันเสียแล้ว
ฝันหวานไปถึงการเก็บรักษาเงิน สงสัยว่าเงินล้านมันจะเยอะขนาดไหนกันนะ...คงใส่ล้นกระเป๋าใบเล็กของเธอออกมา ฟุ้งซ่านต่ออีกว่า ถ้าถูกที่หนึ่งจริง คงต้องพึ่งธนาคาร แค่เดินเข้าไปหาผู้จัดการบอกว่าถูกรางวัลที่หนึ่ง เดี๋ยวเขาคงบริการให้เอง แต่ถ้าพลาดรางวัลใหญ่ ๆ ยังไงขอให้ถูกเลขท้ายสองตัวก็ยังดี ถึงยามนี้ สำหรับสีดาแล้ว เงินหลักสิบหลักร้อยก็มีค่ามหาศาลทั้งนั้น
แม่ค้าลอตเตอรี่เป็นหญิงแก่คราวแม่ คุ้นเคยกันดี ถามหญิงสาวล้อ ๆ อย่างรู้ใจ
“หาเก้าศูนย์อยู่เหรอ หมดเกลี้ยงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เลขนี้คนหากันจัง เห็นว่าเป็นเลขเด็ดจากคุณแม่น้ำนิ่ง เอาเก้าหกไหมล่ะ เหลืออยู่ใบ”
หญิงชรากระวีกระวาดยกแผงกระดาษหนึ่งในหลายแผง ที่มีใบหวยเหลือติดอยู่สองสามใบมาวางให้ดู
“ว้า...เสียดายจัง ฉันก็กำลังหาเลขนี้อยู่พอดี ฉันเลี้ยงของฉันมานาน พอดีหลับฝันเห็นเลขนี้เสียด้วย”
สีดาบ่นอย่างเสียดาย กวาดตามองหวยบนแผง เมื่อวานคนรู้จักกันไปขอหวยกับเจ้าพ่อประดู่แดง ได้มาสี่ห้าเลข หล่อนบอกหมายเลขให้สีดา ก่อนพูดเชิงให้สำนึกบุญคุณ
“นี่เห็นว่าชอบพอกันนะ โฮ้ย! ฉันรอท่านเข้าทรงตั้งนาน ไอ้พวกนั้นก็ถามท่านอยู่ได้เรื่องทำเสน่ห์ยาแฝด ไอ้เรารึก็รอขอหวย รอจนมืดค่ำกว่าจะได้กลับบ้าน”
สีดายิ้มให้คนพูด นี่ถ้าวันนี้เธอถูกหวยเข้าจริง ๆ หล่อนคงมาขอแบ่งเปอร์เซ็นต์
“เอาเก้าหกก็ได้ป้า นี่ก็ใกล้เวลาหวยออกเต็มที ฉันคงไปหาซื้อเลขเด็ดไม่ทันละ เฮ้อ...พึ่งมีเงินมาซื้อเมื่อกี้นี้เอง”
หญิงสาวบ่นงึมงำ แม่ค้าหวยดึงแผ่นสลากเลขท้ายเก้าหกให้หญิงสาว แล้วรับแบงก์พันจากเธอมาดู
“แหม ไปล่ำซำมาจากไหนยะหล่อน เล่นแบงก์พันเชียวนะ”
หญิงขายสลากแซวยิ้ม ๆ มือลูบธนบัตรใบนั้นไปมา ทำท่าชะงัก ก่อนยกมันขึ้นส่องดู แม่ค้าชราเหลือบมองหน้าสีดาแวบหนึ่ง เอื้อมมือไปเปิดหลอดไฟแบล็กไลท์ที่ติดไว้ใต้โต๊ะ เอาธนบัตรใบนั้นส่องดูใต้แสงไฟ
“แบงก์ปลอม” แกโยนธนบัตรใบนั้นลงบนแผงสลาก
“เอาหวยชั้นคืนมา แล้วเอาแบงก์ปลอมของแกไปไกล ๆ ม่ายงั้นชั้นแจ้งตำรวจจับ”
สีดาตกใจ ตัวเย็นวาบ
“ล้อกันเล่นหรือเปล่า จะเป็นแบงก์ปลอมได้ไง ก็ฉันพึ่งได้มาตะกี้”
หญิงสาวเอะอะเสียงดัง พอรู้สึกตัวก็เบาเสียงลง คืนสลากให้โดยดีเมื่อได้ยินคำว่าตำรวจ แม่ค้ารีบคว้าสลากหมับ แล้วผลักธนบัตรใบนั้นมาให้เธอ
“แกจะได้มันมายังไงฉันไม่รู้ แต่แบงก์นี่พอส่องกับแสงไฟฉันไม่เห็นเส้นใยเรืองแสงแดง ๆ เหลือง ๆ กะสีน้ำเงิน ตัวเลขก็ไม่เปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีส้มเรืองแสง”
หญิงแม่ค้าสลากโบกมือวุ่น
“ฉันรู้แต่ว่ามันเป็นแบงก์ปลอม”
จบบริบูรณ์