.
หลายปีก่อนผมไปช่วยเพื่อนขนของย้ายหอพัก พอขนเสร็จเรียบร้อย ด้วยความไม่เจอกันนานจึงคุยกันเพลิน เหลือบดูนาฬิกาอีกทีก็เวลาเกือบเที่ยงคืน มันเลยบอกผมว่า
.
.
"นอนนี่แหละ พรุ่งนี้เช้าค่อยขี่มอเตอรไซต์กลับ"
"เออ...กูก็ว่างั้น หอเปลี่ยวเกิน ไม่น่าขี่รถกลับตอนนี้สักเท่าไหร่" ผมตอบรับ
"นอนก่อนได้เลยนะ กูว่าจะไปซักถุงเท้า"
"ตามสะดวกนี่ห้อง"
"แต่กูขออย่างนึงนะคืนนี้ ถ้าได้ยินเสียงอะไรอย่าลืมตา อย่าส่งเสียง โอเคไหม"
"ดูหนังผีเรื่องไหนมาอีกละ ถึงหลอนขนาดนี้"
"เออ เชื่อกู"
.
.
ผมพล้อยหลับแทบจะทันทีเมื่อหัวตกถึงหมอน ภายใต้ห้องขนาด 19 ตารางวาไร้เฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง เป็นหอพักใหม่ ที่ไม่น่าจะมีประวัติโชกโชนใดๆ ให้น่าติดตาม ในห้องของเพื่อนผมนั้นประกอบไปด้วยเฟอร์นิเจอร์เพียงแค่ ที่นอน ตู้เย็น พัดลม 2 ตัว และอ่างล้างจานด้านหลังระเบียง ที่ผสมปนเป เป็นทั้งที่กินข้าว ล้างจาน และตากเสื้อผ้าในคราวเดียวกัน แต่ไม่ใช่ปัญหาอะไรนัก สำหรับชายโสดในวัยเบญจเพศเช่นมัน
.
.
ผมสะดุ้งตื่นมา เมื่อได้ยินเสียงหยดน้ำ เสียงแผ่วเบา จนจินตนาการคล้ายเสียงหยดน้ำตาของใครสักคนหล่นกระทบสแตนเลส ผมนึกถึงคำของเพื่อน ที่มันบอกผมก่อนหลับได้ "อย่าลืมตา อย่าส่งเสียง"
.
.
แต่ไม่ทันเสียแล้ว ผมไม่อาจข่มตาหลับลงท่ามกลางเสียงแปลกประหลาดนี้ได้ มันดังกระทบสแตนเลส แทบจะเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เหมือนมีใครสักคนคอยควบคุมเสียงนั้นไว้ และมากกว่านั้นผมเห็นเงาดำตะคุ้ม โยกไปมาตามจังหวะของน้ำหยด สะท้อนที่ริมกำแพง จังหวะนั้นผมคิดไม่ออกจริงๆ ว่าควรทำอย่างไรดี เพราะครั้งสุดท้ายที่ท่องบทสวดแผร่เมตตาก็คงเป็นตอนบวช ที่คืนความจำไปพร้อมกับตอนสึกเสียแล้ว ผมได้แต่ข่มตาปิด แต่ไม่สามารถหลับลงได้ตลอดทั้งคืน ไปพร้อมกับเสียงหยดน้ำตาของใครคนนั้น
.
.
รุ่งเช้าทันทีที่แสงอาทิตย์อัสดงโผล่พ้นปลายขอบฟ้า ผมหยิบเป้และเดินออกมาจากห้องมันแทบจะในทันที โดยที่ไม่ทันได้บอกลาเจ้าของห้อง และด้วยเหตุบังเอิญหรืออะไรก็ตามแต่ ผมกับมันเราแทบไม่ได้ติดต่อกันอีกนานหลายเดือน เรามี Facebook กัน แต่ผมไม่เห็นเหตุผลอะไรที่จะหยิบยกเรื่องดังกล่าว มาพูดขึ้นมาเพื่อทำให้เพื่อนตกใจกลัว คงไม่สนุกนักกับการย้ายหอพักใหม่หลายๆ รอบ ผมเก็บเงื่อนงำในค่ำคืนนั้นสนิท ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง จนกระทั่งเจอเพื่อนคนนี้อีกครั้งในหลายเดือนต่อมาโดยบังเอิญ
.
.
"เห้ยเป็นไงบ้าง ไม่เจอนาน"
"วุ่นๆ หน่อยวะ ย้ายหอพักอีกแล้ว"
"กูว่าแล้ว...หอพักนั้นแมร่งไม่ปกติ กูจะบอกหลายรอบแล้ว"
"ไม่ปกติยังไงวะ กูก็อยู่สบายดีหลายเดือนที่ผ่านมา"
"ถ้าปกติจริง แล้วจะย้ายออกมาทำไมวะ"
"กูได้งานใหม่ เลยย้ายเฉยๆ"
"อ้าว...สรุปคืนนั้น กูเจอดีคนเดียวหรอไงวะ"
.
.
ผมอธิบายให้มันฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนวันนั้น พอเล่าจบมันถึงกับตกตะลึงกับสิ่งที่ผมเล่าออกมา พร้อมอธิบายถึงเหตุผลที่มันบอกให้ผม "อย่าลืมตา อย่าส่งเสียง"
.
.
"ที่กูบอกอย่างนั้น เพราะกูไม่อยากให้ปลุกมารบกวนกูจะนอน ไอเสียงที่ได้ยินน่ะ กูได้ยินจนชินแล้ว เสียงกูตากถุงเท้าและบิดไม่แห้ง น้ำมันเลยกระทบอ่างล้างจาน ส่วนไอเงาที่เห็นน่ะ กูเอาพัดลมอีกตัวไปเป่า มันจะได้แห้งไวๆ เลยเห็นเงาส่ายไปมาๆ ไงโธ่"
.
หลังมันพูดจบ ผมเดินออกมา คงไม่มีอะไรค้างคากันอีกแล้วระหว่างผมกับมัน
ขอบคุณภาพจาก: pixabay
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น "อย่าส่งเสียง อย่าลืมตา"
.
หลายปีก่อนผมไปช่วยเพื่อนขนของย้ายหอพัก พอขนเสร็จเรียบร้อย ด้วยความไม่เจอกันนานจึงคุยกันเพลิน เหลือบดูนาฬิกาอีกทีก็เวลาเกือบเที่ยงคืน มันเลยบอกผมว่า
.
.
"นอนนี่แหละ พรุ่งนี้เช้าค่อยขี่มอเตอรไซต์กลับ"
"เออ...กูก็ว่างั้น หอเปลี่ยวเกิน ไม่น่าขี่รถกลับตอนนี้สักเท่าไหร่" ผมตอบรับ
"นอนก่อนได้เลยนะ กูว่าจะไปซักถุงเท้า"
"ตามสะดวกนี่ห้อง"
"แต่กูขออย่างนึงนะคืนนี้ ถ้าได้ยินเสียงอะไรอย่าลืมตา อย่าส่งเสียง โอเคไหม"
"ดูหนังผีเรื่องไหนมาอีกละ ถึงหลอนขนาดนี้"
"เออ เชื่อกู"
.
.
ผมพล้อยหลับแทบจะทันทีเมื่อหัวตกถึงหมอน ภายใต้ห้องขนาด 19 ตารางวาไร้เฟอร์นิเจอร์ตกแต่ง เป็นหอพักใหม่ ที่ไม่น่าจะมีประวัติโชกโชนใดๆ ให้น่าติดตาม ในห้องของเพื่อนผมนั้นประกอบไปด้วยเฟอร์นิเจอร์เพียงแค่ ที่นอน ตู้เย็น พัดลม 2 ตัว และอ่างล้างจานด้านหลังระเบียง ที่ผสมปนเป เป็นทั้งที่กินข้าว ล้างจาน และตากเสื้อผ้าในคราวเดียวกัน แต่ไม่ใช่ปัญหาอะไรนัก สำหรับชายโสดในวัยเบญจเพศเช่นมัน
.
.
ผมสะดุ้งตื่นมา เมื่อได้ยินเสียงหยดน้ำ เสียงแผ่วเบา จนจินตนาการคล้ายเสียงหยดน้ำตาของใครสักคนหล่นกระทบสแตนเลส ผมนึกถึงคำของเพื่อน ที่มันบอกผมก่อนหลับได้ "อย่าลืมตา อย่าส่งเสียง"
.
.
แต่ไม่ทันเสียแล้ว ผมไม่อาจข่มตาหลับลงท่ามกลางเสียงแปลกประหลาดนี้ได้ มันดังกระทบสแตนเลส แทบจะเป็นจังหวะสม่ำเสมอ เหมือนมีใครสักคนคอยควบคุมเสียงนั้นไว้ และมากกว่านั้นผมเห็นเงาดำตะคุ้ม โยกไปมาตามจังหวะของน้ำหยด สะท้อนที่ริมกำแพง จังหวะนั้นผมคิดไม่ออกจริงๆ ว่าควรทำอย่างไรดี เพราะครั้งสุดท้ายที่ท่องบทสวดแผร่เมตตาก็คงเป็นตอนบวช ที่คืนความจำไปพร้อมกับตอนสึกเสียแล้ว ผมได้แต่ข่มตาปิด แต่ไม่สามารถหลับลงได้ตลอดทั้งคืน ไปพร้อมกับเสียงหยดน้ำตาของใครคนนั้น
.
.
รุ่งเช้าทันทีที่แสงอาทิตย์อัสดงโผล่พ้นปลายขอบฟ้า ผมหยิบเป้และเดินออกมาจากห้องมันแทบจะในทันที โดยที่ไม่ทันได้บอกลาเจ้าของห้อง และด้วยเหตุบังเอิญหรืออะไรก็ตามแต่ ผมกับมันเราแทบไม่ได้ติดต่อกันอีกนานหลายเดือน เรามี Facebook กัน แต่ผมไม่เห็นเหตุผลอะไรที่จะหยิบยกเรื่องดังกล่าว มาพูดขึ้นมาเพื่อทำให้เพื่อนตกใจกลัว คงไม่สนุกนักกับการย้ายหอพักใหม่หลายๆ รอบ ผมเก็บเงื่อนงำในค่ำคืนนั้นสนิท ไม่เคยเล่าให้ใครฟัง จนกระทั่งเจอเพื่อนคนนี้อีกครั้งในหลายเดือนต่อมาโดยบังเอิญ
.
.
"เห้ยเป็นไงบ้าง ไม่เจอนาน"
"วุ่นๆ หน่อยวะ ย้ายหอพักอีกแล้ว"
"กูว่าแล้ว...หอพักนั้นแมร่งไม่ปกติ กูจะบอกหลายรอบแล้ว"
"ไม่ปกติยังไงวะ กูก็อยู่สบายดีหลายเดือนที่ผ่านมา"
"ถ้าปกติจริง แล้วจะย้ายออกมาทำไมวะ"
"กูได้งานใหม่ เลยย้ายเฉยๆ"
"อ้าว...สรุปคืนนั้น กูเจอดีคนเดียวหรอไงวะ"
.
.
ผมอธิบายให้มันฟังถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนวันนั้น พอเล่าจบมันถึงกับตกตะลึงกับสิ่งที่ผมเล่าออกมา พร้อมอธิบายถึงเหตุผลที่มันบอกให้ผม "อย่าลืมตา อย่าส่งเสียง"
.
.
"ที่กูบอกอย่างนั้น เพราะกูไม่อยากให้ปลุกมารบกวนกูจะนอน ไอเสียงที่ได้ยินน่ะ กูได้ยินจนชินแล้ว เสียงกูตากถุงเท้าและบิดไม่แห้ง น้ำมันเลยกระทบอ่างล้างจาน ส่วนไอเงาที่เห็นน่ะ กูเอาพัดลมอีกตัวไปเป่า มันจะได้แห้งไวๆ เลยเห็นเงาส่ายไปมาๆ ไงโธ่"
.
หลังมันพูดจบ ผมเดินออกมา คงไม่มีอะไรค้างคากันอีกแล้วระหว่างผมกับมัน
ขอบคุณภาพจาก: pixabay