สายสี่

ย้อนไปเมื่อราวปีพศ.2551 ผมได้รับข้อเสนอให้ไปทำงานเป็นสถาปนิกให้กับโครงการหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งบนถนนบรมราชชนนี
และเนื่องด้วยเงินเดือนอันน้อยนิดบวกกับภาระรายจ่ายที่มากมายเกินตัว ผมจึงได้รับความอนุเคราะห์จากเพื่อนสนิทคนหนึ่งซึ่งเรียนจบสถาปัตย์มหาวิทยาลัยขอนแก่นมาด้วยกัน ให้ไปอาศัยอยู่ด้วยที่ทาวเฮาส์ย่านพุทธมลฑลสาย4 โดยไม่มีค่าใช้จ่าย
ทาวเฮาส์ที่ว่าเป็นทาวเฮาส์หน้ากว้างประมาณสามเมตรครึ่ง สูง2ชั้น ตั้งอยู่ไม่ไกลจากที่ทำงานของผมมากนัก
เท่าที่จำได้นั้น ขาไปทำงานเหมือนจะนั่งรถเมล์จากหน้าหมู่บ้านไปที่ทำงานได้ แต่ตอนเลิกงาน ผมจะต้องนั่งรถเมล์จากหน้าที่ทำงานแล้วมาลงแยกพุทธมลฑลสาย 4 จากนั้นก็ต้องต่อรถสองแถวหรือรถบรรทุก6ล้อโดยสารที่วิ่งให้บริการรับส่งตามแนวถนนพุทธมณฑลสาย4จนไปถึงอ้อมน้อย แล้วก็ไปลงบริเวณใกล้ๆกับหน้าหมู่บ้านของเพื่อน
ตอนนั้นเป็นช่วงที่เพื่อนผมกำลังลองผิดลองถูกกับชีวิตโดยการยึดอาชีพวิ่งขายอาหารหมูเป็นหลัก ส่วนงานรองนั้นก็ยังคงรับงานออกแบบ รับเหมาก่อสร้าง ตกแต่งภายในให้กับเจ้าของฟาร์มต่างๆที่มีโอกาสได้ทำธุรกิจซื้อขายอาหารหมูด้วยกัน 
ตอนเช้าๆเพื่อนบ้านมักจะเห็นผมกับเพื่อนเปลือยกายท่อนบน พร้อมผ้าขนหนูสีขาวตุ่นพาดคอ ช่วยกันยกกระสอบอาหารหมูขึ้นท้ายรถกระบะกันอย่างแข็งขัน
…...คงต่างพากันคิดว่าเป็นพวกกุลีที่ทางเจ้าของบ้านตัวจริงเลี้ยงดูไว้ใช้แรงงาน…..

ตอนเลิกงาน ถ้าวันไหมผมถึงบ้านก่อน ผมก็จะแวะมินิมาร์ทในหมู่บ้านซื้อเบียร์ หรือถ้าวันไหนมีเหล้าเหลือติดบ้าน ผมก็จะซื้อเข้าไปแค่โซดาน้ำแข็ง นั่งดื่มรอวงเหล้าจริงตอนเพื่อนกลับมา
บางวันผมเลิกดึกถึงหมู่บ้านพร้อมๆกันก็จะนัดกันหาร้านริมถนนพุทธมลฑลสาย4ใกล้ๆหมู่บ้าน นั่งดื่มกินกันจนหนำใจใกล้หลับแล้วก็พากันตุปั๊ดตุเป๋เดินขึ้นรถเพื่อนกลับบ้านไปนอน
นั่งกินดื่มริมถนนก็เพลินไปอีกแบบ ถนนพุทธมลฑลสาย 4 ในเวลานั้นมันมีความหลากหลายทางวัฒนธรรมในการใช้ท้องถนนให้ได้ชม ซึ่งมีตั้งแต่รถโดยสารกระบะ2 แถว 4ล้อ, รถโดยสารกระบะ 6ล้อ ที่ไม่มีให้เห็นบนท้องถนนในกรุงเทพฯ มีพวกเด็กแว๊นท้องถิ่นซิ่งมอเตอร์ไซค์ มีพวกรถแต่งรถซิ่งซึ่งผมเข้าใจว่าเป็นพวกที่รอดตายมาจากการเป็นเด็กแว้นและเติบโตกลายมาเป็นพวกแต่งรถซิ่งที่คอยวิ่งทำลายความสงบสุขและเงียบสงัดของยามค่ำคืนในละแวกนั้น
แต่ก็ช่างเถอะ ตราบใดที่บนโต๊ะยังมีเบียร์เย็นๆ เหล้าผสมโซดาน้ำแข็ง อะไรๆก็จะดูน่าอภิรมย์ไปทั้งหมดสำหรับผมกับเพื่อน 

เนื่องจากต้องขับรถตะลอนๆไปตามฟาร์มมาทั้งวัน กับแกล้มเบาๆสำหรับการเริ่มต้นกินดื่มเวลาทุ่มกว่าๆจึงไม่เคยพอสำหรับเพื่อนผม
ทุกครั้งที่เรานั่งลงสั่งอาหารและเครื่องดื่มในโอกาสแบบนี้ เพื่อนผมมักจะเริ่มต้นจากข้าวกระเพราไข่ดาวทุกครั้ง และเมื่อผมได้เห็นข้าวกระเพราไข่ดาวที่น้องที่ร้านยกมานั้น ผมก็รู้ได้ในทันทีว่าร้านนี้คงเป็นร้านที่เพื่อนผมมานั่งกินดื่มเป็นประจำอยู่แล้ว พิจารณาได้จากขนาดของจานที่ใหญ่ประมาณ1.5เท่าของที่เสิร์ฟทั่วไป,ปริมาณของเนื้อหมู เนื้อไก่หรือแม้กระทั้งปลาหมึก กุ้ง นั้น ช่างอลังการ
บ่งบอกว่าเป็นเมนูพิเศษจากน้องๆสาวสวยสำหรับลูกค้าคนพิเศษเท่านั้น
และนี่ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมตัดสินใจไม่กล่าวถึงชื่อเสียงเรียงนามของเพื่อนสนิทรายนี้ตั้งแต่ต้น เนื่องจากเกรงว่าเล่าๆไปอาจไปเจอเนื้อหาที่ค่อนข้างล่อแหลมเป็นอันตรายต่อชีวิตหากภรรยาของเพื่อนเข้ามาอ่าน
ครับ ด้วยความที่มีรูปร่างสูงโปร่งขาวตี๋ วัดความสูงได้ราว180ซม. สมัยเรียนถึงกับมีคนทักว่าหน้าเหมือนพี่ศักดา นักร้องนำคณะอินคา บวกกับพี่เจ เจตริน วัฒนสิน จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีน้องๆที่ร้านแอบหลงใหลได้ปลื้ม 
( ถึงบรรทัดนี้หากเพื่อนมีโอกาสได้เข้ามาอ่าน คงคิดในใจว่า “ สัตว์!! ถ้าจะชัดขนาดนี้แนบสำเนาบัตรประชาชนกูไปเลยดีมั๊ย?!!)

ชีวิตช่วงนั้นก็เป็นแบบนี้ ไม่เว้นแต่ละวัน..แต่ก็นับเป็นอีกช่วงชีวิตที่น่าจดจำสำหรับผมนะครับ

วันนั้นเป็นอีกวันที่ผมเลิกงานค่อนข้างดึก สอดคล้องกับเวลาเดินทางกลับบ้านของเพื่อนผมซึ่งใกล้เคียงกันพอดี เราจึงนัดกันไปนั่งกินดื่มที่ร้านประจำอย่างที่เคย
ทุกครั้งที่มีนัดไม่ว่าจะกับเพื่อนหรือกับหญิง ผมจะเริ่มกระสับกระส่าย ลนลาน รีบไปก่อนเวลานัด ทั้งๆที่กับไอ้เพื่อนคนนี้ ผมไม่มีความจำเป็นจะต้องซีเรียสอะไรเลย เนื่องจากตัวมันเองนั่นแหละที่มักจะมาสายเป็นประจำ แต่ก็นั่นแหละครับ มันเป็นนิสัยส่วนตัวของผมเอง
ผมนั่งรถเมล์มาลงที่แยกสาย4 แล้วก็ยืนรอรถโดยสารเพื่อที่จะไปลงหน้าร้านประจำตามที่นัดกันไว้
ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณเกือบสองทุ่ม ยังไม่ดึกมากนัก แต่ก็น่าแปลกที่มีรถราผ่านไปมาค่อนข้างบางตาเหลือเกิน ยืนรอจนเกือบครึ่งชั่วโมงจึงค่อยเห็นรถบรรทุกโดยสาร6ล้อคันแรกโผล่มาให้เห็นอยู่ลิบๆ
เมื่อเข้ามาใกล้ คนขับรถโดยสารคงสังเกตเห็นผมยืนรออยู่ เนื่องจากจุดที่ยืนนั้นอยู่บริเวณเสาไฟที่มีไฟสาดลงมาพอดี 
รถค่อยๆวิ่งชะลอๆเข้ามาหาผม ผมเองก็วิ่งเหยาะๆออกไปหาเพื่อย่นระยะเวลาสำหรับทั้งสองฝ่าย
แต่ทันใดนั้น เมื่อคนขับรถมองเห็นผมได้ถนัดชัดเจนขึ้นก็กลับเหยียบคันเร่งทะยานจากไปโดยไม่ทราบเหตุผล ทิ้งให้ผมยืนงุนงง หอบแฮ่กๆอยู่ข้างถนน
เอ…หรือพี่เขาจะรีบไปส่งรถ? ไม่น่าใช่ พี่เขาเป็นรถโดยสาร6ล้อ ไม่ใช่แท็กซี่ซะหน่อย ฮึ!? หรือพี่เขาจะวิ่งวนรอรับแต่พวกฝรั่ง ก็ไม่น่าใช่อีกนั่นแหละ
อือม…หรือว่าหน้าตารูปพรรณสัณฐานเราเหมือนโจรห้าร้อย? อันนี้เป็นไปได้ ช่วงนั้นผมตัดผมทรงสกินเฮด ร่างกายผ่ายผอมแต่ลงพุง ตาลึกโหลเนื่องจากทำงานหนัก ไหนจะงานออฟฟิซ ไหนจะต้องคอยช่วยเพื่อนแบกกระสอบอาหารหมูขึ้นรถลงรถในแต่ละวัน

ไม่เป็นไร…เอาใหม่
เหมือนเดจาวู
ยืนรออีกจนเกือบ5นาที จึงได้เห็นรถบรรทุกโดยสาร 6ล้อคันถัดไปโผล่มาให้เห็นอยู่ลิบๆ
เมื่อใกล้เข้ามาๆ รถก็ค่อยๆวิ่งชะลอๆเข้ามาหา และเหมือนเดิม ผมเองก็วิ่งสวนออกไปหารถ
และก็เหมือนเดิมอีก เมื่อคนขับมองเห็นผมชัดเจนขึ้นก็กลับเหยียบคันเร่งขับทะยานจากไปโดยไม่ทราบเหตุผล ทิ้งให้ผมยืนงุนงง หอบแฮ่กๆอยู่ข้างถนนอีกแล้ว
ผมเองทั้งเหนื่อยทั้งร้อนทั้งโมโห แต่ก็ทำอะไรไม่มาก ได้แต่ยืนรอรถคันถัดไป 
แต่เชื่อไหมครับว่า เป็นเหมือนเดิมอีก!!
“ พอกันที..!!”ผมพูดกับตัวเอง “ เมิงจะเอากับกูใช่ไหม?!! ถ้าคราวนี้เมิงขับหนีกูอีก กูวิ่งตามยันบ้านแน่!! ”
พูดกับตัวเองยังไม่ทันจบดี รถ6ล้อโดยสารคันถัดไปก็โผล่มาให้เห็นอยู่ลิบๆอีก
คราวนี้สายตาผมจับจ้องอยู่ที่รถแบบไม่มีวันที่จะคลาดสายตาไปได้ มือดึงกระเป๋าที่สะพายอยู่ให้กระชับเตรียมออกวิ่ง
เมื่อรถใกล้เข้ามา ผมก็ตัดสินใจวิ่งทะยานออกไปทันที!! แต่คราวนี้ไม่ได้วิ่งตรงไปหารถ!!
ผมวิ่งสปรินท์สุดฝีเท้าออกนำหน้ารถก่อนที่รถจะมาถึงแล้วจึงค่อยๆเบนทิศทางการวิ่งเข้าหารถ จนในที่สุดรถที่กำลังวิ่งเอื่อยๆแต่ค่อยๆเร่งความเร็วขึ้นกับตัวผมที่กำลังวิ่งสปรินท์เต็มฝีเท้าก็มาอยู่ขนาบข้างกัน
และผมยังคงกัดฟันวิ่งสปรินท์สุดกำลังความสามารถต่อไป สายตาคอยมองทางข้างหน้าสลับกับมองรถที่กำลังค่อยเคลื่อนตัวออกนำผมไปทีละน้อย
ผมวิ่งจนหูอื้อ น้ำมูกน้ำลายไหล ไม่ได้ยินเสียงอะไร ตอนนี้เห็นแต่ภาพตรงหน้าคือท้ายรถที่อยู่ใกล้แค่เอื้อม กับลุงป้าน้าอาราวสิบยี่สิบชีวิตบนรถ ที่ต่างพร้อมใจกันตะโกนอะไรบ้างอย่างพร้อมทั้งโบกมือห้ามกันพัลวัล
เสน่ห์ของคนไทยอยู่ตรงนี้ครับ…คนไม่รู้จักกันแท้ๆก็ยังเป็นห่วงเป็นใยกัน ห้ามไม่ให้ผมกระโดด กลัวว่าผมจะพลัดตกลงไปบาดเจ็บหรือตาย
แต่ผมไม่ฟัง!! ผมกลั้นใจใช้พลังงานแฝงที่มีเหลืออยู่ทั้งหมด สปรินท์เฮือกสุดท้าย โถมตัวทะยานเข้าหาท้ายรถจนกะระยะที่จะกระโดดเกาะได้
ผมเริ่มหายใจไม่ทันแต่ก็กัดฟันสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดอีกเฮือกก่อนอาศัยจังหวะที่เท้าข้างถนัดก้าวลงมาแตะพื้น ผมสปริงข้อเท้าและใช้แรงดีดจากหัวเข่าและกล้ามเนื้อขาสุดแรง โถมตัวกระโดดพร้อมมือและแขนที่เหยียดไปข้างหน้าอย่างเต็มเอื้อม
ตอนนี้ภาพทุกอย่างกลายเป็นภาพสโลว์โมชั่น……. 
หูยังคงอื้อไม่ได้ยินเสียงอะไร น้ำหูน้ำตาไหล รู้สึกได้ว่าตัวเองกำลังลอยอยู่ในอากาศ เห็นแต่มือตัวเองที่กำลังลอยเข้าใกล้ราวจับแนวตั้งท้ายรถ กับภาพลุงป้าน้าอาบนรถที่พร้อมใจกันตะโกนโหวกเหวกเหมือนพยายามจะบอกอะไรบ้างอย่าง พร้อมทั้งโบกมือห้ามกันพัลวัลในแบบสโลว์โมชั่น
“ กรึ่งง!!!!” เสียงดังสนั่นหวั่นไหว เป็นเสียงตอนที่มือและแขนของผมคว้าราวจับท้ายรถได้สำเร็จ
“แถ่ดๆๆๆๆๆๆ!!!” เป็นเสียงเท้ายังวิ่งกึ่งโดนลากถูลู่ถูกังอย่างทุลักทุเลเนื่องจากก้าวพลาด ขึ้นบันไดไม่สำเร็จ
ตอนนั้นเองที่ทั้งลุงป้าน้าอาช่วยกันดึงแขนดึงตัวผมจนในที่สุดผมก็ขึ้นมานั่งกองอยู่บนพื้นรถได้สำเร็จ
ผมจัดท่าจัดทางนั่งหอบแฮ่กๆเหมือนหมาหอบแดดอยู่บนพื้นรถอยู่ชั่วครู่ รวบรวมสติและลมหายใจเพื่อจะหันไปขอบคุณลุงป้าน้าอาที่พากันช่วยผมไว้ สายตาทุกคู่จ้องมองมาที่ผมอย่างเวทนา แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้เอ่ยปากขอบคุณ ก็มีเสียงๆหนึ่งตะโกนแหวกฝูงชนออกมาว่า……

“ไอ้หนุ่ม!!! เอ็งจะกระโดดขึ้นมาทำม๊ายยย อันนี้มันรถรับส่งคนงานของโรงง๊านนน ไม่ใช่รถโดยส๊ารรรร !!!!!!!!!........”

ผมได้แต่อ้าปากค้าง สายตากวาดมองไปที่คนอื่นๆบนรถเพื่อขอความกระจ่าง
ลุงคนหนึ่งหันมาสบตากับผมและพยักหน้ายืนยันอย่างช้าๆ พร้อมเอื้อมมือมาตบที่ไหล่เบาๆพลางยักคิ้วแล้วเอ่ยว่า
“ ลงป้ายหน้าก็แล้วกันนะไอ้หนุ่ม ” 
ตามด้วยเสียงระเบิดหัวเราะจากลุงป้าน้าอาที่นั่งกันอยู่บนรถ ที่ยังคงดังกึกก้องติดอยู่ในหัวผมมาจนถึงทุกวันนี้……..

“ เฮ่ย!! เหม่ออะไรของเมิงวะ?” เสียงเพื่อนทำให้ผมตื่นจากภวังค์มาพบเจ้าของเสียงที่กำลังหรี่ตาละเอียดแสงทิพย์โซดาลงคอ โดยสายตานั้นได้เหม่อมองไปทางอื่นแล้ว

“อะไรของเมิงวะ? เรื่องมันก็ผ่านมานานมากแล้วนะโว๊ย! กะอีแค่ขึ้นรถผิด”

ผมยิ้มอ่อนถอนหายใจ หยิบแก้วเหล้าขึ้นจิบบ้าง
“ลืมยากเหมือนกันว่ะ บางทีกูถึงกับเก็บไปฝัน”

ครับ ช่วงปีนั้นผมกับเพื่อนก็ยังคงใช้เวลาบางวันหลังเลิกงานมานั่งดื่มกินกันอยู่ที่ร้านริมถนนพุทธมณฑลสาย4 ร้านเดิมแห่งนี้
เรามีเรื่องมาผลัดกันเล่า ผลัดกันเครียด ผลัดกันหัวเราะได้ไม่เว้นแต่ละวัน ภายใต้บรรยากาศเดิมๆ ริมถนนเส้นเดิม
วัฒนธรรมการใช้รถบนท้องถนนก็ยังคงหลากหลายเช่นเดิม

ยังคงมีรถโดยสารกระบะ2 แถว 4ล้อ, รถบรรทุกโดยสาร 6ล้อ ที่ไม่มีให้เห็นบนท้องถนนในกรุงเทพ มีเด็กแว๊นซิ่งมอเตอร์ไซค์ มีพวกรถแต่งซิ่ง

ต่างออกไปตรงที่ตอนนี้ผมได้เรียนรู้แล้วว่า นอกจากรถบรรทุกโดยสาร6ล้อที่วิ่งรับส่งคนทั่วไปแล้ว….
มันยังมีรถบรรทุกโดยสาร6ล้อที่วิ่งรับส่งคนงานของโรงงานต่างๆที่ตั้งอยู่ในละแวกนั้นวิ่งปะปนอยู่อีกด้วย…
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่