เรื่องหมูหมู
“เฮ้ยดูนั่นสิ ขนขึ้นรถไปอีกคอกนึงแล้ว”
รำแห้ง หมูเพศผู้วัยกำลังกินกำลังนอน ตะโกนเรียกให้เพื่อนหมูดู พวกมนุษย์ที่กำลังต้อนหมูคอกหนึ่งขึ้นรถบันทุกสิบล้อขนาดใหญ่
“มันเอาพวกนั้นไปไหนอ่ะ รำแห้ง” กีกี้เพื่อนหมูร่วมคอกถาม
“ปูโธ่ เจ้ากีกี้ มัวแต่กินแล้วก็นอนไม่สนใจอะไรบ้างเลยนะแกน่ะ ฉันสังเกตุพวกคอกก่อนหน้าที่ถูกขนไปไม่มีซักตัวที่จะได้กลับมาอีก แล้วแกคิดว่ามันเอาพวกนั้นไปไหนล่ะ”
“รำแห้งหมายความว่า” กีกี้เบิกตาโต “รำแห้งหมายความว่าเขาจะเอาเราไปใช้แรงงานหรอ ไม่นะไม่ กีกี้ถนัดเรื่องกินกับนอนเท่านั้นเรื่องอื่นกีกี้ไม่ถนัด ง่ะ” พูดเสร็จกีกี้ก็วิ่งวนไปมา
“เจ้างั่งกีกี้เอ๊ย” รำแห้งใช้กีบคู่หน้ากระโดดถีบไปที่พุงหนาของกีกี้ จนกีกี้หงายท้องม้วนตัวไปสองสามตลบ
“หมูอ้วนๆ อย่างพวกเราเนี่ยนะมันจะเอาไปใช้แรงงานอะไรว่ะ มันจะเอาพวกเราไปเชือดเว้ย” กีกี้รีบม้วนตัวกลับมายืนอย่างรวดเร็วตามเดิม ใบหน้าซีดเผือก
“รำแห้งหมายควมว่าเราจะถูกเจื๋อนหรอ” กีกี้ถามเสียงสั่น
“เออซิวะกีกี้ ฉันว่าพวกเราต้องทำอะไรซักอย่างแล้วล่ะ”
“ไม่นะไม่ กีกี้ยังไม่อยากตายง่ะ กีกี้ยังโสดซิงอยู่เลยนะ กีกี้คงตายตาไม่หลับแน่เลยอ่ะ แง” กีกี้ร้องครวญหงายท้องบิดตัวไปมา
“เจ้างั่งกีกี้ หุบปากก่อนเว้ยฉันจะใช้ความคิด” รำแห้งใช้กีบคู่หลังกระโดดถีบแบบม้าดีดใส่สีข้างของกีกี้
“โอ๊ย ก็กีกี้กลัวนี่รำแห้ง งั้นรำแห้งคิดไปล่ะกันนะ กีกี้ขอตัวไปนอนก่อน” พูดเสร็จกีกี้ก็เดินไปทิ้งตัวลงนอนหงายท้องกลิ้งเกลือกอย่างสบายใจ ที่มุมหนึ่งของคอก
“แกแน่ใจนะว่าแกกลัวน่ะกีกี้” รำแห้งตะโกนไล่หลัง
วันนั้นทั้งวันผ่านไปด้วยการประชุมระดมความคิดแบบหมูหมูของรำแห้งและเพื่อนหมูในคอกซึ่งก็ได้ข้อสรุปว่าจะหนีไปตายเอาดาบหน้าดีกว่าอยู่ให้เขาเอาไปเชือด ส่วนเจ้ากีกี้ก็ยังคงใช้ชีวิตสำราญแบบกีกี้ไม่ได้สนใจเรื่องราวอะไรนัก
ตกดึกคืนนั้น
“กีกี้ กีกี้ ตื่นได้แล้วเว้ย” รำแห้งใช้กีบหน้าสะกิดกีกี้
“อะไรหรอรำแห้ง นี่มันดึกแล้วนะกีกี้ง่วง” กีกี้ตอบด้วยเสียงงัวเงีย
“เจ้าบ้ากีกี้แกไม่ได้ฟังที่เขาประชุมกันเลยใช่ไหมเนี่ย ได้เวลาหนีแล้วเว้ยตื่นตื่น”
กีกี้ลุกขึ้นด้วยท่าทีงัวเงีย เพื่อนหมูในคอกตื่นกันหมดแล้ว ด่านแรกที่ต้องฝ่าคือประตูกั้นคอกที่ถูกล็อคด้วยกลอนล็อคประตู รำแห้งกระโดดขี่หลังกีกี้ ค่อยๆใช้กีบคู่หน้าเลื่อนล็อคประตูออกได้สำเร็จ รำแห้งเดินนำหน้าตามด้วยกีกี้และเพื่อนหมูทยอยเดินออกจากคอกกั้นทีล่ะตัวเป็นแถวเรียงหนึ่ง ออกมาบริเวณทางเดินแล้ว รำแห้งเดินนำไปยังหน้าประตูโรงเพาะเลี้ยงพบว่ามี เจ้าหน้าที่ดูแลนั่งหลับอยู่หน้าบริเวณทางออกหนึ่งคน รำแห้งจึงกระซิบบอกเพื่อนๆ ให้เดินตามกันมาด้วยฝีเท้าที่เบาที่สุด รำแห้งค่อยๆ ย่องเดินนำหน้าเพื่อนผ่านหน้าคนดูแลทีละตัว ทีละตัว จนครบทุกตัว โดยที่คนดูแลยังหลับอยู่ตามเดิม
อิสรภาพอยู่ข้างหน้าแล้ว ข้างหน้าอีกประมาณร้อยเมตรเป็นทางออกจากฟาร์มแห่งนี้ หมูกว่าห้าสิบชีวิต ต่างวิ่งอย่างเต็มฝีเท้ามุ่งไปยังประตูสู่อิสรภาพ
แต่อนิจจาเหล่าหมูหารู้ไม่ว่าฟาร์มแห่งนี้ติดเซ็นเซอร์กันขโมยไว้ด้วย ซึ่งเซ็นเซอร์นี้ติดตั้งอยู่บริเวณทางเข้าออกทุกทาง เมื่อบรรดาหมูวิ่งไปได้ครึ่งทางก็ไปสัมผัสเอาเซ็นเซอร์เข้า
ปี๊ป่อ ปี๊ป่อ...
เสียงไซเรนดังขึ้นไปทั่วบริเวณ นายป๋องเจ้าหน้าที่คนดูแลหมูสดุ้งตื่น วิ่งออกมาดูพบว่า เหล่าหมูต่างวิ่งแตกตื่นไปกันตัวล่ะทิศล่ะทางด้วยความตกใจกลัว
ผู้อำนวยการของฟาร์มและเจ้าหน้าที่ดูแลฟาร์มต่างวิ่งมาดูกันอย่างพร้อมเพียง
“ไอ้คุณป๋อง คุณเฝ้าหมูยังไงหมูถึงได้หลุดมาขนาดนี้” ผู้อำนวยการตะโกนถามนายป๋อง
“ขอโทษครับหัวหน้า พอดีผม...”
“งีบหลับ” ผู้อำนวยการช่วยพูดต่อให้จบประโยค
“ครับหัวหน้า ผมขอโทษครับ”
“ช่างเถอะตอนนี้ช่วยกันจับก่อนดีกว่า”
“เออหัวหน้าครับ หมูคอกนี้พรุ่งนี้ก็ต้องถูกส่งไปแล้วผมว่าเราจับหมูขึ้นรถบรรทุกเลยดีไหมครับ ถ้าจับเข้าคอกพรุ่งนี้ก็ต้องมาต้องต้อนขึ้นรถบรรทุกอีกอยู่ดี”
“เออดีเหมือนกัน งั้นแกไปถอยรถมา”
“ครับหัวหน้า”
เจ้าหน้าที่ต่างช่วยกันจับหมูขึ้นรถบรรทุกอย่างทุลักทุเล เพราะแต่ล่ะตัวต่างตกใจวิ่งไปทั่วฟาร์มพอจับได้ก็ดิ้นใหญ่ ใช้เวลากว่าสองชั่วโมงกว่าจะจับทุกตัวขึ้นรถได้หมด
เช้าวันนั้น
รถบรรทุกเริ่มขับเคลื่อนออกจากฟาร์ม บรรดาหมูทั้งหลายในรถบรรทุกต่างมีอาการเศร้าซึม เพราะรู้ในชะตากรรมของตนเอง ยกเว้นกีกี้ที่รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นโลกภายนอกฟาร์ม
“กีกี้ แกนี่ไม่รู้สึกทุกร้อนอะไรเลยนะไม่ว่าสถานการณ์ไหนอ่ะ” รำแห้งพูดกับกีกี้
“จะทุกข์ไปทำไมล่ะรำแห้งจะเร็วจะช้ายังไงก็ต้องตายเข้าซักวัน อย่างน้อยเราเกิดเป็นหมูการตายของพวกเราก็ได้ไปต่อชีวิตให้สัตว์อื่นนะ กีกี้ว่าเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้สร้างกุศล เผื่อชาติหน้าเราจะได้ไปต้องกลับมาเกิดเป็นหมูอีกไง กีกี้อโหสิให้พวกมนุษย์แล้วล่ะ”
รำแห้งจ้องหน้า กีกี้ น้ำตาค่อยๆ ซึมออกมาจากนัยตาทั้งสองข้าง เพราะประทับใจในวาทะของกีกี้เพื่อนรักของเขา
.
.
.
รถบรรทุกได้ขนพันธ์หมูหายากและใกล้สูญพันธ์ จำนวนห้าสิบตัวจากสถานเพาะเลี้ยงพันธ์หมูหายากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขนส่งไปยัง Pig paradise ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเขาใหญ่จังหวัดนครนายก สวรรค์ของเหล่าหมูในพื้นที่ขนาดห้าร้อยไร่ ณ สถานที่แห่งนี้ หมูจะถูกปล่อยเป็นอิสระภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่อย่างใกล้ชิด
จบ
เรื่องนี้เคยแต่งแล้วนำมาลง pantip เมื่อ 12 ปีที่แล้วตั้งแต่ Pantip เวอร์ชั่นเก่า และเคยส่งไปลงนิตยสารธรรมะออนไลน์ฉบับหนึ่งด้วย พอดีไปค้นเจอ เลยขออนุญาตินำมาแบ่งปันเพื่อนๆ อีกซักครั้งครับ
เรื่อง หมูหมู
“เฮ้ยดูนั่นสิ ขนขึ้นรถไปอีกคอกนึงแล้ว”
รำแห้ง หมูเพศผู้วัยกำลังกินกำลังนอน ตะโกนเรียกให้เพื่อนหมูดู พวกมนุษย์ที่กำลังต้อนหมูคอกหนึ่งขึ้นรถบันทุกสิบล้อขนาดใหญ่
“มันเอาพวกนั้นไปไหนอ่ะ รำแห้ง” กีกี้เพื่อนหมูร่วมคอกถาม
“ปูโธ่ เจ้ากีกี้ มัวแต่กินแล้วก็นอนไม่สนใจอะไรบ้างเลยนะแกน่ะ ฉันสังเกตุพวกคอกก่อนหน้าที่ถูกขนไปไม่มีซักตัวที่จะได้กลับมาอีก แล้วแกคิดว่ามันเอาพวกนั้นไปไหนล่ะ”
“รำแห้งหมายความว่า” กีกี้เบิกตาโต “รำแห้งหมายความว่าเขาจะเอาเราไปใช้แรงงานหรอ ไม่นะไม่ กีกี้ถนัดเรื่องกินกับนอนเท่านั้นเรื่องอื่นกีกี้ไม่ถนัด ง่ะ” พูดเสร็จกีกี้ก็วิ่งวนไปมา
“เจ้างั่งกีกี้เอ๊ย” รำแห้งใช้กีบคู่หน้ากระโดดถีบไปที่พุงหนาของกีกี้ จนกีกี้หงายท้องม้วนตัวไปสองสามตลบ
“หมูอ้วนๆ อย่างพวกเราเนี่ยนะมันจะเอาไปใช้แรงงานอะไรว่ะ มันจะเอาพวกเราไปเชือดเว้ย” กีกี้รีบม้วนตัวกลับมายืนอย่างรวดเร็วตามเดิม ใบหน้าซีดเผือก
“รำแห้งหมายควมว่าเราจะถูกเจื๋อนหรอ” กีกี้ถามเสียงสั่น
“เออซิวะกีกี้ ฉันว่าพวกเราต้องทำอะไรซักอย่างแล้วล่ะ”
“ไม่นะไม่ กีกี้ยังไม่อยากตายง่ะ กีกี้ยังโสดซิงอยู่เลยนะ กีกี้คงตายตาไม่หลับแน่เลยอ่ะ แง” กีกี้ร้องครวญหงายท้องบิดตัวไปมา
“เจ้างั่งกีกี้ หุบปากก่อนเว้ยฉันจะใช้ความคิด” รำแห้งใช้กีบคู่หลังกระโดดถีบแบบม้าดีดใส่สีข้างของกีกี้
“โอ๊ย ก็กีกี้กลัวนี่รำแห้ง งั้นรำแห้งคิดไปล่ะกันนะ กีกี้ขอตัวไปนอนก่อน” พูดเสร็จกีกี้ก็เดินไปทิ้งตัวลงนอนหงายท้องกลิ้งเกลือกอย่างสบายใจ ที่มุมหนึ่งของคอก
“แกแน่ใจนะว่าแกกลัวน่ะกีกี้” รำแห้งตะโกนไล่หลัง
วันนั้นทั้งวันผ่านไปด้วยการประชุมระดมความคิดแบบหมูหมูของรำแห้งและเพื่อนหมูในคอกซึ่งก็ได้ข้อสรุปว่าจะหนีไปตายเอาดาบหน้าดีกว่าอยู่ให้เขาเอาไปเชือด ส่วนเจ้ากีกี้ก็ยังคงใช้ชีวิตสำราญแบบกีกี้ไม่ได้สนใจเรื่องราวอะไรนัก
ตกดึกคืนนั้น
“กีกี้ กีกี้ ตื่นได้แล้วเว้ย” รำแห้งใช้กีบหน้าสะกิดกีกี้
“อะไรหรอรำแห้ง นี่มันดึกแล้วนะกีกี้ง่วง” กีกี้ตอบด้วยเสียงงัวเงีย
“เจ้าบ้ากีกี้แกไม่ได้ฟังที่เขาประชุมกันเลยใช่ไหมเนี่ย ได้เวลาหนีแล้วเว้ยตื่นตื่น”
กีกี้ลุกขึ้นด้วยท่าทีงัวเงีย เพื่อนหมูในคอกตื่นกันหมดแล้ว ด่านแรกที่ต้องฝ่าคือประตูกั้นคอกที่ถูกล็อคด้วยกลอนล็อคประตู รำแห้งกระโดดขี่หลังกีกี้ ค่อยๆใช้กีบคู่หน้าเลื่อนล็อคประตูออกได้สำเร็จ รำแห้งเดินนำหน้าตามด้วยกีกี้และเพื่อนหมูทยอยเดินออกจากคอกกั้นทีล่ะตัวเป็นแถวเรียงหนึ่ง ออกมาบริเวณทางเดินแล้ว รำแห้งเดินนำไปยังหน้าประตูโรงเพาะเลี้ยงพบว่ามี เจ้าหน้าที่ดูแลนั่งหลับอยู่หน้าบริเวณทางออกหนึ่งคน รำแห้งจึงกระซิบบอกเพื่อนๆ ให้เดินตามกันมาด้วยฝีเท้าที่เบาที่สุด รำแห้งค่อยๆ ย่องเดินนำหน้าเพื่อนผ่านหน้าคนดูแลทีละตัว ทีละตัว จนครบทุกตัว โดยที่คนดูแลยังหลับอยู่ตามเดิม
อิสรภาพอยู่ข้างหน้าแล้ว ข้างหน้าอีกประมาณร้อยเมตรเป็นทางออกจากฟาร์มแห่งนี้ หมูกว่าห้าสิบชีวิต ต่างวิ่งอย่างเต็มฝีเท้ามุ่งไปยังประตูสู่อิสรภาพ
แต่อนิจจาเหล่าหมูหารู้ไม่ว่าฟาร์มแห่งนี้ติดเซ็นเซอร์กันขโมยไว้ด้วย ซึ่งเซ็นเซอร์นี้ติดตั้งอยู่บริเวณทางเข้าออกทุกทาง เมื่อบรรดาหมูวิ่งไปได้ครึ่งทางก็ไปสัมผัสเอาเซ็นเซอร์เข้า
ปี๊ป่อ ปี๊ป่อ...
เสียงไซเรนดังขึ้นไปทั่วบริเวณ นายป๋องเจ้าหน้าที่คนดูแลหมูสดุ้งตื่น วิ่งออกมาดูพบว่า เหล่าหมูต่างวิ่งแตกตื่นไปกันตัวล่ะทิศล่ะทางด้วยความตกใจกลัว
ผู้อำนวยการของฟาร์มและเจ้าหน้าที่ดูแลฟาร์มต่างวิ่งมาดูกันอย่างพร้อมเพียง
“ไอ้คุณป๋อง คุณเฝ้าหมูยังไงหมูถึงได้หลุดมาขนาดนี้” ผู้อำนวยการตะโกนถามนายป๋อง
“ขอโทษครับหัวหน้า พอดีผม...”
“งีบหลับ” ผู้อำนวยการช่วยพูดต่อให้จบประโยค
“ครับหัวหน้า ผมขอโทษครับ”
“ช่างเถอะตอนนี้ช่วยกันจับก่อนดีกว่า”
“เออหัวหน้าครับ หมูคอกนี้พรุ่งนี้ก็ต้องถูกส่งไปแล้วผมว่าเราจับหมูขึ้นรถบรรทุกเลยดีไหมครับ ถ้าจับเข้าคอกพรุ่งนี้ก็ต้องมาต้องต้อนขึ้นรถบรรทุกอีกอยู่ดี”
“เออดีเหมือนกัน งั้นแกไปถอยรถมา”
“ครับหัวหน้า”
เจ้าหน้าที่ต่างช่วยกันจับหมูขึ้นรถบรรทุกอย่างทุลักทุเล เพราะแต่ล่ะตัวต่างตกใจวิ่งไปทั่วฟาร์มพอจับได้ก็ดิ้นใหญ่ ใช้เวลากว่าสองชั่วโมงกว่าจะจับทุกตัวขึ้นรถได้หมด
เช้าวันนั้น
รถบรรทุกเริ่มขับเคลื่อนออกจากฟาร์ม บรรดาหมูทั้งหลายในรถบรรทุกต่างมีอาการเศร้าซึม เพราะรู้ในชะตากรรมของตนเอง ยกเว้นกีกี้ที่รู้สึกตื่นเต้นที่ได้เห็นโลกภายนอกฟาร์ม
“กีกี้ แกนี่ไม่รู้สึกทุกร้อนอะไรเลยนะไม่ว่าสถานการณ์ไหนอ่ะ” รำแห้งพูดกับกีกี้
“จะทุกข์ไปทำไมล่ะรำแห้งจะเร็วจะช้ายังไงก็ต้องตายเข้าซักวัน อย่างน้อยเราเกิดเป็นหมูการตายของพวกเราก็ได้ไปต่อชีวิตให้สัตว์อื่นนะ กีกี้ว่าเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้สร้างกุศล เผื่อชาติหน้าเราจะได้ไปต้องกลับมาเกิดเป็นหมูอีกไง กีกี้อโหสิให้พวกมนุษย์แล้วล่ะ”
รำแห้งจ้องหน้า กีกี้ น้ำตาค่อยๆ ซึมออกมาจากนัยตาทั้งสองข้าง เพราะประทับใจในวาทะของกีกี้เพื่อนรักของเขา
.
.
.
รถบรรทุกได้ขนพันธ์หมูหายากและใกล้สูญพันธ์ จำนวนห้าสิบตัวจากสถานเพาะเลี้ยงพันธ์หมูหายากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขนส่งไปยัง Pig paradise ซึ่งตั้งอยู่บริเวณเขาใหญ่จังหวัดนครนายก สวรรค์ของเหล่าหมูในพื้นที่ขนาดห้าร้อยไร่ ณ สถานที่แห่งนี้ หมูจะถูกปล่อยเป็นอิสระภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่อย่างใกล้ชิด
จบ
เรื่องนี้เคยแต่งแล้วนำมาลง pantip เมื่อ 12 ปีที่แล้วตั้งแต่ Pantip เวอร์ชั่นเก่า และเคยส่งไปลงนิตยสารธรรมะออนไลน์ฉบับหนึ่งด้วย พอดีไปค้นเจอ เลยขออนุญาตินำมาแบ่งปันเพื่อนๆ อีกซักครั้งครับ