....................
บันทึกหมายเลข 125.1
บันทึกของคนไข้ทางจิต ชื่อไรอัน บี ไรอัน
อาการ : ระยะประเมินภาวะ ความเสี่ยง กำลังดำเนินการ
คุณหมอ กำลังพิจารณา มิเกิล โอ เอเลน ที่ 1
....................
อ้อ คุณหมอครับ บันทึกฉบับนี้ อาจมีอะไรผิดผลาดไปบ้าง มองข้ามไปนะครับ ผมไม่อยากให้คุณหมอเป็นโรคประสาทสวาปาม
คุณหมอ เคยเห็น คนสองมิติ ไหม
งงละสิ...
ฟังดู เป็นคำถามปนบ้าชอบกล แต่ผมก็อยากถามนะครับ ถ้าคนบ้าคนหนึ่ง ถามคุณหมอที่ไม่บ้า มันจะมีความหมายอะไรไหมเอ่ย
ผมรู้นะว่า คุณหมอกำลังทำหน้ายังไง ไม่...ผมไม่ได้เห็นหน้าคุณหมอ เพียงประเมินตามสถานการณ์ อย่าคิดมากสิครับ ผมก็แต่เกริ่นนำเฉย ๆ เพราะรู้ว่า การที่คนเราจะมาบ้าแข่งกัน โอกาสมันน้อย เพราะส่วนมาก คนเรามักจะคิดว่า ฉันไม่บ้า ...ฉันไม่บ้า
เราไม่เคยเห็นผู้คนเถียงกันว่า
“ฉันบ้ากว่า...”
“ไม่...ข้าต่างหาก บ้าที่สุด”
“พวกแกอย่างเถียงกัน ฉันต่างหากบ้าที่สุด บ้ายกกำลังอินฟินิตี พวกแกเทียบรัศมีความบ้าฉันไม่ได้หรอก”
ฟังดูบ้า ๆ นะครับ...
เอ้า... ก็นี่มันบันทึกของคนบ้านี่ครับ อย่าทำหน้าเหมือนคนบ้านะครับคุณหมอ เพราะหลักสากลคือ เป็นจิตแพทย์ห้ามเป็นบ้า เป็นหมอต้องทำหน้าคนปกติให้ดีที่สุด ผมรู้มาว่า บางครั้ง การทำตัวเป็นคนปกติ มันก็ฝืนความรู้สึกของตัวเองชอบกล เพราะแต่ละคน ก็อยากปลดปล่อยตัวเองจากการจองจำ ของความคิดของตัวเองทั้งนั้น
ช่างเถอะ... แต่คำให้การของผม มันคงจะระทึกสะท้าน ความรู้สึก ของคุณหมอได้บ้างละน่า จากนี้เป็นต้นไป อ้อ...อ่านให้จบนะครับ อย่างเพิ่งทิ้งบันทึกของผมลงถังขยะนะครับ อย่าให้รู้เชียว
ว่าด้วยวิชาการนะครับ
ผมว่าคุณหมอ คงจำบทเรียนวิชาฟิสิกส์ได้---มิติ ความหมายโดยทั่วไปหมายถึง สิ่งที่บอกคุณสมบัติของวัตถุ ได้แก่ ความกว้าง ความยาว และ ความสูง ส่วนในทางคณิตศาสตร์ มิติ หมายถึงจำนวนตัวเลขที่ต้องการเพื่อระบุตำแหน่งและคุณสมบัติของวัตถุใด ๆ ส่วน ‘เวลา’ สามารถใช้เป็นมิติที่สามหรือที่สี่ ในการกำหนดตำแหน่งได้ อ้าว.....อย่าเพิ่งทำหน้าแปลก ๆ สิครับ เดี๋ยวเขาก็หาว่าคุณหมอบ้าเข้าให้เสียหรอก คุณหมอต้องรักษาความนิ่งให้ดี ไม่ว่าจะไม่รู้เรื่องยังไงก็ตาม
ไม่ยากใช่ไหมครับ ถึงจะฟังดูยาก ๆ แต่ที่ว่ามา มันเกี่ยวกับสิ่งที่ผมเจอ
เอาละ ผมเริ่มเล่าแล้วนะ ตั้งสติให้ดี
เธอเดินออกจากผนังห้องที่บ้านพักของผม !
แค่ประโยคนี้ ประโยคเดียว ก็คงทำให้คุณหมอ งง สงสัย แล้ว ผมรู้
ให้ตายสิ... ผมไม่สนใจหรอกว่าคุณหมอจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่ที่ผมสนใจคือผมไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่สมควรจะถูกจับมาอยู่ในสถานที่บ้า ๆ แห่งนี้ด้วยซ้ำไป ถึงมันจะมีชื่อฟังดูดี---สถานที่วิเคราะห์โรคทางจิต--- แต่พูดจริง ๆ นะครับ ยังไงผมแน่ใจว่าผมไม่ได้บ้า นั่น..เข้าทางคุณหมอละสิ คนบ้าไม่รับว่าตัวเองบ้า แต่คิดให้ดีนะครับ ก็คนบ้าที่ไหนจะมานั่งเขียนบันทึกเป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้ได้ละ ก็หวังว่าอย่างน้อยบันทึกของผม คงทำให้คุณหมอเอาไปทำผลงานประจำปีได้บ้างนะครับ
เอาละ มาพูดถึงเรื่องที่ผมพูดค้างเอาไว้ ใช่ครับ... เธอเดินออกมาจากผนังห้องของผม จริงแท้แน่นอน ไม่ได้ฟั่นเฟือน
ถึงจุดนี้ ผมต้องถามคุณหมอละว่า เคยอ่านนิยายเรื่อง Flatland ไหมครับ มันเกี่ยวอะไรกับสิ่งที่ผมจะเล่า เอาเป็นว่าผมอยากให้คุณหมอรู้เสียก่อนเท่านั้น รู้แบบไม่ต้องเข้าใจก็ได้ครับ
หมอลองคิดดูนะครับ...เรามาเริ่มจากโลกหนึ่งมิติก่อน ในมุมมองของ ‘จุด’ ย่อมมองไม่เห็น ภาพของ สี่เหลี่ยม ขณะที่ สี่เหลี่ยม ไม่เข้าใจความหมายของลูกบาศก์ (ไอ้ลูกบาศก็มันเกินจินตนาการของโลกสองมิติ)
เอาเข้าไป...
แน่นอนว่า...เราในโลกสามมิติ ก็จินตนาการถึงสี่มิติไม่ได้ ทั้งยังไม่มีความสามารถที่จะจำลองภาพให้เห็น โดยประสาทสัมผัสที่มีอยู่ ทางหนึ่งที่เราจะรับรู้มิติที่สูงกว่าก็คือ "การมาเยือน" ของวัตถุจากมิตินั้นเหมือนสิ่งมีชีวิตสามมิติ บุกรุกอาณาสองมิติในนิยาย
ยังงงไม่หาย ละสิคุณหมอ…ไม่เป็นไรครับ ว่ากันต่อไปดีกว่า
Flatland เป็นนิยายวิทยาศาสตร์รุ่นเก่า เขียนไว้ตั้งแต่ร้อยกว่าปีมาแล้ว ส่วนใครเขียนผมจำไม่ได้หรอกครับ เพราะตีพิมพ์ครั้งแรกอย่างไร้ชื่อ เรื่องราวว่าด้วยอาณาจักรแบน ที่มีสองมิติคือกว้างและยาว สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรนี้ จะมีรูปร่างเป็นเหลี่ยมทรงต่าง ๆ มีพฤติกรรม สติปัญญาและรูปแบบสังคม ไม่ต่างอะไรจากสิ่งมีชีวิตในจักรวาลสามมิติอย่างเรา ผู้เขียนเล่าเรื่องใน ‘อาณาจักรแบน’ ด้วยมุมมองของบุคคลที่หนึ่ง-สี่เหลี่ยมแบน ๆ ผ่านมุมมองแบน ๆ ซึ่งบรรยายภูมิศาสตร์ สังคมและประวัติศาสตร์ของอาณาจักรสองมิติ แทรกประเด็นเสียดสีสังคมในยุควิคโตเรี่ยน ไว้อย่างเจ็บแสบ
สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรแบน แบ่งเป็นสองเพศ คือหญิงและชาย เพศหญิงมีรูปร่างเป็นเส้นตรงอย่างเดียว ส่วนเพศชายมีรูปร่างหลากเหลี่ยมตั้งแต่สามเหลี่ยมฐานแคบไปจนถึงรูปร่างร้อยเหลี่ยม---แค่นี้ ก็พอแล้วละ ผมรู้นะว่าคุณหมอกำลังหน้านิ่วคิ้วขมวด ว่าตูข้าอยู่โลกกี่มิติกันแน่ ประมาณว่ามันอาจพ้นวิสัยสามัญสำนึกเส้นตรงที่มองเห็นเพียง จุด ที่จะเข้าใจได้
สิ่งที่น่าคิดและน่าขำคือ ในเมื่ออยู่ในโลกสองมิติ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้แยกแยะรูปร่างต่าง ๆ ได้อย่างไร เพราะมุมมองของพวกเขาเป็นสองมิติเท่านั้น บ้าไหมละคุณหมอ...คนแต่งเรื่องยังตอบคำถามนี้ไม่ได้เลยครับ เพราะในมุมมองสองมิติ โค้งหักศอก ก็น่าจะเป็นเพียงเส้นตรงเส้นหนึ่ง นอกจากจะมีจุดสังเกตที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจ
ไม่เป็นไร ผมก็แค่หาเรื่อง ให้คุณหมอปวดหัวเล่นเท่านั้น
แต่อย่างน้อยมันก็เกี่ยวข้องกับเรื่องของผม ที่จะเล่าให้ฟังต่อไปนี่ละครับ
บ้านของผมถึงจะไม่ใหญ่โตหรูหรา แต่มันก็คือบ้านที่มีห้องนอน ห้องอาหารและห้องนั่งเล่นอย่างละห้อง ยังไม่รวมห้องครัวเพราะยังไงมันก็ต้องมีอยู่แล้วจริงไหมครับ แล้วผมคงไม่ต้องพูดถึงห้องน้ำให้อุจาดนะครับ ผมรู้ว่าคุณหมอไม่ได้ปัญญาอ่อน ถึงขนาดจะถามว่าบ้านมีห้องน้ำไหม สรุปว่าก็คือเป็นบ้านน่าอยู่หลังหนึ่ง มันต้องมีอะไรที่ควรมีให้ครบถ้วน แม้ว่าคนที่เคยอยู่จะจากไปแล้วก็ตาม แต่บ้านไม่ได้เปลี่ยนไปด้วย
เอ้า..งงต่อไปเลยครับ ผมหมายถึงเอเวลีน อดีตภรรยาของผม ที่หย่าร้างไปแล้วหลายปี เธอไม่ได้ไปตายที่ไหน แต่เธอไปได้ดีกับคนรักใหม่ ส่วนจะเพราะอะไรก็ช่างเถอะครับ เพราะไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่ผมจะเล่าต่อไป
เกือบเดือนมาแล้วที่ผนังห้องนอนของผม ปรากฏภาพของผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นเธอไม่ได้เหมือนผู้หญิงสองมิติแบบในเรื่องอาณาจักรแบน เพราะเธอไม่ใช่เส้นตรง เธอเหมือนภาพของผู้หญิงธรรมดา มีขนาดเท่าคนจริง ๆ หน้าตาดูดีเชียวละ ชุดของเธอดูพิลึกมาก เหมือนเป็นผ้าไหมรัดรูปตัดแนบเนื้อสีเงินชนิดที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน และก็แน่ใจว่า ไม่มีผู้หญิงคนไหนจะแต่งกายด้วยชุดแบบนี้ ดวงตาของเธอมีสีเงินแวววับเป็นประกายอย่างประหลาด ผมแน่ใจว่า ไม่ได้เมา ถึงขนาดจะเอารูปของผู้หญิงมาติดไว้ข้างฝา เพราะภาพของเธอเรียบเนียนกลมกลืนไปกับผนังห้องราวกับฝ่าผนังมันสร้างภาพขึ้นมาเอง
แน่นอนว่าผมไม่ได้หวาดกลัว เพราะรูปร่างหน้าตาของเธอดีเกินกว่าจะทำให้ตกใจหวาดผวา มีเพียงความประหลาดใจเท่านั้นว่าเกิดภาพขึ้นมาได้อย่างไร สิ่งที่ทำได้ในตอนนั้นคือ เอาโทรศัพท์มือถือมาถ่ายภาพเอาไว้ เพื่อเป็นหลักฐานว่าไม่ได้เกิดจากอาการประสาทหลอน เธอเหมือนคนจริงมาก ถ้าจะมีใครสักคนวาดขึ้นมา จะต้องมีฝีมือระดับเทพเลยทีเดียว แน่นอนว่าไม่ใช่ผม
ตื่นเช้ามาก่อนไปทำงาน ผมยังเห็นภาพของเธอปรากฏชัดเจน แสดงว่าไม่ใช่ภาพหลอน วันนั้นผมไปทำงาน ไม่ได้เอาภาพในโทรศัพท์ให้ใครดู เพราะไม่แน่ใจว่าคนอื่นจะคิดยังไง พอเลิกงานผมรีบบึ่งกลับบ้านทันที รีบตรงขึ้นไปยังห้องนอนก่อนอย่างอื่น
แน่นอนครับ เธอยังอยู่เหมือนเดิม แถมยังมีการจัดท่าทางต่างไปจากเดิมเล็กน้อย ผมไม่เชื่อหรอกว่าจะเป็นเรื่องของผีหลอกวิญญาณหลอน เพียงแต่ยังหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ หลังจากนั้นอีกสามวันต่อมา ภาพของเธอก็เปลี่ยนอิริยาบถไปเรื่อย ๆ เหมือนฟิล์มภาพยนตร์
สิ่งที่ทำตอนนั้นคือเก็บความงุนงงสงสัยไว้ในใจเท่านั้น ไปเล่าให้คนอื่นฟังคงไม่มีใครเชื่อ แต่สิ่งหนึ่งที่มากขึ้นตามวันเวลาคือ ความผูกพันที่มีต่อภาพนั้น ผมเปิดไฟนอน โดยจ้องมองภาพด้านข้างด้วยความรู้สึกไม่เงียบเหงาอีกต่อไป การอยู่คนเดียวจะว่าไปก็สบายดี ไม่ต้องวุ่นวายกับใครมากมาย แต่ความเหงาใจก็มีเป็นธรรมดา ไม่มากก็น้อย อย่าบอกนะว่าคุณหมอไม่เคยเหงา เพราะถ้าบอก ผมจะสวนทันทีว่า จ้างก็ไม่เชื่อ
สิ่งที่ผมคิดตอนนั้นคือ ถ้าผม ‘แซะ’ เธออกมาจากผนังซึ่งเป็นจักรวาลสองมิติ เธอจะเจ็บปวด เหมือนคนในโลกสองมิติ ถูกแซะ ออกมาอยู่ในโลกสามมิติไหมนะ ... มันคงเจ็บปวดเกินจินตนาการ
ดังนั้นผมจึงเลิกคิดอะไรบ้าบอ
พอเย็นวันที่เจ็ด บนผนังไม่มีภาพของเธออีกต่อไป เปล่าครับ... เธอไม่ได้หายไปไหน มีเรื่องน่าตกใจมากกว่านั้น บนเตียงนอนของผม มีร่างของเธอนอนแน่นิ่งอยู่อย่างเหลือเชื่อ ผมตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก ได้แต่หันรีหันขวางอยู่พักหนึ่ง จึงสะกดใจลองตรวจเข้าไปตรวจดูอาการเบื้องต้นแบบงู ๆ ปลา ๆ ก็แน่ใจว่าเธอยังมีชีวิตปกติ เพียงไม่รู้สึกตัว
เธอมาอยู่ในโลกสามมิติของเราแล้ว!
ขณะที่กำลังยืนจ้องมองแบบโล่งอก เธอลืมตาขึ้นพลางลุกขึ้นนั่ง
คุณหมอเชื่อไหมครับ เธอไม่ได้มีสีหน้าท่าทางตกใจอะไรเลย ทำราวกับว่าคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เธอยิ้มและทักทายด้วยภาษาที่ฟังไม่ออกว่าเป็นภาษาชนชาติใด สำเนียงไพเราะสดใสราวเสียงดนตรี ทำไม้ทำมือประกอบทักทาย แน่นอนว่าผมรับมุกไม่ทัน จำต้องใช้ภาษามือภาษามั่ว ประกอบในการแนะนำตัว ซึ่งเธอสามารถเข้าใจภาษามั่วได้อย่างรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ มองชุดที่เธอสวมใส่ แน่ใจได้เลยว่าออกบ้านไปจะต้องตกเป็นเป้าสายตาพลโลกอย่างแน่นอนเพราะมันวิจิตรพิสดารผิดมนุษย์มนา ยิ่งกว่าออกมาจากหนังแฟนตาซี
นั่นละครับ วันแรกที่เราได้สื่อสาร เห็นตัวกันเป็น ๆ เป็นวันแรกที่ผมต้องย้ายตัวเองออกมานอนห้องนั่งเล่น ปล่อยให้เธอครอบครองห้องนอนไปอย่างช่วยไม่ได้ ส่วนพวกเสื้อผ้า ยังพอมีเสื้อผ้าของเอเวลีนเหลืออยู่ในตู้เสื้อผ้า ไว้ให้ดูต่างหน้าบ้าง ทำให้สาวลึกลับไม่ได้ลำบากในเรื่องชุดสวมใส่มากนัก ผมนึกขอบคุณแฟนเก่าว่ายังมีสิ่งดีๆ เหลือไว้ให้คิดถึง
อยากนึกภาพเลยว่า การที่จะต้องบากหน้าไปซื้อเสื้อผ้าและชุดชั้นในของผู้หญิง จะเป็นเรื่องสยองจิตขนาดไหน เพราะปกติคนโรคจิตมักจะใช้วิธีขโมยชุดชั้นในมากกว่า จะเดินไปซื้อแบบตรงไปตรงมาให้เสียฟอร์มคนโรคจิต แค่คิดก็จะบ้าตาย เดินเข้าไปในร้านขายชุดชั้นใน ที่เต็มไปด้วยบรรดาสายสาว ๆ “คุณครับ ผมขอซื้อชุดชั้นในผู้หญิง” นรกชัด ๆ
ถ้าคุณหมออยากสัมผัสความรู้สึกประสบการณ์ตรงที่สุดบรรยาย เย็นนี้ลองเดินเข้าร้านขายชุดชั้นในสุภาพสตรีดูก็ได้ครับ อ้อ ไม่ใช่เดินเข้าไปเฉย ๆ ต้องซื้อติดมือกลับมาเยอะ ๆ ด้วย ทั้งชิ้นบนชิ้นล่าง เลือกมุมที่คนมุงมาก ๆ
เอ..พูดก็พูดเถอะนะ...ถ้าคุณหมอเล่นให้สมจริง ต้องบอกให้ คนขายลองชุดชั้นในก่อน จึงจะเข้าถึงวิญญาณแห่งโรคจิต แล้วค่อยขาย ไม่เอา ไม่พูด มันทำให้ผมจะเริ่มบ้าตามคุณหมอไปทุกที
แหม อยากเห็นหน้าคุณหมอตอนนั้นจัง จะเขินอายเป็นไหมหนอ...ต้องไม่แน่เลย... ขอโทษนะครับ นอกเรื่องไปหน่อย ถึงจะฟังดูแปลก ๆ ยังไงก็ตาม แต่ผมไม่ได้ หื่น นะครับ
.
.
บันทึกของคนบ้า ...ความรักสองมิติ...1
....................
บันทึกหมายเลข 125.1
บันทึกของคนไข้ทางจิต ชื่อไรอัน บี ไรอัน
อาการ : ระยะประเมินภาวะ ความเสี่ยง กำลังดำเนินการ
คุณหมอ กำลังพิจารณา มิเกิล โอ เอเลน ที่ 1
....................
อ้อ คุณหมอครับ บันทึกฉบับนี้ อาจมีอะไรผิดผลาดไปบ้าง มองข้ามไปนะครับ ผมไม่อยากให้คุณหมอเป็นโรคประสาทสวาปาม
คุณหมอ เคยเห็น คนสองมิติ ไหม
งงละสิ...
ฟังดู เป็นคำถามปนบ้าชอบกล แต่ผมก็อยากถามนะครับ ถ้าคนบ้าคนหนึ่ง ถามคุณหมอที่ไม่บ้า มันจะมีความหมายอะไรไหมเอ่ย
ผมรู้นะว่า คุณหมอกำลังทำหน้ายังไง ไม่...ผมไม่ได้เห็นหน้าคุณหมอ เพียงประเมินตามสถานการณ์ อย่าคิดมากสิครับ ผมก็แต่เกริ่นนำเฉย ๆ เพราะรู้ว่า การที่คนเราจะมาบ้าแข่งกัน โอกาสมันน้อย เพราะส่วนมาก คนเรามักจะคิดว่า ฉันไม่บ้า ...ฉันไม่บ้า
เราไม่เคยเห็นผู้คนเถียงกันว่า
“ฉันบ้ากว่า...”
“ไม่...ข้าต่างหาก บ้าที่สุด”
“พวกแกอย่างเถียงกัน ฉันต่างหากบ้าที่สุด บ้ายกกำลังอินฟินิตี พวกแกเทียบรัศมีความบ้าฉันไม่ได้หรอก”
ฟังดูบ้า ๆ นะครับ...
เอ้า... ก็นี่มันบันทึกของคนบ้านี่ครับ อย่าทำหน้าเหมือนคนบ้านะครับคุณหมอ เพราะหลักสากลคือ เป็นจิตแพทย์ห้ามเป็นบ้า เป็นหมอต้องทำหน้าคนปกติให้ดีที่สุด ผมรู้มาว่า บางครั้ง การทำตัวเป็นคนปกติ มันก็ฝืนความรู้สึกของตัวเองชอบกล เพราะแต่ละคน ก็อยากปลดปล่อยตัวเองจากการจองจำ ของความคิดของตัวเองทั้งนั้น
ช่างเถอะ... แต่คำให้การของผม มันคงจะระทึกสะท้าน ความรู้สึก ของคุณหมอได้บ้างละน่า จากนี้เป็นต้นไป อ้อ...อ่านให้จบนะครับ อย่างเพิ่งทิ้งบันทึกของผมลงถังขยะนะครับ อย่าให้รู้เชียว
ว่าด้วยวิชาการนะครับ
ผมว่าคุณหมอ คงจำบทเรียนวิชาฟิสิกส์ได้---มิติ ความหมายโดยทั่วไปหมายถึง สิ่งที่บอกคุณสมบัติของวัตถุ ได้แก่ ความกว้าง ความยาว และ ความสูง ส่วนในทางคณิตศาสตร์ มิติ หมายถึงจำนวนตัวเลขที่ต้องการเพื่อระบุตำแหน่งและคุณสมบัติของวัตถุใด ๆ ส่วน ‘เวลา’ สามารถใช้เป็นมิติที่สามหรือที่สี่ ในการกำหนดตำแหน่งได้ อ้าว.....อย่าเพิ่งทำหน้าแปลก ๆ สิครับ เดี๋ยวเขาก็หาว่าคุณหมอบ้าเข้าให้เสียหรอก คุณหมอต้องรักษาความนิ่งให้ดี ไม่ว่าจะไม่รู้เรื่องยังไงก็ตาม
ไม่ยากใช่ไหมครับ ถึงจะฟังดูยาก ๆ แต่ที่ว่ามา มันเกี่ยวกับสิ่งที่ผมเจอ
เอาละ ผมเริ่มเล่าแล้วนะ ตั้งสติให้ดี
เธอเดินออกจากผนังห้องที่บ้านพักของผม !
แค่ประโยคนี้ ประโยคเดียว ก็คงทำให้คุณหมอ งง สงสัย แล้ว ผมรู้
ให้ตายสิ... ผมไม่สนใจหรอกว่าคุณหมอจะเชื่อหรือไม่เชื่อ แต่ที่ผมสนใจคือผมไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่สมควรจะถูกจับมาอยู่ในสถานที่บ้า ๆ แห่งนี้ด้วยซ้ำไป ถึงมันจะมีชื่อฟังดูดี---สถานที่วิเคราะห์โรคทางจิต--- แต่พูดจริง ๆ นะครับ ยังไงผมแน่ใจว่าผมไม่ได้บ้า นั่น..เข้าทางคุณหมอละสิ คนบ้าไม่รับว่าตัวเองบ้า แต่คิดให้ดีนะครับ ก็คนบ้าที่ไหนจะมานั่งเขียนบันทึกเป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้ได้ละ ก็หวังว่าอย่างน้อยบันทึกของผม คงทำให้คุณหมอเอาไปทำผลงานประจำปีได้บ้างนะครับ
เอาละ มาพูดถึงเรื่องที่ผมพูดค้างเอาไว้ ใช่ครับ... เธอเดินออกมาจากผนังห้องของผม จริงแท้แน่นอน ไม่ได้ฟั่นเฟือน
ถึงจุดนี้ ผมต้องถามคุณหมอละว่า เคยอ่านนิยายเรื่อง Flatland ไหมครับ มันเกี่ยวอะไรกับสิ่งที่ผมจะเล่า เอาเป็นว่าผมอยากให้คุณหมอรู้เสียก่อนเท่านั้น รู้แบบไม่ต้องเข้าใจก็ได้ครับ
หมอลองคิดดูนะครับ...เรามาเริ่มจากโลกหนึ่งมิติก่อน ในมุมมองของ ‘จุด’ ย่อมมองไม่เห็น ภาพของ สี่เหลี่ยม ขณะที่ สี่เหลี่ยม ไม่เข้าใจความหมายของลูกบาศก์ (ไอ้ลูกบาศก็มันเกินจินตนาการของโลกสองมิติ)
เอาเข้าไป...
แน่นอนว่า...เราในโลกสามมิติ ก็จินตนาการถึงสี่มิติไม่ได้ ทั้งยังไม่มีความสามารถที่จะจำลองภาพให้เห็น โดยประสาทสัมผัสที่มีอยู่ ทางหนึ่งที่เราจะรับรู้มิติที่สูงกว่าก็คือ "การมาเยือน" ของวัตถุจากมิตินั้นเหมือนสิ่งมีชีวิตสามมิติ บุกรุกอาณาสองมิติในนิยาย
ยังงงไม่หาย ละสิคุณหมอ…ไม่เป็นไรครับ ว่ากันต่อไปดีกว่า
Flatland เป็นนิยายวิทยาศาสตร์รุ่นเก่า เขียนไว้ตั้งแต่ร้อยกว่าปีมาแล้ว ส่วนใครเขียนผมจำไม่ได้หรอกครับ เพราะตีพิมพ์ครั้งแรกอย่างไร้ชื่อ เรื่องราวว่าด้วยอาณาจักรแบน ที่มีสองมิติคือกว้างและยาว สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรนี้ จะมีรูปร่างเป็นเหลี่ยมทรงต่าง ๆ มีพฤติกรรม สติปัญญาและรูปแบบสังคม ไม่ต่างอะไรจากสิ่งมีชีวิตในจักรวาลสามมิติอย่างเรา ผู้เขียนเล่าเรื่องใน ‘อาณาจักรแบน’ ด้วยมุมมองของบุคคลที่หนึ่ง-สี่เหลี่ยมแบน ๆ ผ่านมุมมองแบน ๆ ซึ่งบรรยายภูมิศาสตร์ สังคมและประวัติศาสตร์ของอาณาจักรสองมิติ แทรกประเด็นเสียดสีสังคมในยุควิคโตเรี่ยน ไว้อย่างเจ็บแสบ
สิ่งมีชีวิตในอาณาจักรแบน แบ่งเป็นสองเพศ คือหญิงและชาย เพศหญิงมีรูปร่างเป็นเส้นตรงอย่างเดียว ส่วนเพศชายมีรูปร่างหลากเหลี่ยมตั้งแต่สามเหลี่ยมฐานแคบไปจนถึงรูปร่างร้อยเหลี่ยม---แค่นี้ ก็พอแล้วละ ผมรู้นะว่าคุณหมอกำลังหน้านิ่วคิ้วขมวด ว่าตูข้าอยู่โลกกี่มิติกันแน่ ประมาณว่ามันอาจพ้นวิสัยสามัญสำนึกเส้นตรงที่มองเห็นเพียง จุด ที่จะเข้าใจได้
สิ่งที่น่าคิดและน่าขำคือ ในเมื่ออยู่ในโลกสองมิติ สิ่งมีชีวิตเหล่านี้แยกแยะรูปร่างต่าง ๆ ได้อย่างไร เพราะมุมมองของพวกเขาเป็นสองมิติเท่านั้น บ้าไหมละคุณหมอ...คนแต่งเรื่องยังตอบคำถามนี้ไม่ได้เลยครับ เพราะในมุมมองสองมิติ โค้งหักศอก ก็น่าจะเป็นเพียงเส้นตรงเส้นหนึ่ง นอกจากจะมีจุดสังเกตที่เราไม่รู้ไม่เข้าใจ
ไม่เป็นไร ผมก็แค่หาเรื่อง ให้คุณหมอปวดหัวเล่นเท่านั้น
แต่อย่างน้อยมันก็เกี่ยวข้องกับเรื่องของผม ที่จะเล่าให้ฟังต่อไปนี่ละครับ
บ้านของผมถึงจะไม่ใหญ่โตหรูหรา แต่มันก็คือบ้านที่มีห้องนอน ห้องอาหารและห้องนั่งเล่นอย่างละห้อง ยังไม่รวมห้องครัวเพราะยังไงมันก็ต้องมีอยู่แล้วจริงไหมครับ แล้วผมคงไม่ต้องพูดถึงห้องน้ำให้อุจาดนะครับ ผมรู้ว่าคุณหมอไม่ได้ปัญญาอ่อน ถึงขนาดจะถามว่าบ้านมีห้องน้ำไหม สรุปว่าก็คือเป็นบ้านน่าอยู่หลังหนึ่ง มันต้องมีอะไรที่ควรมีให้ครบถ้วน แม้ว่าคนที่เคยอยู่จะจากไปแล้วก็ตาม แต่บ้านไม่ได้เปลี่ยนไปด้วย
เอ้า..งงต่อไปเลยครับ ผมหมายถึงเอเวลีน อดีตภรรยาของผม ที่หย่าร้างไปแล้วหลายปี เธอไม่ได้ไปตายที่ไหน แต่เธอไปได้ดีกับคนรักใหม่ ส่วนจะเพราะอะไรก็ช่างเถอะครับ เพราะไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องที่ผมจะเล่าต่อไป
เกือบเดือนมาแล้วที่ผนังห้องนอนของผม ปรากฏภาพของผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นเธอไม่ได้เหมือนผู้หญิงสองมิติแบบในเรื่องอาณาจักรแบน เพราะเธอไม่ใช่เส้นตรง เธอเหมือนภาพของผู้หญิงธรรมดา มีขนาดเท่าคนจริง ๆ หน้าตาดูดีเชียวละ ชุดของเธอดูพิลึกมาก เหมือนเป็นผ้าไหมรัดรูปตัดแนบเนื้อสีเงินชนิดที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน และก็แน่ใจว่า ไม่มีผู้หญิงคนไหนจะแต่งกายด้วยชุดแบบนี้ ดวงตาของเธอมีสีเงินแวววับเป็นประกายอย่างประหลาด ผมแน่ใจว่า ไม่ได้เมา ถึงขนาดจะเอารูปของผู้หญิงมาติดไว้ข้างฝา เพราะภาพของเธอเรียบเนียนกลมกลืนไปกับผนังห้องราวกับฝ่าผนังมันสร้างภาพขึ้นมาเอง
แน่นอนว่าผมไม่ได้หวาดกลัว เพราะรูปร่างหน้าตาของเธอดีเกินกว่าจะทำให้ตกใจหวาดผวา มีเพียงความประหลาดใจเท่านั้นว่าเกิดภาพขึ้นมาได้อย่างไร สิ่งที่ทำได้ในตอนนั้นคือ เอาโทรศัพท์มือถือมาถ่ายภาพเอาไว้ เพื่อเป็นหลักฐานว่าไม่ได้เกิดจากอาการประสาทหลอน เธอเหมือนคนจริงมาก ถ้าจะมีใครสักคนวาดขึ้นมา จะต้องมีฝีมือระดับเทพเลยทีเดียว แน่นอนว่าไม่ใช่ผม
ตื่นเช้ามาก่อนไปทำงาน ผมยังเห็นภาพของเธอปรากฏชัดเจน แสดงว่าไม่ใช่ภาพหลอน วันนั้นผมไปทำงาน ไม่ได้เอาภาพในโทรศัพท์ให้ใครดู เพราะไม่แน่ใจว่าคนอื่นจะคิดยังไง พอเลิกงานผมรีบบึ่งกลับบ้านทันที รีบตรงขึ้นไปยังห้องนอนก่อนอย่างอื่น
แน่นอนครับ เธอยังอยู่เหมือนเดิม แถมยังมีการจัดท่าทางต่างไปจากเดิมเล็กน้อย ผมไม่เชื่อหรอกว่าจะเป็นเรื่องของผีหลอกวิญญาณหลอน เพียงแต่ยังหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ หลังจากนั้นอีกสามวันต่อมา ภาพของเธอก็เปลี่ยนอิริยาบถไปเรื่อย ๆ เหมือนฟิล์มภาพยนตร์
สิ่งที่ทำตอนนั้นคือเก็บความงุนงงสงสัยไว้ในใจเท่านั้น ไปเล่าให้คนอื่นฟังคงไม่มีใครเชื่อ แต่สิ่งหนึ่งที่มากขึ้นตามวันเวลาคือ ความผูกพันที่มีต่อภาพนั้น ผมเปิดไฟนอน โดยจ้องมองภาพด้านข้างด้วยความรู้สึกไม่เงียบเหงาอีกต่อไป การอยู่คนเดียวจะว่าไปก็สบายดี ไม่ต้องวุ่นวายกับใครมากมาย แต่ความเหงาใจก็มีเป็นธรรมดา ไม่มากก็น้อย อย่าบอกนะว่าคุณหมอไม่เคยเหงา เพราะถ้าบอก ผมจะสวนทันทีว่า จ้างก็ไม่เชื่อ
สิ่งที่ผมคิดตอนนั้นคือ ถ้าผม ‘แซะ’ เธออกมาจากผนังซึ่งเป็นจักรวาลสองมิติ เธอจะเจ็บปวด เหมือนคนในโลกสองมิติ ถูกแซะ ออกมาอยู่ในโลกสามมิติไหมนะ ... มันคงเจ็บปวดเกินจินตนาการ
ดังนั้นผมจึงเลิกคิดอะไรบ้าบอ
พอเย็นวันที่เจ็ด บนผนังไม่มีภาพของเธออีกต่อไป เปล่าครับ... เธอไม่ได้หายไปไหน มีเรื่องน่าตกใจมากกว่านั้น บนเตียงนอนของผม มีร่างของเธอนอนแน่นิ่งอยู่อย่างเหลือเชื่อ ผมตกตะลึงทำอะไรไม่ถูก ได้แต่หันรีหันขวางอยู่พักหนึ่ง จึงสะกดใจลองตรวจเข้าไปตรวจดูอาการเบื้องต้นแบบงู ๆ ปลา ๆ ก็แน่ใจว่าเธอยังมีชีวิตปกติ เพียงไม่รู้สึกตัว
เธอมาอยู่ในโลกสามมิติของเราแล้ว!
ขณะที่กำลังยืนจ้องมองแบบโล่งอก เธอลืมตาขึ้นพลางลุกขึ้นนั่ง
คุณหมอเชื่อไหมครับ เธอไม่ได้มีสีหน้าท่าทางตกใจอะไรเลย ทำราวกับว่าคนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เธอยิ้มและทักทายด้วยภาษาที่ฟังไม่ออกว่าเป็นภาษาชนชาติใด สำเนียงไพเราะสดใสราวเสียงดนตรี ทำไม้ทำมือประกอบทักทาย แน่นอนว่าผมรับมุกไม่ทัน จำต้องใช้ภาษามือภาษามั่ว ประกอบในการแนะนำตัว ซึ่งเธอสามารถเข้าใจภาษามั่วได้อย่างรวดเร็วอย่างน่าอัศจรรย์ มองชุดที่เธอสวมใส่ แน่ใจได้เลยว่าออกบ้านไปจะต้องตกเป็นเป้าสายตาพลโลกอย่างแน่นอนเพราะมันวิจิตรพิสดารผิดมนุษย์มนา ยิ่งกว่าออกมาจากหนังแฟนตาซี
นั่นละครับ วันแรกที่เราได้สื่อสาร เห็นตัวกันเป็น ๆ เป็นวันแรกที่ผมต้องย้ายตัวเองออกมานอนห้องนั่งเล่น ปล่อยให้เธอครอบครองห้องนอนไปอย่างช่วยไม่ได้ ส่วนพวกเสื้อผ้า ยังพอมีเสื้อผ้าของเอเวลีนเหลืออยู่ในตู้เสื้อผ้า ไว้ให้ดูต่างหน้าบ้าง ทำให้สาวลึกลับไม่ได้ลำบากในเรื่องชุดสวมใส่มากนัก ผมนึกขอบคุณแฟนเก่าว่ายังมีสิ่งดีๆ เหลือไว้ให้คิดถึง
อยากนึกภาพเลยว่า การที่จะต้องบากหน้าไปซื้อเสื้อผ้าและชุดชั้นในของผู้หญิง จะเป็นเรื่องสยองจิตขนาดไหน เพราะปกติคนโรคจิตมักจะใช้วิธีขโมยชุดชั้นในมากกว่า จะเดินไปซื้อแบบตรงไปตรงมาให้เสียฟอร์มคนโรคจิต แค่คิดก็จะบ้าตาย เดินเข้าไปในร้านขายชุดชั้นใน ที่เต็มไปด้วยบรรดาสายสาว ๆ “คุณครับ ผมขอซื้อชุดชั้นในผู้หญิง” นรกชัด ๆ
ถ้าคุณหมออยากสัมผัสความรู้สึกประสบการณ์ตรงที่สุดบรรยาย เย็นนี้ลองเดินเข้าร้านขายชุดชั้นในสุภาพสตรีดูก็ได้ครับ อ้อ ไม่ใช่เดินเข้าไปเฉย ๆ ต้องซื้อติดมือกลับมาเยอะ ๆ ด้วย ทั้งชิ้นบนชิ้นล่าง เลือกมุมที่คนมุงมาก ๆ
เอ..พูดก็พูดเถอะนะ...ถ้าคุณหมอเล่นให้สมจริง ต้องบอกให้ คนขายลองชุดชั้นในก่อน จึงจะเข้าถึงวิญญาณแห่งโรคจิต แล้วค่อยขาย ไม่เอา ไม่พูด มันทำให้ผมจะเริ่มบ้าตามคุณหมอไปทุกที
แหม อยากเห็นหน้าคุณหมอตอนนั้นจัง จะเขินอายเป็นไหมหนอ...ต้องไม่แน่เลย... ขอโทษนะครับ นอกเรื่องไปหน่อย ถึงจะฟังดูแปลก ๆ ยังไงก็ตาม แต่ผมไม่ได้ หื่น นะครับ
.
.