สัมภาษณ์นี้ผมเคยเขียนไว้เมื่อ 2 ปี ที่แล้ว (อีกเว็ปบอร์ด) ตั้งแต่ตอนน้อง"ไม้" ยังไม่เป็นที่รู้จักเท่าไหร่ วันนี้เลยอยากลงใหม่อีกครั้ง เพื่อแสดงให้เห็นถึงการเลี้ยงดูของครอบครัวน้อง ที่เป็นปัจจัยหลักในการพาน้องไปประสบความสำเร็จ เชื่อว่าถ้าใครอ่านแล้ว คงได้ความรู้นอกจากเรื่องของฟุตบอลไปอีกเรื่องด้วยแน่นอน
คุยกับคุณแม่น้อง อชิตพล คีรีรมย์
ช่วงหลายวันมานี้ ชื่อของเด็กหนุ่ม อายุ 17 ปี นามว่า อชิตพล คีรีรมย์ หรือ ไม้ เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นจากสื่อต่างๆในประเทศ หลายคนสืบหาว่าไอ้เด็กหน้ามนต์คนนี้เป็นใคร มาจากไหน แล้วทำไมถึงได้มีรายชื่อเล่นฟุตบอลอยู่ที่เยอรมัน ประเทศที่มีชื่อเสียงด้านฟุตบอลมาอย่างยาวนานร่วมศตวรรษ
อันที่จริง หากใครจำได้ ชื่อของอชิตพลนั้น เริ่มเป็นที่รู้จักมาประมาณช่วง2-3 เดือนที่ผ่านมาแล้ว โดยในเวลานั้นทีมชาติไทยชุด U-19 ได้มีโอกาสไปแข่งขันในรายการ แพนด้า คัพ ที่ประเทศจีน แล้วดาวยิงร่างกายบึกบึนรายนี้ก็โชว์ฟอร์มได้ดี มีส่วนร่วมกับทั้งสามประตูของทีมชาติไทย โดยเฉพาะลูกที่ยิงนิวซีแลนด์ได้ในนัดที่ 2 ลูกนั้นช่างตรึงใจ และ สวยงามซะเหลือเกิน จนแฟนบอลไทย(รวมทั้งตัวผม) ต่างสงสัยว่าไอ้หมอนี่มันเป็นใครวะ
จนในที่สุด ไปสืบสาวราวเรื่องมาจนได้ข้อมูลว่า เด็กหนุ่มอายุ 17 ปี คนนี้ เป็นคนสัญชาติไทยแท้ แต่ไปเรียนศึกษาอยู่ที่ประเทศเยอรมัน และเล่นอยู่ในชุด
U-19 ของสโมสร TSV 1860 Rosenheim ในระดับลีกา 4 ของเยอรมัน
ส่วนฟอร์มการเล่นก็ไม่ต้องพูดถึง ลงเล่น 23 นัด ยิงไป 25 ประตู จนแฟนบอลหลายๆคนเริ่มตั้งความหวังว่าเค้าจะกลายเป็นศูนย์ทีมชาติไทยคนใหม่ในอนาคต
เอาล่ะ ข้อความข้างต้นหลายๆคนอาจจะพอทราบมาบ้างแล้วจากสื่อต่างๆว่า เด็กหนุ่มคนนี้เล่นอยู่ที่ไหน และฟอร์มการเล่นก็ดีไม่แพ้หน้าตาด้วย
แต่สิ่งที่หลายๆคนอาจจะยังไม่เคยรู้ เกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงดู การผลักดันเอาใจใส่ของผู้ปกครอง ที่ต้องการให้ลูกชายกลายเป็นคนที่มีคุณภาพในการใช้ชีวิต รวมไปถึงความยากลำบากในการพาลูกชายให้ไปถึงฝั่งอยู่ตรงนั้น หรือเรื่องรอยของคราบน้ำตา ที่บั่นทอนจิตใจของครอบครัว วันนี้ผมขอนำเอาคำสัมภาษณ์ของผู้เป็นแม่ ผู้ที่เปรียบเสมือนเป็นคนพายเรือไปส่งลูกยังฝั่งฝัน มาให้ได้รับรู้กัน
จากนักเทนนิส
‘เริ่มแรกตอนเด็กๆเค้าก็เล่นหลายๆชนิดกีฬานะ ก็ไม่เคยไปบังคับหรือต้องการอยากให้เค้าเล่นอะไร ก็เล่นหมด แต่มีอยู่ชนิดหนึ่งที่เค้าจะเล่นได้ค่อนข้างดีเลยก็คือเทนนิส’ คุณแม่เริ่มเล่าเกี่ยวกับเด็กหนุ่มนามว่าไม้
‘หลังจากนั้นก็เล่นมาเรื่อยๆจนถึงฟุตบอล ฟุตบอลนี้ตอนก่อน ลูกบอลมาทางไหนเค้าก็เตะไปทางนั้นแหละ (ฮ่าๆ) หรือหน้าหันอยู่ทางไหน ก็จะหวดบอลคืนกลับไปทางนั้น ไม่มีเบสิคพื้นฐานอะไรหรอก’
จากความสนุกของเด็กๆผู้เป็นแม่ก็เริ่มคิดว่าอยากจะลองให้ลูกชายลองเข้าฝึกพื้นฐานฟุตบอลดูบ้าง ก็เลยไปเตะตากับ อคาเดมี่ฟุตบอลที่ชื่อ ไอ แอม สปอร์ต ที่ตอนนั้นมีโค้ชชาวบราซิลมาเป็นผู้ฝึกสอนอยู่ ทำให้ไม้เริ่มที่จะมีทักษะฟุตบอลกับเค้าบ้าง หลักจากนั้นก็ได้ไปเรียนต่อกับ อ.มานิตย์ จนได้คัดตัวติดกับที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน และย้ายมาอยู่อัสสัญชัม ธนบุรี ในช่วงก่อนจบมัธยมต้น
แชมป์ฟุตบอลโลกปี 2014 คือจุดเริ่มต้น
‘ปี 2015 ตอนนั้นไม้เค้าก็เริ่มเล่นฟุตบอลอย่างจริงแล้วแหละ และแม่ก็ไปเที่ยวที่เยอรมัน และพอดีที่ช่วงนั้นเยอรมันพึ่งได้แชมป์ฟุตบอลโลกมาหมาดๆ แม่ก็ลองไปสืบหาข้อมูลมา และแม่ก็พอจะรู้อยู่ว่าในลีกเยอรมันนี้ บาเยิน มิวนิค คือทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แม่เลยเดินทางไปที่แคว้นบาเยิน แล้วก็ใช้วิธีเดินเข้าไปสอบถามเค้าเอาดื้อๆนี่แหละ ที่ออฟฟิคของสโมสรบาเยินมิวนิค เค้าก็แนะนำมาว่าให้ไปตรงนี้ ตรงนั้น ตามที่เค้าแนะนำมา’
‘หลังจากนั้นก็มาลิสรายชื่อของสถาบันต่างๆกันว่าจะเลือกที่ไหน สุดท้ายก็จบที่สถาบัน Deutsches Fußball Internat เหุตผลที่แม่เลือกสถาบันนี้เพราะว่าเค้าบังคับให้มีการเรียน ควบคู่ไปกับการฝึกฟุตบอล เพราะยังไงก็แล้วแต่ เรื่องเรียนยังเป็นสิ่งสำคัญเสมอ รวมถึงเรื่องสภาพแวดล้อมต่างๆ ความปลอดภัย การกินอยู่ แม่เลยตัดสินใจเลือกที่นี่’
อุปสรรค
อุปสรรคอันใหญ่กำลังรออยู่ข้างหน้า เปรียบสเมือนก้อนหินยักต์ที่กำลังขวางทางเดินเรือ ของผู้นำทางอย่างคุณแม่
การที่เด็กต่างชาติคนหนึ่งจะเข้าไปเรียน ไปศึกษาอยู่ในประเทศเยอรมัน เป็นระยะเวลานานนับแรมปี แบบคนท้องถิ่นนั้น จะต้องมีการสอบวัดระดับความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาเยอรมัน ที่ระดับอย่างน้อย Goethe-Zertifikat B1 หรือเรียกสั้นๆว่า B1 ขึ้นไปก่อน
และสถาบัน Deutsches Fußball Internat เองนั้นเค้าก็แนะนำมาว่า ระดับ B1 คงจะไม่พอ ต้องเป็นระดับ Goethe-Zertifikat B2 ถึงจะศึกษาได้
กลับมาตั้งหลัก
‘หลังจากกลับมาจากเยอรมัน ก็กลับมาปรึกษาลูก ว่าจะเอายังไงกันดี ลูกชอบฟุตบอลจริงๆไหม และถ้าลูกจะไปอยู่ที่เยอรมันเป็นเวลานานๆจะชอบไหม’
ถึงผู้เป็นแม่พร้อมที่จะจัดการทุกอย่างให้ ทั้งเรื่องเงินทุน และดำเนินการทุกอย่างตามกฎหมาย แต่สิ่งหนึ่งเลยที่ผู้เป็นแม่ไม่เคยใช้กับลูกชายเลยก็คือ
การบังคับ
‘แม่ไม่เคยบังคับไม้เลยนะ เราต้องถามเค้าก่อนว่าเค้าชอบจริงๆใช่ไหม ถ้าเค้าไปอยู่ เพราะไปอยู่นานเป็นปีๆนะ
แต่โชคดีที่ไม้เค้าชอบ เค้ารักในสิ่งนี้ แม่ก็เลยช่วยเต็มที่’
หลักจากรู้กฎเกณฑ์ขั้นตอนของการไปพำนักอาศัยในเยอรมันเป็นแรมปี ว่าจะต้องรู้ภาษาเยอรมันและสอบวัดความรู้ให้ได้ก่อนนั้น คุณแม่และทางบ้านก็ไปหาที่เรียนภาษาเยอรมันในประเทศไทย และส่งไม้ไปเรียนเพื่อเตรียมความพร้อม บวกกับการได้ปรึกษากับคุณครูที่สอนภาษาเยอรมันในไทย ทางคุณครูได้แนะนำคุณแม่ว่า ควรที่จะไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนอยู่ที่เยอรมันก่อนสัก 1 ปี โดยการไปอยู่กับโฮส นั้นเท่ากับว่าไม้จะเสียเวลาเพื่อไปเรียนภาษาไปเลย
ปีหนึ่งเต็มๆ โดยยังที่ไม่ได้เข้าศึกษาที่ Deutsches Fußball Internat อย่างที่ตั้งใจ
‘เรื่องนี้เราก็กลับมาปรึกษากับเค้านะ ว่าเค้ารับได้ไหมกับการเสียเวลาไป 1 ปี แต่ก็อย่างที่แม่บอกนะ ไม้เค้าเข้าใจและพร้อมที่จะเรียนรู้ คุณแม่เล่าถึงวันที่ต้องตัดสินใจอีกครั้ง’
14 ปี กับ 11,038 กิโลเมตร
นั้นคือระยะทางที่เด็กหนุ่มชาวไทยผู้นี้ ต้องออกจากประเทศบ้านเกิด ไปอยู่ในฟากนึงของโลกโดยตัวคนเดียว หัดใช้ชีวิตคนเดียว ตั้งแต่อายุ 14 ปี
ฮัมบูร์ก
‘ก่อนที่จะไปแม่ก็ได้ศึกษาหาข้อมูลว่า โฮสแต่ละที่ มีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไร แม่จำได้เลยว่ากว่าจะตัดสินใจได้คุยกันเยอะมาก ทั้งจากสตุ๊ดการ์ท จากเบอลิน จากเมืองอื่นๆอีกเยอะมาก แต่สิ่งนึงที่แม่รีเควสไปนอกจากเรื่องของที่พัก ที่อยู่อาศัยแล้ว บ้านๆนั้นจะต้องเป็นบ้านที่ชอบฟุตบอล สุดท้ายดีลมาจบอยู่ที่เมืองฮัมบูร์ก’
ฮัมบูร์กเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ2 ของเยอรมัน เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของยุโรป และมีผู้คนอาศัยอยู่ราว1.8ล้านคน ได้กลายเป็นที่บำเพาะทั้งด้านการใช้ชีวิต และด้านฟุตบอลในระดับเยาวชน ของเด็กวัย 14 ปี
‘เชื่อไหม ตอนไม้ไปอยู่ฮัมบูร์กช่วงแรกๆนะ ตอนนั้นเค้าโทรกลับมาร้องไห้ระงมเลย (ฮ่า) คงจะเป็นโฮมซิกต์ เราก็เข้าใจเค้าอะนะ ไปอยู่แรกๆใหม่ๆภาษาก็ยังไม่ได้ แล้วอยู่กับโฮสที่ตอนนั้นยังไม่รู้ทีว่าเค้าเป็นอย่างไงบ้าง เราเป็นแม่ก็ได้แต่ปลอบใจเค้าไปว่าสู้ๆนะลูก แล้วสักวันลูกจะแข็งแกร่งเอง เชื่อไหมหลังจากนั้นเค้าไม่เคยร้องไห้อีกเลย ไม้เป็นเด็กที่ชอบการเรียนรู้มากๆ’
‘แล้วโฮสที่ไม้ไปอาศัยอยู่นั้นก็ใจดีมาก เค้าลงทุนไปลงทะเบียนนักฟุตบอลให้ไม้ในระดับเยาวชนให้เองเลย เพราะในเยอรมันนั้น เด็กที่ลงทะเบียนในระดับสโมสร หรือระดับเยาวชนได้นั้น จะต้องมีผู้ปกครองเซ็นยืนยันให้ ไม่งั้นก็จะเล่นได้แค่ลองทีม ซ้อมๆเล่นๆไปวันๆเอา’
ซังค์ เพาลี สนใจ
สโมสรที่ไม้ได้เข้าไปเล่นในระดับเยาวชนนั้น มีชื่อว่า SV Nettelnburg/Allermöhe ในฤดูกาล 2015/2016 หลังจากได้ไปฝึกซ้อมและลงทีมอยู่เป็นเวลาเกือบครบปี ไม้ก็เล่นได้เข้าตาของ Scout จากทีมของซังค์ เพาลี ที่เดินสายซุ่มดูฟอร์มของบรรดาเด็กๆเยาวชนจากสโมสรต่างๆ จนมีโอกาสเกือบได้เซ็นสัญญากับซังค์ เพาลี
‘วันนั้น แม่ก็อยู่ด้วยนะ วันที่เค้าเรียกเราไปคุยกันที่ออฟฟิคของ สโมสรซังค์ เพาลี (ตอนนั้นอยู่ Liga2 ) ก็ประมาณว่าจะให้ไม้ลองทดสอบเล่นดูก่อน แต่โชคชะตาไม่เข้าข้าง ไม้ดันเจ็บเลยไม่สามารถโชว์ฟอร์มที่ดีได้ ก็เสียดายแหละจริงๆมีอีกหายทีมที่สนใจนะ ในระดับลีก2 และลีก3 ของเค้า แต่ตอนนั้นไม้เจ็บ บวกกับเรื่องของวีซ่าและกฎขั้นตอนต่างๆที่ยังติดขัดอยู่ ก็เลยไม่ได้เซ็นกับทีมไหน’
หลังจากเด็กชายอชิตพล เรียนรู้ภาษาและการใช้ชีวิตอยู่ฮัมบูร์กครบเป็นเวลา 1 ปี เค้าก็สามารถที่จะสอบ
Goethe-Zertifikat ได้เพื่อใช้เป็นใบเบิกทางในการทำวีซ่า เพื่อไปเรียนสถาบัน Deutsches Fußball Internat อย่างที่ตั้งใจ
ภายในอายุ 15 ปี ไม้ก็ได้เข้าเรียนที่ Deutsches Fußball Internat ภายใต้โรงเรียนแห่งนี้ทุกๆวันจะมีการเรียนทั้ง วิทย์ คณิต เคมี รวมถึงเรื่องทั่วๆไป เหมือนกับหลักสูตรเรียนทั่วโลก แต่ภาษาที่ใช้เรียนจะใช้เป็นภาษาเยอรมันและอังกฤษ (ส่วนใหญ่ใช้เยอรมัน) ทำให้ไม้ได้ฝึกการเรียนรู้ควบคู่ไปกับการเล่นฟุตบอลอย่างที่เจ้าตัวตั้งใจตั่งแต่แรก โดยเล่นให้กับทีมของโรงเรียน Deutsches Fußball Internat ในฤดูกาล 2016/2017 และ 2017/2018
จนฟอร์มการเล่นของเค้าไปเข้าตาทีม TSV 1860 Rosenheim จนได้เข้าไปอยู่ในชุด U-19 ตั่งแต่อายุ 16 ปีเศษๆ
ส่วนเรื่องฟอร์มการเล่นใน TSV 1860 Rosenheim ก็คงไม่ต้องพูดถึงอะไรมาก เพราะจากสถิติก็บ่งบอกชัดเจนแล้วว่าเด็กคนนี้มีแววได้ขึ้นสู่ชุดใหญ่ของทีมในอีกไม่ช้านี้แน่ๆ
นอกจากนี้คุณแม่ยังแอบกระซิบบอกถึงค่าใช้จ่าย ในการพาลูกชายไปศึกษาต่อยังประเทศเยอรมันด้วยว่า
‘เรื่องค่าใช้จ่ายก็ถือว่าสูงนะ ค่ากินอยู่นอนและซ้อมบอลต่อปี อยู่ที่ 700,000 กว่าๆ และค่าเรียนต่อปีอยู่ที่ 100,000 กว่าๆ รวมๆแล้วก็ 900,000 บวกกับค่าใช้จ่ายอื่นๆจิปาถะ เช่น อยากจะกินอะไรนอกเหนือจากอาหารที่โรงเรียนจัดให้ ตกที่1,000,000 กว่าๆ รวมตั๋วเครื่องบินก็ ประมาณ1,200,000 นี่คร่าวๆนะ ตกแล้วก็เดือนละหนึ่งแสนบาทไทย แบบคร่าวๆนะ มันก็ไม่แน่นอนเสมอไป’
นอกจากนี้คุณแม่ยังฝากถึงผู้ปกครองด้วยว่า หากอยากจะพาลูกไปศึกษาและเล่นฟุตบอลที่เยอรมัน อย่างแรกเลย ถามลูกก่อนว่าลูกชอบจริงไหม ‘เราไปบังคับเค้าไม่ได้หรอก หรือในกรณีของไม้ ต้องไปเรียนเพิ่มต่ออีก 1 ปี ลูกจะรับได้ไหม และไม่ใช่ว่าไปแล้วฟุตบอลจะได้ด้วยเสมอไป บางทีบางคนก็ไม่ได้ฟุตบอล ตรงนี้เราอย่าไปหวัง แม่ไม่เคยกดดันที่ว่า ต้องให้ลูกติดทีมชาติชุดใหญ่อะไรยังงั้นให้ได้นะ ไม่เคย โอเคตอนนี้มันกำลังดีอยู่ แต่อนาคตเราไม่รู้เนอะ แต่อย่างน้อยลูกเราก็มีความรู้ มีทักษะชีวิต มีภาษา ที่สามารถเอาไปใช้ให้เป็นคนที่มีคุณภาพต่อไปได้ แม่คิดแบบนี้แหละ’
หากเราไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา สักวันโชคชะตานั้นแหละที่จะต้องยอมแพ้เรา
คำๆนี้คงใช้ได้กับทั้งคุณแม่ และน้องไม้ ในวันที่พวกเค้าผ่านอะไรๆมา เพื่อที่จะผลักดันลูกชายให้กลายเป็นคนที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี ยิ่งขึ้นกว่าเดิมให้ได้
ปล. ขอขอบคุณแม่น้องไม้อีกครั้งครับ ที่ให้ข้อมูลต่างๆเหล่านี้
คุยกับคุณแม่น้อง อชิตพล คีรีรมย์ ยอมเสียเงินปีละ1.2ล้าน เพื่อให้ลูกมีคุณภาพชีวิตที่ดี
สัมภาษณ์นี้ผมเคยเขียนไว้เมื่อ 2 ปี ที่แล้ว (อีกเว็ปบอร์ด) ตั้งแต่ตอนน้อง"ไม้" ยังไม่เป็นที่รู้จักเท่าไหร่ วันนี้เลยอยากลงใหม่อีกครั้ง เพื่อแสดงให้เห็นถึงการเลี้ยงดูของครอบครัวน้อง ที่เป็นปัจจัยหลักในการพาน้องไปประสบความสำเร็จ เชื่อว่าถ้าใครอ่านแล้ว คงได้ความรู้นอกจากเรื่องของฟุตบอลไปอีกเรื่องด้วยแน่นอน
คุยกับคุณแม่น้อง อชิตพล คีรีรมย์
ช่วงหลายวันมานี้ ชื่อของเด็กหนุ่ม อายุ 17 ปี นามว่า อชิตพล คีรีรมย์ หรือ ไม้ เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นจากสื่อต่างๆในประเทศ หลายคนสืบหาว่าไอ้เด็กหน้ามนต์คนนี้เป็นใคร มาจากไหน แล้วทำไมถึงได้มีรายชื่อเล่นฟุตบอลอยู่ที่เยอรมัน ประเทศที่มีชื่อเสียงด้านฟุตบอลมาอย่างยาวนานร่วมศตวรรษ
อันที่จริง หากใครจำได้ ชื่อของอชิตพลนั้น เริ่มเป็นที่รู้จักมาประมาณช่วง2-3 เดือนที่ผ่านมาแล้ว โดยในเวลานั้นทีมชาติไทยชุด U-19 ได้มีโอกาสไปแข่งขันในรายการ แพนด้า คัพ ที่ประเทศจีน แล้วดาวยิงร่างกายบึกบึนรายนี้ก็โชว์ฟอร์มได้ดี มีส่วนร่วมกับทั้งสามประตูของทีมชาติไทย โดยเฉพาะลูกที่ยิงนิวซีแลนด์ได้ในนัดที่ 2 ลูกนั้นช่างตรึงใจ และ สวยงามซะเหลือเกิน จนแฟนบอลไทย(รวมทั้งตัวผม) ต่างสงสัยว่าไอ้หมอนี่มันเป็นใครวะ
จนในที่สุด ไปสืบสาวราวเรื่องมาจนได้ข้อมูลว่า เด็กหนุ่มอายุ 17 ปี คนนี้ เป็นคนสัญชาติไทยแท้ แต่ไปเรียนศึกษาอยู่ที่ประเทศเยอรมัน และเล่นอยู่ในชุด
U-19 ของสโมสร TSV 1860 Rosenheim ในระดับลีกา 4 ของเยอรมัน
ส่วนฟอร์มการเล่นก็ไม่ต้องพูดถึง ลงเล่น 23 นัด ยิงไป 25 ประตู จนแฟนบอลหลายๆคนเริ่มตั้งความหวังว่าเค้าจะกลายเป็นศูนย์ทีมชาติไทยคนใหม่ในอนาคต
เอาล่ะ ข้อความข้างต้นหลายๆคนอาจจะพอทราบมาบ้างแล้วจากสื่อต่างๆว่า เด็กหนุ่มคนนี้เล่นอยู่ที่ไหน และฟอร์มการเล่นก็ดีไม่แพ้หน้าตาด้วย
แต่สิ่งที่หลายๆคนอาจจะยังไม่เคยรู้ เกี่ยวกับวิธีการเลี้ยงดู การผลักดันเอาใจใส่ของผู้ปกครอง ที่ต้องการให้ลูกชายกลายเป็นคนที่มีคุณภาพในการใช้ชีวิต รวมไปถึงความยากลำบากในการพาลูกชายให้ไปถึงฝั่งอยู่ตรงนั้น หรือเรื่องรอยของคราบน้ำตา ที่บั่นทอนจิตใจของครอบครัว วันนี้ผมขอนำเอาคำสัมภาษณ์ของผู้เป็นแม่ ผู้ที่เปรียบเสมือนเป็นคนพายเรือไปส่งลูกยังฝั่งฝัน มาให้ได้รับรู้กัน
จากนักเทนนิส
‘เริ่มแรกตอนเด็กๆเค้าก็เล่นหลายๆชนิดกีฬานะ ก็ไม่เคยไปบังคับหรือต้องการอยากให้เค้าเล่นอะไร ก็เล่นหมด แต่มีอยู่ชนิดหนึ่งที่เค้าจะเล่นได้ค่อนข้างดีเลยก็คือเทนนิส’ คุณแม่เริ่มเล่าเกี่ยวกับเด็กหนุ่มนามว่าไม้
‘หลังจากนั้นก็เล่นมาเรื่อยๆจนถึงฟุตบอล ฟุตบอลนี้ตอนก่อน ลูกบอลมาทางไหนเค้าก็เตะไปทางนั้นแหละ (ฮ่าๆ) หรือหน้าหันอยู่ทางไหน ก็จะหวดบอลคืนกลับไปทางนั้น ไม่มีเบสิคพื้นฐานอะไรหรอก’
จากความสนุกของเด็กๆผู้เป็นแม่ก็เริ่มคิดว่าอยากจะลองให้ลูกชายลองเข้าฝึกพื้นฐานฟุตบอลดูบ้าง ก็เลยไปเตะตากับ อคาเดมี่ฟุตบอลที่ชื่อ ไอ แอม สปอร์ต ที่ตอนนั้นมีโค้ชชาวบราซิลมาเป็นผู้ฝึกสอนอยู่ ทำให้ไม้เริ่มที่จะมีทักษะฟุตบอลกับเค้าบ้าง หลักจากนั้นก็ได้ไปเรียนต่อกับ อ.มานิตย์ จนได้คัดตัวติดกับที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน และย้ายมาอยู่อัสสัญชัม ธนบุรี ในช่วงก่อนจบมัธยมต้น
แชมป์ฟุตบอลโลกปี 2014 คือจุดเริ่มต้น
‘ปี 2015 ตอนนั้นไม้เค้าก็เริ่มเล่นฟุตบอลอย่างจริงแล้วแหละ และแม่ก็ไปเที่ยวที่เยอรมัน และพอดีที่ช่วงนั้นเยอรมันพึ่งได้แชมป์ฟุตบอลโลกมาหมาดๆ แม่ก็ลองไปสืบหาข้อมูลมา และแม่ก็พอจะรู้อยู่ว่าในลีกเยอรมันนี้ บาเยิน มิวนิค คือทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แม่เลยเดินทางไปที่แคว้นบาเยิน แล้วก็ใช้วิธีเดินเข้าไปสอบถามเค้าเอาดื้อๆนี่แหละ ที่ออฟฟิคของสโมสรบาเยินมิวนิค เค้าก็แนะนำมาว่าให้ไปตรงนี้ ตรงนั้น ตามที่เค้าแนะนำมา’
‘หลังจากนั้นก็มาลิสรายชื่อของสถาบันต่างๆกันว่าจะเลือกที่ไหน สุดท้ายก็จบที่สถาบัน Deutsches Fußball Internat เหุตผลที่แม่เลือกสถาบันนี้เพราะว่าเค้าบังคับให้มีการเรียน ควบคู่ไปกับการฝึกฟุตบอล เพราะยังไงก็แล้วแต่ เรื่องเรียนยังเป็นสิ่งสำคัญเสมอ รวมถึงเรื่องสภาพแวดล้อมต่างๆ ความปลอดภัย การกินอยู่ แม่เลยตัดสินใจเลือกที่นี่’
อุปสรรค
อุปสรรคอันใหญ่กำลังรออยู่ข้างหน้า เปรียบสเมือนก้อนหินยักต์ที่กำลังขวางทางเดินเรือ ของผู้นำทางอย่างคุณแม่
การที่เด็กต่างชาติคนหนึ่งจะเข้าไปเรียน ไปศึกษาอยู่ในประเทศเยอรมัน เป็นระยะเวลานานนับแรมปี แบบคนท้องถิ่นนั้น จะต้องมีการสอบวัดระดับความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาเยอรมัน ที่ระดับอย่างน้อย Goethe-Zertifikat B1 หรือเรียกสั้นๆว่า B1 ขึ้นไปก่อน
และสถาบัน Deutsches Fußball Internat เองนั้นเค้าก็แนะนำมาว่า ระดับ B1 คงจะไม่พอ ต้องเป็นระดับ Goethe-Zertifikat B2 ถึงจะศึกษาได้
กลับมาตั้งหลัก
‘หลังจากกลับมาจากเยอรมัน ก็กลับมาปรึกษาลูก ว่าจะเอายังไงกันดี ลูกชอบฟุตบอลจริงๆไหม และถ้าลูกจะไปอยู่ที่เยอรมันเป็นเวลานานๆจะชอบไหม’
ถึงผู้เป็นแม่พร้อมที่จะจัดการทุกอย่างให้ ทั้งเรื่องเงินทุน และดำเนินการทุกอย่างตามกฎหมาย แต่สิ่งหนึ่งเลยที่ผู้เป็นแม่ไม่เคยใช้กับลูกชายเลยก็คือ
การบังคับ
‘แม่ไม่เคยบังคับไม้เลยนะ เราต้องถามเค้าก่อนว่าเค้าชอบจริงๆใช่ไหม ถ้าเค้าไปอยู่ เพราะไปอยู่นานเป็นปีๆนะ
แต่โชคดีที่ไม้เค้าชอบ เค้ารักในสิ่งนี้ แม่ก็เลยช่วยเต็มที่’
หลักจากรู้กฎเกณฑ์ขั้นตอนของการไปพำนักอาศัยในเยอรมันเป็นแรมปี ว่าจะต้องรู้ภาษาเยอรมันและสอบวัดความรู้ให้ได้ก่อนนั้น คุณแม่และทางบ้านก็ไปหาที่เรียนภาษาเยอรมันในประเทศไทย และส่งไม้ไปเรียนเพื่อเตรียมความพร้อม บวกกับการได้ปรึกษากับคุณครูที่สอนภาษาเยอรมันในไทย ทางคุณครูได้แนะนำคุณแม่ว่า ควรที่จะไปเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนอยู่ที่เยอรมันก่อนสัก 1 ปี โดยการไปอยู่กับโฮส นั้นเท่ากับว่าไม้จะเสียเวลาเพื่อไปเรียนภาษาไปเลย
ปีหนึ่งเต็มๆ โดยยังที่ไม่ได้เข้าศึกษาที่ Deutsches Fußball Internat อย่างที่ตั้งใจ
‘เรื่องนี้เราก็กลับมาปรึกษากับเค้านะ ว่าเค้ารับได้ไหมกับการเสียเวลาไป 1 ปี แต่ก็อย่างที่แม่บอกนะ ไม้เค้าเข้าใจและพร้อมที่จะเรียนรู้ คุณแม่เล่าถึงวันที่ต้องตัดสินใจอีกครั้ง’
14 ปี กับ 11,038 กิโลเมตร
นั้นคือระยะทางที่เด็กหนุ่มชาวไทยผู้นี้ ต้องออกจากประเทศบ้านเกิด ไปอยู่ในฟากนึงของโลกโดยตัวคนเดียว หัดใช้ชีวิตคนเดียว ตั้งแต่อายุ 14 ปี
ฮัมบูร์ก
‘ก่อนที่จะไปแม่ก็ได้ศึกษาหาข้อมูลว่า โฮสแต่ละที่ มีข้อดีข้อเสียต่างกันอย่างไร แม่จำได้เลยว่ากว่าจะตัดสินใจได้คุยกันเยอะมาก ทั้งจากสตุ๊ดการ์ท จากเบอลิน จากเมืองอื่นๆอีกเยอะมาก แต่สิ่งนึงที่แม่รีเควสไปนอกจากเรื่องของที่พัก ที่อยู่อาศัยแล้ว บ้านๆนั้นจะต้องเป็นบ้านที่ชอบฟุตบอล สุดท้ายดีลมาจบอยู่ที่เมืองฮัมบูร์ก’
ฮัมบูร์กเมืองที่ใหญ่เป็นอันดับ2 ของเยอรมัน เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ของยุโรป และมีผู้คนอาศัยอยู่ราว1.8ล้านคน ได้กลายเป็นที่บำเพาะทั้งด้านการใช้ชีวิต และด้านฟุตบอลในระดับเยาวชน ของเด็กวัย 14 ปี
‘เชื่อไหม ตอนไม้ไปอยู่ฮัมบูร์กช่วงแรกๆนะ ตอนนั้นเค้าโทรกลับมาร้องไห้ระงมเลย (ฮ่า) คงจะเป็นโฮมซิกต์ เราก็เข้าใจเค้าอะนะ ไปอยู่แรกๆใหม่ๆภาษาก็ยังไม่ได้ แล้วอยู่กับโฮสที่ตอนนั้นยังไม่รู้ทีว่าเค้าเป็นอย่างไงบ้าง เราเป็นแม่ก็ได้แต่ปลอบใจเค้าไปว่าสู้ๆนะลูก แล้วสักวันลูกจะแข็งแกร่งเอง เชื่อไหมหลังจากนั้นเค้าไม่เคยร้องไห้อีกเลย ไม้เป็นเด็กที่ชอบการเรียนรู้มากๆ’
‘แล้วโฮสที่ไม้ไปอาศัยอยู่นั้นก็ใจดีมาก เค้าลงทุนไปลงทะเบียนนักฟุตบอลให้ไม้ในระดับเยาวชนให้เองเลย เพราะในเยอรมันนั้น เด็กที่ลงทะเบียนในระดับสโมสร หรือระดับเยาวชนได้นั้น จะต้องมีผู้ปกครองเซ็นยืนยันให้ ไม่งั้นก็จะเล่นได้แค่ลองทีม ซ้อมๆเล่นๆไปวันๆเอา’
ซังค์ เพาลี สนใจ
สโมสรที่ไม้ได้เข้าไปเล่นในระดับเยาวชนนั้น มีชื่อว่า SV Nettelnburg/Allermöhe ในฤดูกาล 2015/2016 หลังจากได้ไปฝึกซ้อมและลงทีมอยู่เป็นเวลาเกือบครบปี ไม้ก็เล่นได้เข้าตาของ Scout จากทีมของซังค์ เพาลี ที่เดินสายซุ่มดูฟอร์มของบรรดาเด็กๆเยาวชนจากสโมสรต่างๆ จนมีโอกาสเกือบได้เซ็นสัญญากับซังค์ เพาลี
‘วันนั้น แม่ก็อยู่ด้วยนะ วันที่เค้าเรียกเราไปคุยกันที่ออฟฟิคของ สโมสรซังค์ เพาลี (ตอนนั้นอยู่ Liga2 ) ก็ประมาณว่าจะให้ไม้ลองทดสอบเล่นดูก่อน แต่โชคชะตาไม่เข้าข้าง ไม้ดันเจ็บเลยไม่สามารถโชว์ฟอร์มที่ดีได้ ก็เสียดายแหละจริงๆมีอีกหายทีมที่สนใจนะ ในระดับลีก2 และลีก3 ของเค้า แต่ตอนนั้นไม้เจ็บ บวกกับเรื่องของวีซ่าและกฎขั้นตอนต่างๆที่ยังติดขัดอยู่ ก็เลยไม่ได้เซ็นกับทีมไหน’
หลังจากเด็กชายอชิตพล เรียนรู้ภาษาและการใช้ชีวิตอยู่ฮัมบูร์กครบเป็นเวลา 1 ปี เค้าก็สามารถที่จะสอบ
Goethe-Zertifikat ได้เพื่อใช้เป็นใบเบิกทางในการทำวีซ่า เพื่อไปเรียนสถาบัน Deutsches Fußball Internat อย่างที่ตั้งใจ
ภายในอายุ 15 ปี ไม้ก็ได้เข้าเรียนที่ Deutsches Fußball Internat ภายใต้โรงเรียนแห่งนี้ทุกๆวันจะมีการเรียนทั้ง วิทย์ คณิต เคมี รวมถึงเรื่องทั่วๆไป เหมือนกับหลักสูตรเรียนทั่วโลก แต่ภาษาที่ใช้เรียนจะใช้เป็นภาษาเยอรมันและอังกฤษ (ส่วนใหญ่ใช้เยอรมัน) ทำให้ไม้ได้ฝึกการเรียนรู้ควบคู่ไปกับการเล่นฟุตบอลอย่างที่เจ้าตัวตั้งใจตั่งแต่แรก โดยเล่นให้กับทีมของโรงเรียน Deutsches Fußball Internat ในฤดูกาล 2016/2017 และ 2017/2018
จนฟอร์มการเล่นของเค้าไปเข้าตาทีม TSV 1860 Rosenheim จนได้เข้าไปอยู่ในชุด U-19 ตั่งแต่อายุ 16 ปีเศษๆ
ส่วนเรื่องฟอร์มการเล่นใน TSV 1860 Rosenheim ก็คงไม่ต้องพูดถึงอะไรมาก เพราะจากสถิติก็บ่งบอกชัดเจนแล้วว่าเด็กคนนี้มีแววได้ขึ้นสู่ชุดใหญ่ของทีมในอีกไม่ช้านี้แน่ๆ
นอกจากนี้คุณแม่ยังแอบกระซิบบอกถึงค่าใช้จ่าย ในการพาลูกชายไปศึกษาต่อยังประเทศเยอรมันด้วยว่า
‘เรื่องค่าใช้จ่ายก็ถือว่าสูงนะ ค่ากินอยู่นอนและซ้อมบอลต่อปี อยู่ที่ 700,000 กว่าๆ และค่าเรียนต่อปีอยู่ที่ 100,000 กว่าๆ รวมๆแล้วก็ 900,000 บวกกับค่าใช้จ่ายอื่นๆจิปาถะ เช่น อยากจะกินอะไรนอกเหนือจากอาหารที่โรงเรียนจัดให้ ตกที่1,000,000 กว่าๆ รวมตั๋วเครื่องบินก็ ประมาณ1,200,000 นี่คร่าวๆนะ ตกแล้วก็เดือนละหนึ่งแสนบาทไทย แบบคร่าวๆนะ มันก็ไม่แน่นอนเสมอไป’
นอกจากนี้คุณแม่ยังฝากถึงผู้ปกครองด้วยว่า หากอยากจะพาลูกไปศึกษาและเล่นฟุตบอลที่เยอรมัน อย่างแรกเลย ถามลูกก่อนว่าลูกชอบจริงไหม ‘เราไปบังคับเค้าไม่ได้หรอก หรือในกรณีของไม้ ต้องไปเรียนเพิ่มต่ออีก 1 ปี ลูกจะรับได้ไหม และไม่ใช่ว่าไปแล้วฟุตบอลจะได้ด้วยเสมอไป บางทีบางคนก็ไม่ได้ฟุตบอล ตรงนี้เราอย่าไปหวัง แม่ไม่เคยกดดันที่ว่า ต้องให้ลูกติดทีมชาติชุดใหญ่อะไรยังงั้นให้ได้นะ ไม่เคย โอเคตอนนี้มันกำลังดีอยู่ แต่อนาคตเราไม่รู้เนอะ แต่อย่างน้อยลูกเราก็มีความรู้ มีทักษะชีวิต มีภาษา ที่สามารถเอาไปใช้ให้เป็นคนที่มีคุณภาพต่อไปได้ แม่คิดแบบนี้แหละ’
หากเราไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา สักวันโชคชะตานั้นแหละที่จะต้องยอมแพ้เรา
คำๆนี้คงใช้ได้กับทั้งคุณแม่ และน้องไม้ ในวันที่พวกเค้าผ่านอะไรๆมา เพื่อที่จะผลักดันลูกชายให้กลายเป็นคนที่มีคุณภาพชีวิตที่ดี ยิ่งขึ้นกว่าเดิมให้ได้
ปล. ขอขอบคุณแม่น้องไม้อีกครั้งครับ ที่ให้ข้อมูลต่างๆเหล่านี้