คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 10
พี่ก็เคยเป็นแบบน้องนะ อาจจะไม่ได้เหมือนเป๊ะๆ แต่พี่ก็เคยเป็นคนที่เอาเรื่องการศึกษามาเป็นทุกอย่างของชีวิตเช่นกัน มันอาจจะเป็นเพราะด้วยเหตุปัจจัยชีวิตมันถูกหล่อหลอมให้เป็นแบบนั้นด้วย
ตอนเด็กๆ อยู่ดีๆก็เรียนเก่ง อ่านหนังสือออกเองโดยที่ไม่มีใครมาสอน สอบได้แต่ที่ 1 พ่อแม่ญาติพี่น้องเอาแต่ชื่นชมเราว่ามันดี เก่งยังเลย พอเราถูกชมเยอะๆ เราก็รู้สึกว่าเราต้องรักษามาตรฐานการเรียนให้มันดีตลอด เพราะเราอยากได้รับการชื่นชม ตอนมัธยมแม้สอบติด รร ที่คาดหวังแล้ว พี่ก็บอกตัวเองว่าต้องอยู่ห้องคิงให้ได้ ก็ตั้งใจเรียนจนได้เลื่อนมาอยู่ห้อง 1 แต่เราก็ยังกดดันตัวเองต่อว่าต้องได้เกรดเท่านั้นเท่านี้ และแบกความคาดหวังตัวเองไว้มากมาย จนสร้างความเครียดให้ตัวเองไม่รู้ตัว รู้ตัวอีกที เป็นซึมเศร้า อยากตาย ไม่มีความสุขเลยสักวินาที
พอถึงจุดนั้นก็คิดได้ว่าที่ผ่านมาอะไรหนักหนาวะกับการเรียน ทำไมเราไปโฟกัสกับอะไรแคบๆจุดเดียว ทั้งๆที่ชีวิตมันมีอะไรเยอะแยะไปหมด มีหลากหลายมิติมาก ความสุ
นุกของวัยรุ่น การมีเพื่อน มีสังคม กิจกรรม แต่ตตอนนั้นเราไม่ได้คิดเลย เพราะมัวแต่ตั้งเป้ากับตัวเอง ปีนี้ต้องทำอันนั้นให้สำเร็จ ทำอันนี้ให้ได้ จนลืมมองเห็นใจที่มันเป็นทุกข์
ปี 1 สอบได้ทุนไปเรียนต่างประเทศแต่ดันป่วยเป็นซึมเศร้า สรุปไปไม่ได้ พี่ใช้เวลาทำใจหลายปีอยู่นะ คิดว่าถ้าได้ไป กูคงจะเท่กว่านี้ คงได้ชื่อว่าเป็นเด็กจบนอก ดูมีภาษีกว่าตอนนี้ โทษตัวเองที่มีโอกาสแต่คว้าไว้ไม่ได้
แต่พอใช้ชีวิตที่เข้าหาธรรมะมาสักพักใหญ่ และชีวิตก็เจอกับความผิดหวังเยอะแยะไปหมด ก็เลยเรียนรู้ว่าการไม่เป็นไรนั้นดีที่สุดแล้ว เป็นอะไรก็เป็นทุกข์ อัตตาหัวโขนที่เราแบกไว้ เป็นคนเก่ง เป็นคนสวย หรือเป็นอะไรก็ตาม นำมาซึ่งภาระทางใจอันใหญ่หลวง
ตอนนี้เป้าหมายชีวิตจึงเป็นการทิ้ง ทิ้งตัวตน ด้วยการฝึกเจริญสติไปเรื่อย จนเกิดปัญญาและเข้าถึงอนัตตาความไม่ใช่ตัวตน ทิ้งตัวตน อุปาทานให้หมดสิ้น เป็นสิ่งที่จะฝึกไปเรื่อยๆตลอดชีวิต
ตอนอ่านช่วงแรกรู้สึกเป็นห่วงน้องมาก แค่สอบไม่ติด ถึงกับต้องตราหน้าตัวเองว่าเป็นขยะสังคมเลยเหรอ อยากบอกน้องว่าใจเย็นๆ ไม่มีใครเค้ามองแบบนั้น เรานั่นแหละตีตราตัวเองไปเอง แต่อ่านช่วงหลังดูน้องจะคิดอะไร และมองอะไรต่างไปในทางที่ถูกขึ้น ขอให้น้องได้ออกมาเจอทางสว่างเรื่อยๆ และค้นหาความหมายที่แท้จริงของชีวิตเจอนะคะ
ตอนเด็กๆ อยู่ดีๆก็เรียนเก่ง อ่านหนังสือออกเองโดยที่ไม่มีใครมาสอน สอบได้แต่ที่ 1 พ่อแม่ญาติพี่น้องเอาแต่ชื่นชมเราว่ามันดี เก่งยังเลย พอเราถูกชมเยอะๆ เราก็รู้สึกว่าเราต้องรักษามาตรฐานการเรียนให้มันดีตลอด เพราะเราอยากได้รับการชื่นชม ตอนมัธยมแม้สอบติด รร ที่คาดหวังแล้ว พี่ก็บอกตัวเองว่าต้องอยู่ห้องคิงให้ได้ ก็ตั้งใจเรียนจนได้เลื่อนมาอยู่ห้อง 1 แต่เราก็ยังกดดันตัวเองต่อว่าต้องได้เกรดเท่านั้นเท่านี้ และแบกความคาดหวังตัวเองไว้มากมาย จนสร้างความเครียดให้ตัวเองไม่รู้ตัว รู้ตัวอีกที เป็นซึมเศร้า อยากตาย ไม่มีความสุขเลยสักวินาที
พอถึงจุดนั้นก็คิดได้ว่าที่ผ่านมาอะไรหนักหนาวะกับการเรียน ทำไมเราไปโฟกัสกับอะไรแคบๆจุดเดียว ทั้งๆที่ชีวิตมันมีอะไรเยอะแยะไปหมด มีหลากหลายมิติมาก ความสุ
นุกของวัยรุ่น การมีเพื่อน มีสังคม กิจกรรม แต่ตตอนนั้นเราไม่ได้คิดเลย เพราะมัวแต่ตั้งเป้ากับตัวเอง ปีนี้ต้องทำอันนั้นให้สำเร็จ ทำอันนี้ให้ได้ จนลืมมองเห็นใจที่มันเป็นทุกข์
ปี 1 สอบได้ทุนไปเรียนต่างประเทศแต่ดันป่วยเป็นซึมเศร้า สรุปไปไม่ได้ พี่ใช้เวลาทำใจหลายปีอยู่นะ คิดว่าถ้าได้ไป กูคงจะเท่กว่านี้ คงได้ชื่อว่าเป็นเด็กจบนอก ดูมีภาษีกว่าตอนนี้ โทษตัวเองที่มีโอกาสแต่คว้าไว้ไม่ได้
แต่พอใช้ชีวิตที่เข้าหาธรรมะมาสักพักใหญ่ และชีวิตก็เจอกับความผิดหวังเยอะแยะไปหมด ก็เลยเรียนรู้ว่าการไม่เป็นไรนั้นดีที่สุดแล้ว เป็นอะไรก็เป็นทุกข์ อัตตาหัวโขนที่เราแบกไว้ เป็นคนเก่ง เป็นคนสวย หรือเป็นอะไรก็ตาม นำมาซึ่งภาระทางใจอันใหญ่หลวง
ตอนนี้เป้าหมายชีวิตจึงเป็นการทิ้ง ทิ้งตัวตน ด้วยการฝึกเจริญสติไปเรื่อย จนเกิดปัญญาและเข้าถึงอนัตตาความไม่ใช่ตัวตน ทิ้งตัวตน อุปาทานให้หมดสิ้น เป็นสิ่งที่จะฝึกไปเรื่อยๆตลอดชีวิต
ตอนอ่านช่วงแรกรู้สึกเป็นห่วงน้องมาก แค่สอบไม่ติด ถึงกับต้องตราหน้าตัวเองว่าเป็นขยะสังคมเลยเหรอ อยากบอกน้องว่าใจเย็นๆ ไม่มีใครเค้ามองแบบนั้น เรานั่นแหละตีตราตัวเองไปเอง แต่อ่านช่วงหลังดูน้องจะคิดอะไร และมองอะไรต่างไปในทางที่ถูกขึ้น ขอให้น้องได้ออกมาเจอทางสว่างเรื่อยๆ และค้นหาความหมายที่แท้จริงของชีวิตเจอนะคะ
แสดงความคิดเห็น
ผมเคยรู้สึกเสียใจที่สอบไม่ได้ทุนเรียนต่อต่างประเทศตอนม.6 ตอนนี้ทำใจได้มากแล้ว แต่ก็ยังมีมาหลอกหลอนอยู่บ้าง
ผมยอมรับว่า ผมเป็นคนหนึ่งที่อยากเรียนต่อต่างประเทศในอเมริกา อังกฤษ มาตั้งแต่ม.ต้น แต่ได้ปล่อยให้ความเครียดครอบงำ จนชีวิตเละเทะ ชีวิตเพิ่งจะค่อยๆดีขึ้นตอนต้นปีนี้
ปัจจุบันผมเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ทำใจเรื่องนี้ได้เยอะมาก แต่ก็มีหลอกหลอนเป็นพักๆ
ตอนม.ต้น ผมอยากเรียนที่โรงเรียนกำเนิดวิทย์มาก แต่สอบไม่ได้ เพราะเครียด และประหม่าในการเตรียมตัว
การไม่ได้เรียนในโรงเรียนกำเนิดวิทย์ครั้งนั้น ทำให้ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนโง่ เป็นขยะสังคม ไม่มีวันประสบความสำเร็จในการเรียนสายวิทยาศาสตร์ที่ผมตั้งใจไว้ ผมประหม่ามาก ผมถามตัวเองทุกวันว่าผมโง่หรือเปล่า ผมเป็นขยะสังคมหรือเปล่า และส่งผลมาจนถึงม.ปลายจนชีวิตม.ปลายพังทลาย
ม.ปลาย ผมไม่ได้เรียนในโรงเรียนที่ผมหวังไว้ ทำให้ผมคิดว่า ผมไม่มีวันประสบความสำเร็จในวงการวิทยาศาสตร์ได้ ผมคิดตลอดว่า ผมควรจะฆ่าตัวตายไหม เพราะผมเป็นขยะสังคมที่ไร้ค่า เพื่อนของผมเก่งกว่าผมมากมาย ทำงานวิจัยมากมาย จะมีประโยชน์ต่อสังคมมากกว่าผม ผมนั้นหวังที่จะเรียนต่อต่างประเทศ แต่ก็ดูริบหรี่เหลือเกิน เพราะคนที่จะได้ทุน คงจะมาจากกำเนิดวิทย์แน่ๆ คนที่เรียนในโรงเรียนที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักอย่างผม ไม่มีทางหรอก
ช่วงม.6 มองย้อนกลับไปกี่ครั้ง ก็เป็นช่วงที่แย่ที่สุดในชีวิตตั้งแต่เกิดมา การเรียนตกต่ำมาก ทุกวันที่ตื่นมา ผมจะถามตัวเองว่า วันนี้จะฆ่าตัวตายด้วยวิธีไหน แต่ไม่เคยฆ่าตัวตายสำเร็จสักครั้งเดียว
ต้องบอกก่อนว่า ผมไม่เชื่อในเรื่องโลกหลังความตาย(ในตอนนั้น)ตายแล้วคือจบกัน ทำให้ผมสามารถคิดฆ่าตัวตายได้ทุกวัน แต่ผมก็มีลังเล ทำให้ทุกครั้งไม่สำเร็จ
จนครั้งสุดท้ายในชีวิตที่ผมพยายามฆ่าตัวตาย ผมได้แขวนคอ และคิดว่า วันนี้ผมจะต้องตายให้ได้ แต่ความลังเลกลับรุนแรงมากขึ้น จนผมจินตนาการภาพยมบาลและกระทะทองแดง ผมลังเลอยู่นาน จนมีเพื่อนมาเจอ เป็นอันว่า หลังจากนั้น ไม่ต้องฆ่าตัวตายอีก เพราะเพื่อน ครู ทุกคน ผลัดเฝ้าจับตามองผม ประกบกันอยู่หลายเดือน
ด้วยทุกสิ่งที่กล่าวมา ผมสอบไม่ได้ทุนต่างประเทศอย่างที่หวัง แม้แต่มหาวิทยาลัยในไทย ผมก็สอบไม่ได้ สุดท้ายผมต้องไปลงเรียนมหาวิทยาลัยใกล้บ้าน
ช่วงนั้น การได้ส่อง Facebook ของเพื่อนที่เรียนต่อเมืองนอก ทำให้ผมเจ็บปวดใจตลอด แต่ก็แก้ไขอะไรไม่ได้ จนกระทั่ง 3 เดือนหลังจากที่ผมจบม.6 ผมถามตัวเองอย่างจริงจัง ว่า จะฆ่าตัวตายอีกไหม ถ้าไม่ จิตใจจะต้องแกร่งกว่า เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนไม่เชื่อในศาสนาเลย เข้าสู่ศาสนา
ผมลงเรียนแค่เทอมเดียวก็ลาออก และตัดสินใจสอบเรียนต่อที่กรุงเทพในปีต่อมา
จนกระทั่ง ในช่วงที่ Covid 19 ระบาด ผมได้กลับมาที่บ้าน และทบทวนตัวเอง ทำให้ผมรู้ว่า ผมกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว ผมอาจจะไม่ได้เรียนเมืองนอกตอนนี้ไม่เป็นไร ถ้าผมสอบได้ตอนม.6 ตอนนี้ผมอาจจะเจอปัญหา Covid 19 ที่เมืองนอกก็ได้
การได้เรียนเมืองนอกไม่ได้หมายความว่าจะต้องประสบความสำเร็จก็ได้ ทุกวันนี้มีคอร์สออนไลน์มากมาย ถ้ายังอยากเรียนเมืองนอก เรียนคอร์สเหล่านั้นไปพลางๆก่อนก็ได้
ทุกวันนี้ ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นขยะสังคมเเล้วล่ะ แต่นี่ชาติหนึ่งเท่านั้น ที่ผมจะได้เก็บบุญบารมีต่อ และแม้ผมจะไม่ได้เรียนเมืองนอก ผมก็จะประสบความสำเร็จมากกว่าคนเหล่านั้นให้ดู แต่หลายครั้งมันก็หลอกหลอนผมนะ
ถ้าผมได้เรียนเมืองนอก มันอาจจะดูมีเกียรติกว่านี้ก็ได้