กำแพงเบอร์ลิน กำแพงที่แบ่งแยกความเป็นคน

ผมจำได้ว่าตอนผมอายุ 12 ปีผมนั่งดูข่าวในทีวีอยู่คนเดียว เพราะเป็นช่วงเวลากลางวัน ไม่มีใครอยู่บ้าน
และมีข่าวด่วนเข้ามาเป็นข่าวการทุบกำแพงเบอร์ลิน และเกิดการตั้งคำถามขึ้นว่าทำไมเขาต้องสร้างมันขึ้นเพื่อขังคนเหล่านั้นไว้แบบนั้นด้วย...แต่ก็แค่คิดไว้ในใจ
จนโตขึ้นมาได้มีโอกาสไปสัมผัสเหตุการณ์ต่างๆในประวัติศาสตร์จากสถานที่จริงบ้าง อ่านหนังสือมาบ้าง จึงทำให้รู้ซึ้งถึงการอยู่ร่วมในสังคมของมนุษย์ที่มีต่อมนุษย์ด้วยกันว่า มันช่างซับซ้อนยิ่งนัก...
ในปี1945 หลังจากเยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่2 จึกถูกแบ่งออกเป็น4ส่วน ได้แก่ส่วนของ อังกฤษ ฝรั่งเศษ อเมริกา และ โซเวียต จนถึงในปี 1949 ฝ่ายประชาธิปไตยทั้งสามประเทศก็ได้รวมกันเป็น 1เดียว
และคืนเยอรมันนีให้กลายเป็นประเทศเยอรมนีตะวันตก
จึงทำให้เยอรมนีแบ่งออกเหลือเพียงแค่ 2ส่วน
คือส่วนของ ตะวันตกที่เป็นประชาธิปไตย และส่วนของตะวันออกที่เป็นของโซเวียต
รวมถึงเมืองหลวงอย่างกรุงเบอรลินก็ถูแบ่งออกเป็นสองส่วนด้วยเช่นกัน..
และทำให้ส่วนที่เป็นเมืองหลวง Berlin ฝ่ายเยอรมันตะวันตก กลายเป็นไข่แดง อยู่ตรงกลางชาติคอมมิวนิสต์ โดยทันที!!

เอาละสิทีนี้... ด้วยความที่ในช่วงแรกก็แค่แบ่งกันปกครอง อยู่กันอย่างปรกติสุข จนเกิดความแตกต่างกันอย่างชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายเยอรมันตะวันตก มีการฟื้นฟูตัวเองจากสงครามได้อย่างรวดเร็ว และ เศรษฐกิจที่ดีขึ้น ประชาชนมีอิสระ

แต่ในขณะที่ฝ่ายตะวันออก แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ซ้ำยังยากจนลงเรื่อยๆ จากนโยบายบริหารประเทศแบบคอมมิวนิสต์ การซื้อรถยนต์เพลง1คันอาจต้องใช้เวลารอถึง 2 ปี และมียี่ห้อเดียว คือยี่ห้อTrabant
ที่ทำจากพลาสติกนั่นเอง!!! เพราะราคาถูก และเหล็กถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมการสร้างอาวุธสงครามแทนนั่นเอง
ความยำแย่ทางเศรษฐกิจ จึงทำให้เกิดการเดินทางย้ายฝั่งประเทศ กันหลายล้านคน!!
จนปี 1961 ทางโซเวียต จริงตัดสินใจสร้างกำแพงขึ้นเพื่อกันไม่ให้คนย้ายออกนอกประเทศอีก!! โดยที่มีระยะทางทั้งสิ้น 155 กิโลเมตร (พอๆกับกรุงเทพฯไปกาญจนบุรี)

การสร้างกำแพงเบอร์ลิน ในเยอรมันตะวันออก เป็นการสร้างถึงสองชั้น และในส่วนระหว่างชั้นที่1ถึงชั้นที่2 ห่างกันถึง 4เมตร และเรียกว่า โซนแห่งความตาย โดยพวกเขาโรยหินกรวดขนาดเล็กเพื่อให้เห็นรอยเท้าถ้าเกิดใครก็ตามที่จะตัดสินใจข้ามกำแพงนี้มา และจะ มีแสงไฟส่องสว่างในเวลากลางคืน มีสุนัขพันธ์เยอรมันเชพเพิร์ดคอยเฝ้ายามถ้าใครก็ตามที่รุก ล้ำเข้ามา และมีพลทหารซุ่มยิงเฝ้ายิงใครก็ตามที่คิดจะหนีออกจากฝั่งตะวันออก
แต่ก็ยังมีการลักลอบข้ามกำแพงกว่า 5,000 ครั้ง จากหลากหลายวิธี รวมถึงการขุดอุโมงด้วย และมีผู้เสียชีวิตสูงถึง 246 คน
เหตุการณ์ที่โด่งดังต่อชาวโลกก็คือ การที่นาย Peter Fechter เด็กหนุ่มที่ลอบข้ามกำแพงเบอร์ลินถูกยิง และปล่อยให้เลือดไหลจนตายต่อหน้าสื่อมวลชนฝั่งตะวันตกหลังจากที่กำแพงถูกสร้างขึ้นเพียงแค่1ปีเท่านั่นเอง
คนเยอรมันตะวันออกถูกขังอยู่ในนั้นจนถึงปี 1989 รวมเวลาถึง 28ปี !!
กำแพงเบอร์ลินถูกทุบทิ้งในยุคล่มสลายของโซเวียต ซึ่งจริงๆแล้วการทำลายกำแพงเป็นการเข้าใจผิด!!!
จากการประชาสัมพันธ์ข่าวของรัฐบาลเยอรมันตะวันออกว่า จะให้คนได้เดินทางเข้าออกกันได้อย่างเสรี
พอคนได้ยินข่าวก็ต่างไปยังด่านต่างๆของกำแพงโดยทันที จึงเกิดการโกลาหลเกิดขึ้น เกินกว่าที่รัฐบาลจะคุมอยู่จึงปล่อยเลยตามเลย จนกลายเป็นวันสิ้นสุดของกำแพงเบอร์ลินนั่นเอง
ตัวกำแพงถูกทำลาย และ ประมูลไปทำเป็นของที่ละลึก หรือถูกเก็บอยู่ในพิพิธภัณฑ์ บางส่วนก็ยังคงเหลือไว้เพื่อเป็นจุดท่องเที่ยว

โดยให้ศิลปิน Street Art มาสร้างสรรค์ผลงาน และ 1 ในผลงานที่โด่งดังก็คือรูปผู้นำโซเวียต brezhnev จูบปากกับผู้นำเยอรมันตะวันออก honecker หรือชื่อว่า Socialist fraternal kiss ของ Dmitri Vrubel
โดยที่ภาพนี้เป็นการวาดมาจากเหตุการณ์จริง นั่นเอง เป็นการจูบเชิงสัญลักษณ์ว่าทั้งสองประเทศสนิทชิดเชื้อกันมากขนาดไหน
ซึ่งผมเองก็ได้ซื้อชิ้นส่วนของกำแพงเบอร์ลิน กลับมาจากร้านขายของ Survinior เช่นกัน
ปัจจุบันแม้กำแพงเบอร์ลินจะถูกทำลายลง คนได้เดินทางไปมาหาสู่กันได้อย่างเป็นปรกติ แต่เราก็ยังเห็นกำแพงที่ก่อตัวขึ้นในใจของคนเบอร์ลินอยู่บ้าง จากการเห็นคนที่มีสีผิวที่ต่างกัน ซึ่งจะว่าไปก็ถือว่าเป็นส่วนน้อย ที่ผมเคยเจอ ดังที่เคยกล่าวไว้ในบทความก่อนหน้านี้
จนบางทีเกิดคำถามขึ้นกับตัวเราว่า หลังจาก Covid-19 หายไป คนได้เดินทางข้ามประเทศกันมากขึ้น กำแพงที่ก่อตัวขึ้นในใจเหล่านี้ จะสูงขึ้นหรือต่ำลง
กำแพงที่มองไม่เห็น หรืออะไรที่เราไม่เห็นมันมักจะน่ากลัวและอันตรายกว่าที่เรามองเห็นยิ่งนัก กำแพงเบอร์ลินที่เราเห็นทะลายลงมากับตา ยังสร้างความลำบากให้กับผู้คนมากว่า 28ปี มีผู้เสียชีวิตกว่า 200 คน และผู้พิการนับไม่ถ้วน และขอให้กำแพงที่มองไม่เห็นอย่าได้ก่อตัวขึ้นในจิตใจใครอีกเลย...
กำแพงเบอร์ลิน กำแพงที่แบ่งแยกความเป็นคน!!
ผมจำได้ว่าตอนผมอายุ 12 ปีผมนั่งดูข่าวในทีวีอยู่คนเดียว เพราะเป็นช่วงเวลากลางวัน ไม่มีใครอยู่บ้าน
และมีข่าวด่วนเข้ามาเป็นข่าวการทุบกำแพงเบอร์ลิน และเกิดการตั้งคำถามขึ้นว่าทำไมเขาต้องสร้างมันขึ้นเพื่อขังคนเหล่านั้นไว้แบบนั้นด้วย...แต่ก็แค่คิดไว้ในใจ
จนโตขึ้นมาได้มีโอกาสไปสัมผัสเหตุการณ์ต่างๆในประวัติศาสตร์จากสถานที่จริงบ้าง อ่านหนังสือมาบ้าง จึงทำให้รู้ซึ้งถึงการอยู่ร่วมในสังคมของมนุษย์ที่มีต่อมนุษย์ด้วยกันว่า มันช่างซับซ้อนยิ่งนัก...
ในปี1945 หลังจากเยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่2 จึกถูกแบ่งออกเป็น4ส่วน ได้แก่ส่วนของ อังกฤษ ฝรั่งเศษ อเมริกา และ โซเวียต จนถึงในปี 1949 ฝ่ายประชาธิปไตยทั้งสามประเทศก็ได้รวมกันเป็น 1เดียว
และคืนเยอรมันนีให้กลายเป็นประเทศเยอรมนีตะวันตก
จึงทำให้เยอรมนีแบ่งออกเหลือเพียงแค่ 2ส่วน
คือส่วนของ ตะวันตกที่เป็นประชาธิปไตย และส่วนของตะวันออกที่เป็นของโซเวียต
รวมถึงเมืองหลวงอย่างกรุงเบอรลินก็ถูแบ่งออกเป็นสองส่วนด้วยเช่นกัน..
และทำให้ส่วนที่เป็นเมืองหลวง Berlin ฝ่ายเยอรมันตะวันตก กลายเป็นไข่แดง อยู่ตรงกลางชาติคอมมิวนิสต์ โดยทันที!!
เอาละสิทีนี้... ด้วยความที่ในช่วงแรกก็แค่แบ่งกันปกครอง อยู่กันอย่างปรกติสุข จนเกิดความแตกต่างกันอย่างชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ฝ่ายเยอรมันตะวันตก มีการฟื้นฟูตัวเองจากสงครามได้อย่างรวดเร็ว และ เศรษฐกิจที่ดีขึ้น ประชาชนมีอิสระ
แต่ในขณะที่ฝ่ายตะวันออก แทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย ซ้ำยังยากจนลงเรื่อยๆ จากนโยบายบริหารประเทศแบบคอมมิวนิสต์ การซื้อรถยนต์เพลง1คันอาจต้องใช้เวลารอถึง 2 ปี และมียี่ห้อเดียว คือยี่ห้อTrabant
ที่ทำจากพลาสติกนั่นเอง!!! เพราะราคาถูก และเหล็กถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมการสร้างอาวุธสงครามแทนนั่นเอง
ความยำแย่ทางเศรษฐกิจ จึงทำให้เกิดการเดินทางย้ายฝั่งประเทศ กันหลายล้านคน!!
จนปี 1961 ทางโซเวียต จริงตัดสินใจสร้างกำแพงขึ้นเพื่อกันไม่ให้คนย้ายออกนอกประเทศอีก!! โดยที่มีระยะทางทั้งสิ้น 155 กิโลเมตร (พอๆกับกรุงเทพฯไปกาญจนบุรี)
การสร้างกำแพงเบอร์ลิน ในเยอรมันตะวันออก เป็นการสร้างถึงสองชั้น และในส่วนระหว่างชั้นที่1ถึงชั้นที่2 ห่างกันถึง 4เมตร และเรียกว่า โซนแห่งความตาย โดยพวกเขาโรยหินกรวดขนาดเล็กเพื่อให้เห็นรอยเท้าถ้าเกิดใครก็ตามที่จะตัดสินใจข้ามกำแพงนี้มา และจะ มีแสงไฟส่องสว่างในเวลากลางคืน มีสุนัขพันธ์เยอรมันเชพเพิร์ดคอยเฝ้ายามถ้าใครก็ตามที่รุก ล้ำเข้ามา และมีพลทหารซุ่มยิงเฝ้ายิงใครก็ตามที่คิดจะหนีออกจากฝั่งตะวันออก
แต่ก็ยังมีการลักลอบข้ามกำแพงกว่า 5,000 ครั้ง จากหลากหลายวิธี รวมถึงการขุดอุโมงด้วย และมีผู้เสียชีวิตสูงถึง 246 คน
เหตุการณ์ที่โด่งดังต่อชาวโลกก็คือ การที่นาย Peter Fechter เด็กหนุ่มที่ลอบข้ามกำแพงเบอร์ลินถูกยิง และปล่อยให้เลือดไหลจนตายต่อหน้าสื่อมวลชนฝั่งตะวันตกหลังจากที่กำแพงถูกสร้างขึ้นเพียงแค่1ปีเท่านั่นเอง
คนเยอรมันตะวันออกถูกขังอยู่ในนั้นจนถึงปี 1989 รวมเวลาถึง 28ปี !!
กำแพงเบอร์ลินถูกทุบทิ้งในยุคล่มสลายของโซเวียต ซึ่งจริงๆแล้วการทำลายกำแพงเป็นการเข้าใจผิด!!!
จากการประชาสัมพันธ์ข่าวของรัฐบาลเยอรมันตะวันออกว่า จะให้คนได้เดินทางเข้าออกกันได้อย่างเสรี
พอคนได้ยินข่าวก็ต่างไปยังด่านต่างๆของกำแพงโดยทันที จึงเกิดการโกลาหลเกิดขึ้น เกินกว่าที่รัฐบาลจะคุมอยู่จึงปล่อยเลยตามเลย จนกลายเป็นวันสิ้นสุดของกำแพงเบอร์ลินนั่นเอง
ตัวกำแพงถูกทำลาย และ ประมูลไปทำเป็นของที่ละลึก หรือถูกเก็บอยู่ในพิพิธภัณฑ์ บางส่วนก็ยังคงเหลือไว้เพื่อเป็นจุดท่องเที่ยว
โดยให้ศิลปิน Street Art มาสร้างสรรค์ผลงาน และ 1 ในผลงานที่โด่งดังก็คือรูปผู้นำโซเวียต brezhnev จูบปากกับผู้นำเยอรมันตะวันออก honecker หรือชื่อว่า Socialist fraternal kiss ของ Dmitri Vrubel
โดยที่ภาพนี้เป็นการวาดมาจากเหตุการณ์จริง นั่นเอง เป็นการจูบเชิงสัญลักษณ์ว่าทั้งสองประเทศสนิทชิดเชื้อกันมากขนาดไหน
ซึ่งผมเองก็ได้ซื้อชิ้นส่วนของกำแพงเบอร์ลิน กลับมาจากร้านขายของ Survinior เช่นกัน
ปัจจุบันแม้กำแพงเบอร์ลินจะถูกทำลายลง คนได้เดินทางไปมาหาสู่กันได้อย่างเป็นปรกติ แต่เราก็ยังเห็นกำแพงที่ก่อตัวขึ้นในใจของคนเบอร์ลินอยู่บ้าง จากการเห็นคนที่มีสีผิวที่ต่างกัน ซึ่งจะว่าไปก็ถือว่าเป็นส่วนน้อย ที่ผมเคยเจอ ดังที่เคยกล่าวไว้ในบทความก่อนหน้านี้
จนบางทีเกิดคำถามขึ้นกับตัวเราว่า หลังจาก Covid-19 หายไป คนได้เดินทางข้ามประเทศกันมากขึ้น กำแพงที่ก่อตัวขึ้นในใจเหล่านี้ จะสูงขึ้นหรือต่ำลง
กำแพงที่มองไม่เห็น หรืออะไรที่เราไม่เห็นมันมักจะน่ากลัวและอันตรายกว่าที่เรามองเห็นยิ่งนัก กำแพงเบอร์ลินที่เราเห็นทะลายลงมากับตา ยังสร้างความลำบากให้กับผู้คนมากว่า 28ปี มีผู้เสียชีวิตกว่า 200 คน และผู้พิการนับไม่ถ้วน และขอให้กำแพงที่มองไม่เห็นอย่าได้ก่อตัวขึ้นในจิตใจใครอีกเลย...