ปัญหาชีวิต ปัญหาครอบครัว พ่อตาลูกเขย

เรากับสามีคบและแต่งงานกันรวมสิบปีเต็ม เราเป็นคน ตจว. ส่วนสามีเป็นคน กทม.โดยกำเนิด หลังจากแต่งงานเราย้ายเข้าไปอยู่บ้านสามี พ่อแม่สามีดีกับเรามากปัญหาระหว่างแม่ผัวลูกสะใภ้ไม่เคยมี

เราอยากมีบ้านเป็นของตัวเอง เป็นครอบครัวของเราพ่อแม่ลูก แต่ติดที่เรายังไม่มีเงินเก็บมากมายขนาดนั้น ยังต้องอาศัยพ่อแม่อยู่ อีกอย่างเราต้องกลับไปอยู่บ้านตัวเองที่ ตจว. แม่ให้เหตุผลมาตลอดว่าพ่อแม่แก่แล้ว เราต้องกลับไปรับช่วงกิจการส่วนตัวเป็นอาชีพที่พ่อแม่บุกเบิกไว้ให้ เป็นนายตัวเอง ไม่ต้องเป็นลูกจ้างใคร มีที่ทางเป็นตัวเอง บ้านเราไม่ได้รวยมาก แต่ก็พอมีพอกิน  ส่วนตัวเราก็เบื่อความวุ่นวายในเมืองกรุงเต็มที สามีเค้าก็เห็นดีด้วยมาตลอด เค้าให้เหตุผลว่าเราอยู่ที่ไหนมีความสุขเค้าก็อยู่ได้ทุกที่ที่มีเรา

เมื่อต้นปีที่แล้วเรามีลูกคนแรก นั่นเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เราอยากกลับมาอยู่ ตจว.อย่างจริงจัง เราตัดสินใจลาออกจากงาน อยากมีเวลาเลี้ยงลูกด้วยตัวเอง สามีก็มีความคิดแบบเดียวกับเรา เลยลาออกจากงานเช่นกัน และเตรียมตัวย้ายไปอยู่บ้านเราที่ ตจว.ช่วงกลางปี ตอนนั้นคาดหวังว่าชีวิตหลังจากไปอยู่ ตจว.แล้ว จะต้องลงตัวอย่างอย่างที่เราวางแผนไว้แน่นอน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาเราไม่เคยวางแผนชีวิตผิดพลาดเลย โดยไม่รู้เลยว่าเมื่อถึงเวลาลงสนามจริง ทุกอย่างที่วางแผนไว้กลับไม่เป็นอย่างที่คิด

เอาเข้าจริงๆ หลังจากกลับมาอยู่ได้ไม่ถึงเดือน สามีเริ่มไม่โอเคกับบ้านเราในทุกๆเรื่องแม้แต่ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต การกินการอยู่ ทุกอย่างเค้าไม่โอเคไปหมด ถึงแม้ว่าตลอดระยะเวลาที่คบกัน เราจะพาเค้ามาที่บ้าน มาสัมผัสวิถีชิวิต ตจว. อยู่บ่อยครั้งในช่วงวันหยุดยาวแล้วก็ตาม แต่เค้าบอกเราว่านั่นคือการมาพักผ่อน ไม่ใช่การมาอยู่แบบจริงจังถาวร เราคิดว่าอาจเป็นเพราะเค้าเคยชินแต่ชีวิตที่เพรียบพร้อม สุขสบาย มีแต่สิ่งอำนวยความสะดวก ไม่ได้อยู่กลางป่ากลางเขาแบบบ้านเรา ตรงนั้นเราเข้าใจเค้านะคะ คนอยู่เมืองใหญ่ใช้ชีวิตสุขสบายมาตั้งแต่เกิด อยู่ๆจะให้เปลี่ยนเลยภายในวันสองวันคงยาก

เราพยามหาเหตุผลมาพูดให้เค้าเข้าใจ แต่สามีเราบทจะเข้าใจยากก็ยากค่ะ ถ้าฝังใจอะไรไปแล้ว เค้าจะไม่มีวันเปิดใจอีกเลย พ่อแม่เค้าเลี้ยงมาแบบสปอย ลูกเลยค่อนข้างเอาแต่ใจ ไม่ค่อยมีความพยายามและอดทนต่อความยากลำบากในทุกๆเรื่อง
ข้อนี้เราก็รู้มาตลอดตั้งแต่คบกันแล้ว แต่ก็มองข้าม เพราะคิดว่าไม่ใช่ปัญหาใหญ่เวลาผ่านไป เค้าจะเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น

เราบอกเค้าทุกวันว่าในเมื่อเราก็ตัดสินใจจะเป็นนายตัวเองเราต้องสู้และอดทนต่ออุปสรรคทุกอย่างให้ได้ ไม่ว่าจะทั้งเรื่องงานและเรื่องคน ดูเหมือนเค้าจะยอมรับฟังและเข้าใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่วายบ่นว่าเสียดายที่ลาออกจากงาน เสียดายเงินเดือน เสียดายความรู้ที่เรียนมา อยากกลับไป ณ จุดเดิมมากกว่า นั่นคือการทำงานออฟฟิศเหมือนเดิม ช่วงนี้อะไรก็เก็บมาเป็นอารมณ์หมด เราพูดอะไรก็ไม่เข้าหู พาลทะเลาะไปหมด

พ่อเราเหมือนจะรู้ว่าเค้ามีปัญหากับการมาอยู่ที่นี่ค่ะ ประกอบกับพ่อเราเป็นคนใจร้อนขี้บ่น บ่นได้ทุกเรื่อง พอรู้แบบนี้พ่อก็ยิ่งบ่นสามีเรามากขึ้น  สามีเราเค้าก็รู้มาตลอดค่ะ เค้าบอกว่าเค้าอยู่ได้สบายมาก บ่นได้บ่นไป เค้าไม่เก็บมาคิด สามีเราป็นคนใจเย็น และไม่เก็บคำพูดใครมาเป็นอารมณ์ หัวเราะได้แม้สถานการณ์ตึงเครียดแค่ไหน นั่นคือข้อดีของเค้าค่ะ

พ่อเราตั้งความหวังกับลูกเขยไว้เยอะมาก คาดหวังว่าเค้าจะต้องทำงานได้เก่งเหมือนพ่อจะต้องมารับช่วงงานทุกอย่างต่อจากพ่อได้ เพราะทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่พ่อสร้างไว้คือของเราในอนาคต เราเป็นลูกสาวคนเดียวค่ะ แต่เมื่อไม่เป็นอย่างที่คิด ก็กลายเป็นทะเลาะผิดใจกันระหว่างพ่อตาลูกเขย เกิดศึกขึ้นระหว่างพ่อตาลูกเขย พ่อเราเป็นคนใจร้อนมากๆ เดือดมากๆถึงขั้นทำลายข้าวของ ยังดีที่ไม่ทำร้ายร่างกาย สามีเราเห็นแบบนั้นก็ขยาด เค้าโต้กลับแบบนิ่มๆ ไม่ใช้อารมณ์ แต่พ่อเรายิ่งโวยวาย หาว่าสามีเราเถียงคำไม่ตกฟาก ดื้อด้านไม่ฟังใคร กลับเป็นเราเองที่เดือดแทนสามี เพราะพ่อทำเกินกว่าเหตุ แทนที่จะค่อยๆพูดด้วยเหตุผล กลับใช้อารมณ์เป็นที่ตั้ง กลายเป็นเราทะเลาะกับพ่อต่อซะเอง หลังจากนั้นอีกวัน พ่อเราก็ทำตัวปกติเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้น เพราะพ่อเรามองว่าก็แค่ว่ากล่าวตักเตือน

แต่สามีเราเค้าติดลบไปแล้วและฝังใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เค้าบอกว่ากลัวพ่อเรามาก เค้าเกลียดคนที่ใช้อารมณ์อยู่เหนือเหตุผล เค้าชวนเรากลับบ้านพ่อแม่เค้าที่ กทม.ทันที ถ้าเค้าฝังใจอะไรแล้ว ต่อให้เราพยายามพูดแค่ไหนเค้าก็ไม่เชื่ออีกแล้ว จะให้พ่อเรามาขอโทษยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ ก็อย่างที่บอกอีกนั่นแหล่ะค่ะ พ่อเราไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองผิดอะไร แต่คนโดนกระทำฝังใจไปแล้ว ใจเค้าใจเราค่ะ ถ้าพ่อสามีทำแบบนี้กับเราบ้าง เราก็คงโบกมือลาเช่นกัน เหตุการณ์นี้เราเข้าข้างสามีค่ะ เลยตัดสินใจกลับ

แต่หลังจากกลับไปอยู่ ณ จุดเดิม ทุกอย่างกลับไม่เหมือนเดิมค่ะ เราสองคนเหมือนมีอะไรในใจระหว่างกัน พูดกันน้อยลง พูดอะไรก็วกเข้าเรื่องปัญหาที่บ้านเราไปซะทุกที เค้าปล่อยเราเลี้ยงลูกเองคนเดียว ไม่สนใจอะไร สามวันดีสี่วันไข้ เราพยายามพูดให้เค้าเลิกกลัวพ่อและกลับไปเริ่มต้นกันใหม่อีกครั้ง ไปพิสูจน์ให้เค้าเห็นว่าเราทำได้ แต่เค้ายืนยันไม่ไปเหยียบบ้านเราอีก และให้เราหางานทำที่ กทม.เหมือนเดิม แต่ใจเราลาออกจากการเป็นลูกจ้างไปแล้วค่ะ มันปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าต้นตอของปัญหาต่างๆที่ตามมานี้ คือเรื่องระหว่างพ่อตาลูกเขยในวันนั้น สามีไม่ยอมให้เรากลับมาบ้านที่ ตจว.อีกเลย ถ้าเราอยากกลับก็กลับคนเดียว เค้าไม่ไป และไม่ให้เราเอาลูกไปด้วย ตอนนั้นลูกยังแบเบาะอยู่เลยค่ะ เกิดศึกแย่งชิงลูกกันใหญ่โตไปอีก

สุดท้ายเราไปต่อไม่ไหว ตัดสินกลับบ้านที่ ตจว. กันสองคนแม่ลูก คิดมาตลอดทางว่าอยากหย่าให้มันรู้แล้วรู้รอดไป ทรัพย์สินที่มีเป็นชื่อเราจะยกให้เค้าให้หมด เราขอแค่ลูกเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เรามีปัญญาเลี้ยงลูกด้วยเงินตัวเองได้ เพราะที่ผ่านมาเกือบทั้งหมดที่เราเป็นฝ่ายรับผิดชอบลูก

หลังจากกลับมา ตจว. เค้าไม่เคยมาหาหรือมาตามเราแม่ลูกกลับไป ไม่เคยถามถึงลูกเลยแม้แต่ครั้งเดียว  มีอย่างเดียวคือวันๆ เอาแต่ด่าเรา ทั้งโทร ทั้งไลน์ ลำเลิกข้าวของบุญคุณสารพัด เค้าปากร้ายมากกว่าที่เราคิด ไม่น่าเชื่อว่าผู้ชายคนที่อบอุ่น ง่ายๆ อะไรก็ได้ จะเปลี่ยนได้ถึงขนาดนี้ จนเราจะกลายเป็นโรคประสาทไหนจะทำงานไหนจะเลี้ยงลูก ไหนจะมาต่อกรกับคนบ้า เค้ามีจิตวิทยาในการปั่นประสาทคนได้อย่างดีเยี่ยม ประกอบกับเราเป็นคนใจร้อน เลยเข้าทางเค้าทุกอย่าง พ่อแม่เราก็เงียบไม่ว่าอะไร แม่บอกเพียงแต่ว่า ให้เราตัดสินใจเอาเอง

หลายเดือนผ่านไป จนเค้ามั่นใจว่าเรากับลูกจะไม่กลับไปหาเค้าแน่ๆ เค้าก็เป็นฝ่ายเร่งเร้าให้เราไปหย่ากับเค้าค่ะ หลังจากก่อนหน้านี้ที่เราเอ่ยคำนี้ออกมาก่อนแต่ตอนนั้นเค้าไม่ยอม เงื่อนไขของเค้าคือให้เราเอาลูกมาได้แต่เราตัองเป็นฝ่ายส่งเสียค่าเลี้ยงดูเองคนเดียว ส่วนทรัพย์สินอย่างอื่นที่สร้างร่วมกันมาซึ่งเป็นชื่อเราให้โอนเป็นชื่อเค้าให้หมด ตอนนั้นเรายอมค่ะ ขอเพียงให้ลูกอยู่กับเรา สมบัติของนอกกายไม่ตายก็หาใหม่ได้ แรกๆ เราขอยืดเวลาออกไป เพราะลูกยังเล็กมากไม่สะดวกเดินทาง เค้าไม่ยอมท่าเดียว ปั่นประสาททุกคนรอบข้างตัวเราแม่แต่แม่เราเค้าก็ไม่เว้น

สุดท้ายเราก็ยอมค่ะ ทุกอย่างจะได้จบ จะได้มีเวลามาทำมาหากิน เลี้ยงลูก สู้กับคนแบบนี้ยังไงก็ไม่มีวันชนะ หลังจากเซนต์ใบหย่า และโอนทรัพย์สินให้เป็นของเค้า ไม่เกินวันนั้นเค้าทั้งส่งข้อความทั้งโทรมาง้อเรา เค้าบอกว่าเริ่องที่เกิดขึ้นนิสัยแย่ๆที่เค้าแสดงออกไปไม่ใช่ความรู้สึกจากใจจริงๆ เค้าทำเพื่อต้องการให้เรากลับไป สุดท้ายถ้าเราไม่กลับ ก็ต้องแบ่งทรัพย์สินให้ชัดเจนเป็นเรื่องเป็นราวก็เท่านั้น ส่วนใบหย่าก็แค่กระดาษใบเดียว คนอื่นหย่ากันยังอยู่ด้วยกันเยอะแยะ เราคงจะคิดแบบนั้นได้ค่ะ ถ้ามูลเหตุในการหย่าครั้งนี้เกิดจากความจำเป็นบางประการเหมือนที่คนอื่นเค้าทำกัน เราทำใจให้อภัยเค้าภายในวันนั้นไม่ได้ค่ะ เหมือนโดนมือตบหัวแล้วเอาเท้าลูบหลัง  เลยเลือกที่จะไม่ตอบอะไรกลับไป จากนั้นเค้าก็เงียบไป ทุกอย่างเป็นอันจบ

ทุกวันนี้ ผ่านมานานแล้ว ที่เราเลือกทางเดินของตัวเอง แต่ละวันหมดไปกับการเลี้ยงลูก การเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวไม่ง่ายแต่ก็มีความสุขที่ได้เฝ้ามองดูเค้าเติบโตในทุกๆ วัน จากวันนั้นจนวันนี้ก็ไม่เคยมีการติดต่อหรือถามถึงลูกค่ะ เค้าใจแข็งมากจริงๆ

ชีวิตที่ต่างจังหวัดของเราทุกวันนี้ก็ยังมีปัญหากับพ่ออยู่เนืองๆค่ะ ทุเลาะกันอยู่หลายครั้ง เรากับพ่อยังคงจูนกันไม่ติดในหลายๆเรื่อง ทุกครั้งที่มองหน้าพ่อ เรายังโกรธไม่หายที่พ่อคือต้นเหตุที่ทำให้เรามีชีวิตครอบครัวแบบนี้ แต่กับหลานเค้าก็รักนะคะ ส่วนแม่เราก็ได้แต่พูดว่า ในเมื่อเกิดมาเป็นพ่อลูกกันแล้วมันเปลี่ยนอะไรไม่ได้นอกจากทำใจยอมรับเท่านั้น

ลูกเรากำลังหัดพูด เวลาเค้าได้ยินเด็กคนไหนเรียกพ่อ เค้าก็จะพูดตาม เราเสียใจที่ทำให้ลูกมีพ่อเหมือนคนอื่นไม่ได้ หลายๆครั้งที่คิดจะกลับไป ถึงแม้จะรู้ว่ากลับไปก็ใช้ชีวิตอยู่ในวังวนเดิมๆ ถามตัวเองหลายครั้งว่าอยู่ได้เหรอ  ก็ได้คำตอบแบบเดิมคืออยู่ได้ เวลามันทำให้เราคลายทุกอย่างลงไปเยอะแล้ว แต่สำหรับเค้าเราไม่รู้ สำหรับพ่อแม่สามีเรายังติดต่อกันตลอดค่ะ ส่งรูปภาพหลาน อัพเดทข่าวคราวกันบ่อยๆ เค้าไม่เคยถามถึงลูก แต่เราก็เชื่อว่าเค้ายังคงดูความเคลื่อนไหวของเรากับลูกผ่านแม่เค้านั่นแหล่ะค่ะ

ปลายปีนี้รอให้สถานการณ์บ้านเมืองดีกว่านี้ เราคิดว่าจะลองติดต่อไปหาเค้า บอกเค้าว่าเราจะกลับไป ถ้าเค้ายังไม่มีใครใหม่ เราจะไปเริ่มต้นชีวิตครอบครัวกันใหม่ที่บ้านของเค้า ที่ผ่านมาเราจะลืมให้หมด ทุกคนที่อ่านมาถึงตรงนี้ คิดว่าเราควรจะกลับไปมั้ยค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่