ภาพยนตร์ซอมบี้มีเยอะมาก แต่ที่แอ็คชั่นเยอะ (และขายดราม่าหรือฉากแหวะ หัวแบะควักไส้น้อย) นี่นึกออกแค่ World War Z, I am legend กับ Resident Evil... แผนปล้นซอมบี้เดือด เองก็ถือว่าเข้าข่ายหนังพวกนี้
ความสดใหม่ของแท้ในผลงานมีอย่างเดียว คือไอเดียที่ให้พวกผีดิบ มีสติปัญญาและระบบสังคม ในแบบของพวก 'สัตว์ป่า'
ทว่าถ้าคาดหวังตรงนี้ก่อนดูมาก ก็อาจมิสมปรารถนา เพราะหนังอุทิศเวลาส่วนใหญ่ให้ตัวละครฝั่งมนุษย์
แต่ส่วนตัวมองว่าผลงานยาวราว 2 ชั่วโมงครึ่ง ใช้เวลาทุกนาทีอย่างคุ้มค่า เพราะทำอะไรไว้หลายอย่าง เช่น
- มันสามารถทำให้แคร์ตัวละครที่ตายได้หมด (แม้กระทั่งคนบทน้อย หรือไปก่อนคนแรก)
- มอบเหตุผลให้ทุกการกระทำของทุกคน ทั้งที่โง่และฉลาด (ส่วนเราจะเชื่อลงมั้ยนี่ คืออีกเรื่องหนึ่ง)
- ปั่นดราม่า ระหว่างพ่อกับลูกสาว
- แถมถึงขนาดมีเส้นเรื่องฝ่ายซอมบี้
หนังยังใส่สารแฝง กับรายละเอียดเชิงลึกไว้ตามแบบฉบับแซ็ค สไนเดอร์
และเผื่อใครอยากขุด อยากตีความเล่น ขอชี้เป้าให้เป็นตัวอย่าง เช่น
- ซอมบี้ตัวแรกนั้นทางผู้สร้างตั้งชื่อเล่นเป็น 'ซุส' เจ้านี่ปกครองตึก 'โอลิมปัส' อยู่, ตามเทวตำนานกรีก ซุสทำสงครามโค่นล้มอำนาจบิดา และรวมพลังพี่น้องสถาปนาสภาเทพใหม่ขึ้น
- เปรียบเปรยการเปิดตู้เซฟ กับบทเพลงคลาสสิค (อันนี้เข้าใจง่าย)
- บทสนทนาเกี่ยวกับแอเรีย 51 และจอกศักดิ์สิทธิ์ตอนต้น
- การพล่ามถึงปรัชญาอะไรสักอย่าง ของคนดังสักคนผ่านปากตัวละคร
หนังหนีสูตรสำเร็จหลายอย่าง ของภาพยนตร์แนวเดียวกันไม่พ้น
แต่อันที่จริงรู้สึกเหมือนมันพยายามจิกกัดธรรมเนียม (เช่น ที่คนขับเฮลิคอปเตอร์พูดว่า คิดมากจนปวดหัว)
หรือบอกคนดูว่าอย่าใส่ใจเรื่องพรรค์นั้นเลย (ในบทสนทนาของพวกทหารตอนต้น) เสียมากกว่า...
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นผลงาน Netflix ที่ตอบโจทย์ด้านความบันเทิงดีมาก และงานสร้างระดับเดียวกับหนังโรง (แม้ทุนแค่ 70-90 ล้านดอลลาร์)
ตอนจบมีปูทางเผื่อภาคต่อ, แต่ที่มาแน่ๆ รอได้เลย คือ 'ภาคก่อน' ที่เป็นหนังคนแสดงอีกเรื่อง กับอนิเมชั่น
ด้านการใช้ภาษาหยาบคงไม่เป็นปัญหามาก ส่วนฉากโหดแบบที่บางคนน่าจะไม่ชอบจริงๆ มีน้อย
ก็ไว้เบือนหน้าหนีเป็นระยะได้มั้ง ถ้าใครยังไม่ได้ดู, ไม่มีภูมิคุ้มกันด้านนี้ ทว่าอยากลองของ
ฉากสโลว์โมชั่นกับความดาร์ค ตามสไตล์ผกก.รายนี้ก็มี, แต่ถือว่าน้อยจนผิดคาด
[ปล.] ซอมบี้หุ่นยนต์โผล่ไม่กี่วินาทีงี้ จะยังได้เห็นอีก ในเนื้อหาอื่นของแฟรนไชส์เปล่าเนี่ย ?
[No Spoil] วิจารณ์หนังหลังดู Army of the Dead >>จัดว่าเด็ดถ้าไม่เบื่อสูตรสำเร็จ (by Filmaneo)
ความสดใหม่ของแท้ในผลงานมีอย่างเดียว คือไอเดียที่ให้พวกผีดิบ มีสติปัญญาและระบบสังคม ในแบบของพวก 'สัตว์ป่า'
ทว่าถ้าคาดหวังตรงนี้ก่อนดูมาก ก็อาจมิสมปรารถนา เพราะหนังอุทิศเวลาส่วนใหญ่ให้ตัวละครฝั่งมนุษย์
แต่ส่วนตัวมองว่าผลงานยาวราว 2 ชั่วโมงครึ่ง ใช้เวลาทุกนาทีอย่างคุ้มค่า เพราะทำอะไรไว้หลายอย่าง เช่น
- มันสามารถทำให้แคร์ตัวละครที่ตายได้หมด (แม้กระทั่งคนบทน้อย หรือไปก่อนคนแรก)
- มอบเหตุผลให้ทุกการกระทำของทุกคน ทั้งที่โง่และฉลาด (ส่วนเราจะเชื่อลงมั้ยนี่ คืออีกเรื่องหนึ่ง)
- ปั่นดราม่า ระหว่างพ่อกับลูกสาว
- แถมถึงขนาดมีเส้นเรื่องฝ่ายซอมบี้
หนังยังใส่สารแฝง กับรายละเอียดเชิงลึกไว้ตามแบบฉบับแซ็ค สไนเดอร์
และเผื่อใครอยากขุด อยากตีความเล่น ขอชี้เป้าให้เป็นตัวอย่าง เช่น
- ซอมบี้ตัวแรกนั้นทางผู้สร้างตั้งชื่อเล่นเป็น 'ซุส' เจ้านี่ปกครองตึก 'โอลิมปัส' อยู่, ตามเทวตำนานกรีก ซุสทำสงครามโค่นล้มอำนาจบิดา และรวมพลังพี่น้องสถาปนาสภาเทพใหม่ขึ้น
- เปรียบเปรยการเปิดตู้เซฟ กับบทเพลงคลาสสิค (อันนี้เข้าใจง่าย)
- บทสนทนาเกี่ยวกับแอเรีย 51 และจอกศักดิ์สิทธิ์ตอนต้น
- การพล่ามถึงปรัชญาอะไรสักอย่าง ของคนดังสักคนผ่านปากตัวละคร
หนังหนีสูตรสำเร็จหลายอย่าง ของภาพยนตร์แนวเดียวกันไม่พ้น
แต่อันที่จริงรู้สึกเหมือนมันพยายามจิกกัดธรรมเนียม (เช่น ที่คนขับเฮลิคอปเตอร์พูดว่า คิดมากจนปวดหัว)
หรือบอกคนดูว่าอย่าใส่ใจเรื่องพรรค์นั้นเลย (ในบทสนทนาของพวกทหารตอนต้น) เสียมากกว่า...
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นผลงาน Netflix ที่ตอบโจทย์ด้านความบันเทิงดีมาก และงานสร้างระดับเดียวกับหนังโรง (แม้ทุนแค่ 70-90 ล้านดอลลาร์)
ตอนจบมีปูทางเผื่อภาคต่อ, แต่ที่มาแน่ๆ รอได้เลย คือ 'ภาคก่อน' ที่เป็นหนังคนแสดงอีกเรื่อง กับอนิเมชั่น
ด้านการใช้ภาษาหยาบคงไม่เป็นปัญหามาก ส่วนฉากโหดแบบที่บางคนน่าจะไม่ชอบจริงๆ มีน้อย
ก็ไว้เบือนหน้าหนีเป็นระยะได้มั้ง ถ้าใครยังไม่ได้ดู, ไม่มีภูมิคุ้มกันด้านนี้ ทว่าอยากลองของ
ฉากสโลว์โมชั่นกับความดาร์ค ตามสไตล์ผกก.รายนี้ก็มี, แต่ถือว่าน้อยจนผิดคาด
[ปล.] ซอมบี้หุ่นยนต์โผล่ไม่กี่วินาทีงี้ จะยังได้เห็นอีก ในเนื้อหาอื่นของแฟรนไชส์เปล่าเนี่ย ?