สัมมาญานะ

กระทู้สนทนา
- ในการสอนท้ายบทที่ 29 ปฏิสัมภิทามรรค พระอาจารย์กล่าวว่า สัมมาญานะ เคยพบอยู่แต่นึกไม่ออกว่า คำอธิบายเป็นอย่างไร ก็มาพิจารณาใคร่ครวญอย่างนี้บ่อยๆ ก็จะเห็น สัมมาญานะ ก็เคยพบอยู่แต่ว่าตอนนี้นึกไม่ออกว่า คำอธิบายเป็นอย่างไร เมื่อวานก่อนพยายามนึกอยู่แต่นึกไม่ออกว่ามาจากที่ตรงไหน เคยพบคำอธิบายเหมือนกันแต่ว่าจำ ระลึกไม่ได้แล้ว
- ผู้ใดเคยพบที่อื่นไหม เคยพบ พยัญชนะ คำว่า สัมมาญานะ เนี่ย อธิบายอย่างไรบ้าง แต่ก็พยายามไปดูนะ พยายามระลึกดูว่า มีคำอธิบายไว้ที่ใด แต่เคยพบคำอธิบายนะ แต่ว่าจำไม่ได้แล้วว่าอยู่ที่ไหน
-----------------------------------
- ผมจึงลองค้นหาดูก็พบ พยัญชนะ ดังกล่าวแล้ว ดังนี้
----------------------------------
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๖ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต 
๓. มิจฉัตตสูตร
ว่าด้วยมิจฉัตตธรรม
             [๑๐๓] ภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยมิจฉัตตธรรม(ธรรมที่ผิด) จึงมีการพลาด
จากสวรรค์และมรรคผล ไม่มีการบรรลุสวรรค์และมรรคผล
             เพราะอาศัยมิจฉัตตธรรมอย่างไร จึงมีการพลาดจากสวรรค์และมรรคผล ไม่มี
การบรรลุสวรรค์และมรรคผล
             คือ ผู้มีมิจฉาทิฏฐิ(เห็นผิด) ย่อมมีมิจฉาสังกัปปะ(ดำริผิด)
             ผู้มีมิจฉาสังกัปปะ ย่อมมีมิจฉาวาจา(เจรจาผิด)
             ผู้มีมิจฉาวาจา ย่อมมีมิจฉากัมมันตะ(กระทำผิด)
             ผู้มีมิจฉากัมมันตะ ย่อมมีมิจฉาอาชีวะ(เลี้ยงชีพผิด)
             ผู้มีมิจฉาอาชีวะ ย่อมมีมิจฉาวายามะ(พยายามผิด)
             ผู้มีมิจฉาวายามะ ย่อมมีมิจฉาสติ(ระลึกผิด)
--------
@เชิงอรรถ :
@๑ ดูความเต็มในข้อ ๙๗ (อาหุเนยยสูตร) หน้า ๒๒๙ ในเล่มนี้
{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๔ หน้า : ๒๔๔}
 --------
             ผู้มีมิจฉาสติ ย่อมมีมิจฉาสมาธิ(ตั้งจิตมั่นผิด)
             ผู้มีมิจฉาสมาธิ ย่อมมีมิจฉาญาณะ(รู้ผิด)
             ผู้มีมิจฉาญาณะ ย่อมมีมิจฉาวิมุตติ(หลุดพ้นผิด)
             ภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยมิจฉัตตธรรมอย่างนี้แล จึงมีการพลาดจากสวรรค์
และมรรคผล ไม่มีการบรรลุสวรรค์และมรรคผล
             ภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยสัมมัตตธรรม(ธรรมที่ถูก) จึงมีการบรรลุสวรรค์
และมรรคผล ไม่มีการพลาดจากสวรรค์และมรรคผล
             เพราะอาศัยสัมมัตตธรรมอย่างไร จึงมีการบรรลุสวรรค์และมรรคผล ไม่มีการ
พลาดจากสวรรค์และมรรคผล
             คือ ผู้มีสัมมาทิฏฐิ(เห็นชอบ) ย่อมมีสัมมาสังกัปปะ(ดำริชอบ)
             ผู้มีสัมมาสังกัปปะ ย่อมมีสัมมาวาจา(เจรจาชอบ)
             ผู้มีสัมมาวาจา ย่อมมีสัมมากัมมันตะ(กระทำชอบ)
             ผู้มีสัมมากัมมันตะ ย่อมมีสัมมาอาชีวะ(เลี้ยงชีพชอบ)
             ผู้มีสัมมาอาชีวะ ย่อมมีสัมมาวายามะ(พยายามชอบ)
             ผู้มีสัมมาวายามะ ย่อมมีสัมมาสติ(ระลึกชอบ)
             ผู้มีสัมมาสติ ย่อมมีสัมมาสมาธิ(ตั้งจิตมั่นชอบ)
             ผู้มีสัมมาสมาธิ ย่อมมีสัมมาญาณะ(รู้ชอบ)
             ผู้มีสัมมาญาณะ ย่อมมีสัมมาวิมุตติ(หลุดพ้นชอบ)
             ภิกษุทั้งหลาย เพราะอาศัยสัมมัตตธรรมอย่างนี้แล จึงมีการบรรลุสวรรค์และ
มรรคผล ไม่มีการพลาดจากสวรรค์และมรรคผล
มิจฉัตตสูตรที่ ๓ จบ
{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๔ หน้า : ๒๔๕}
-----------------------------
ที่มา https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=24&siri=101
----------------------------
ที่มา https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=24&siri=102
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๖ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต
 พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต [๓. ตติยปัณณาสก์]
 ๑. สมณสัญญาวรรค ๔. พีชสูตร

๔. พีชสูตร
ว่าด้วยบุคคลเปรียบเหมือนเมล็ดพืช
             [๑๐๔] ภิกษุทั้งหลาย กายกรรมที่ถือปฏิบัติให้บริบูรณ์ตามสมควรแก่
ทิฏฐิ(ความเห็น) วจีกรรมที่ถือปฏิบัติให้บริบูรณ์ตามสมควรแก่ทิฏฐิ มโนกรรมที่ถือ
ปฏิบัติให้บริบูรณ์ตามสมควรแก่ทิฏฐิ เจตนา ความปรารถนา ความตั้งใจ และ
สังขารทั้งหลายของบุคคลผู้มีมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ
มิจฉาอาชีวะ มิจฉาวายามะ มิจฉาสติ มิจฉาสมาธิ มิจฉาญาณะ และมิจฉาวิมุตติ
ธรรมทั้งหมดนั้น ย่อมเป็นไปเพื่อผลที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ
ไม่เกื้อกูล เป็นทุกข์ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะทิฏฐิเลวทราม
             กายกรรมที่ถือปฏิบัติให้บริบูรณ์ตามสมควรแก่ทิฏฐิ ... ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะทิฏฐิเลวทราม เปรียบเหมือนเมล็ดสะเดา เมล็ดบวบขม หรือเมล็ดน้ำเต้าขมที่
บุคคลเพาะไว้ในดินชุ่มชื้น รสดินและรสน้ำที่มันดูดซับเอาไว้ทั้งหมดย่อมเป็นไปเพื่อ
ความเป็นของขม เผ็ดร้อน ไม่น่ายินดี ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเมล็ดสะเดาเป็นต้น
นั้นเลว
             กายกรรมที่ถือปฏิบัติให้บริบูรณ์ตามสมควรแก่ทิฏฐิ วจีกรรมที่ถือปฏิบัติให้
บริบูรณ์ตามสมควรแก่ทิฏฐิ มโนกรรมที่ถือปฏิบัติให้บริบูรณ์ตามสมควรแก่ทิฏฐิ
เจตนา ความปรารถนา ความตั้งใจ และสังขารทั้งหลายของบุคคลผู้มีสัมมาทิฏฐิ
สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ
สัมมาสมาธิ สัมมาญาณะ และสัมมาวิมุตติ ธรรมทั้งหมดนั้นย่อมเป็นไปเพื่อผลที่
น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เกื้อกูล เป็นสุข ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะทิฏฐิดี
กายกรรมที่ถือปฏิบัติให้บริบูรณ์ตามสมควรแก่ทิฏฐิ ... ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะทิฏฐิดี เปรียบเหมือนพันธุ์อ้อย พันธุ์ข้าวสาลี หรือเมล็ดจันทน์ที่บุคคลเพาะไว้
ในดินชุ่มชื้น รสดินและรสน้ำที่มันดูดซับเอาไว้ทั้งหมดย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นของ
หวาน น่าอร่อย น่าชื่นใจ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะพันธุ์อ้อยเป็นต้นนั้นดี
พีชสูตรที่ ๔ จบ
---------------------------------------
ที่มา https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=24&siri=103
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๖ [ฉบับมหาจุฬาฯ]
อังคุตตรนิกาย ทสก-เอกาทสกนิบาต
 พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต [๓. ตติยปัณณาสก์]
 ๑. สมณสัญญาวรรค ๕. วิชชาสูตร

๕. วิชชาสูตร
ว่าด้วยวิชชา
             [๑๐๕] ภิกษุทั้งหลาย อวิชชา(ความไม่รู้แจ้ง)เป็นประธานแห่งการเข้าถึง
อกุศลธรรม อหิริ(ความไม่อายบาป) อโนตตัปปะ(ความไม่กลัวบาป) ก็มีตามมาด้วย
                          ๑. ผู้มีอวิชชาไม่เห็นแจ้ง ย่อมมีมิจฉาทิฏฐิ
                          ๒. ผู้มีมิจฉาทิฏฐิ ย่อมมีมิจฉาสังกัปปะ
                          ๓. ผู้มีมิจฉาสังกัปปะ ย่อมมีมิจฉาวาจา
                          ๔. ผู้มีมิจฉาวาจา ย่อมมีมิจฉากัมมันตะ
                          ๕. ผู้มีมิจฉากัมมันตะ ย่อมมีมิจฉาอาชีวะ
                          ๖. ผู้มีมิจฉาอาชีวะ ย่อมมีมิจฉาวายามะ
                          ๗. ผู้มีมิจฉาวายามะ ย่อมมีมิจฉาสติ
                          ๘. ผู้มีมิจฉาสติ ย่อมมีมิจฉาสมาธิ
                          ๙. ผู้มีมิจฉาสมาธิ ย่อมมีมิจฉาญาณะ
                          ๑๐. ผู้มีมิจฉาญาณะ ย่อมมีมิจฉาวิมุตติ
             ภิกษุทั้งหลาย วิชชา(ความรู้แจ้ง)เป็นประธานแห่งการเข้าถึงกุศลธรรมทั้งหลาย
หิริ(ความอายบาป)และโอตตัปปะ(ความกลัวบาป) ก็มีตามมาด้วย
                          ๑. ผู้มีวิชชาเห็นแจ้ง ย่อมมีสัมมาทิฏฐิ
                          ๒. ผู้มีสัมมาทิฏฐิ ย่อมมีสัมมาสังกัปปะ
                          ๓. ผู้มีสัมมาสังกัปปะ ย่อมมีสัมมาวาจา
                          ๔. ผู้มีสัมมาวาจา ย่อมมีสัมมากัมมันตะ
                          ๕. ผู้มีสัมมากัมมันตะ ย่อมมีสัมมาอาชีวะ
                          ๖. ผู้มีสัมมาอาชีวะ ย่อมมีสัมมาวายามะ
------------
{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๒๔ หน้า : ๒๔๗}
๑. สมณสัญญาวรรค ๖. นิชชรสูตร
--------------
                          ๗. ผู้มีสัมมาวายามะ ย่อมมีสัมมาสติ
                          ๘. ผู้มีสัมมาสติ ย่อมมีสัมมาสมาธิ
                          ๙. ผู้มีสัมมาสมาธิ ย่อมมีสัมมาญาณะ
                          ๑๐. ผู้มีสัมมาญาณะ ย่อมมีสัมมาวิมุตติ
วิชชาสูตรที่ ๕ จบ
--------------------
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่