8 เรือนจำเชียงใหม่ โควิดระบาดติดเชื้อเกือบทะลุหมื่นราย
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_6401502
สถานการณ์โควิดในเรือนจำ เป็นที่จับตา หลังจาก กรมราชทัณฑ์ เปิดเผยตัวเลข เรือนจำกรุงเทพ ติดเชื้อแล้วหลายพันหลาย พบว่า เชียงใหม่ ก็มีรายการการติดเชื้อจำนวนมาก
รายงานข่าวแจ้งว่า จากการตรวจคัดกรองเชิงรุกในเรือนจำและทัณฑสถานในพื้นที่เสี่ยง พบว่าข้อมูลจำนวนตัวเลขผู้ต้องขังที่ติดเชื้อโควิด ที่ทางเรือนจำได้ตรวจช่วงวันที่ (12-16 พ.ค. 64) มีผู้ต้องขังติดเชื้อรวมทั้งหมด 9,783 คน จาก 8 เรือนจำ เรือนจำกลางเชียงใหม่ เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ทัณฑสถานหญิงกลาง เรือนจำกลางคลองเปรม เรือนจำพิเศษธนบุรี ทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง เรือนจำกลางฉะเชิงเทรา เรือนจำจังหวัดนนทบุรี
สำหรับเรือนจำที่พบว่ามีผู้ต้องขังติดโควิดจำนวนมาก คือ ประกอบด้วย เรือนจำกลางเชียงใหม่ ติดเชื้อ 3,929 คน จากจำนวนผู้ต้องขังทั้งหมด 6,469 คน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในส่วนเรือนจำกลางเชียงใหม่ ในวันพรุ่งนี้ (17 พ.ค. 64) เวลา 10.30 น. ณ หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ รองแม่ทัพภาคที่ 3 รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายแพทย์สาธรณสุขจังหวัดเชียงใหม่ รองเจ้ากรมแพทย์ทหาร และผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงใหม่ จะร่วมแถลงข่าว ในประเด็นดังกล่าว พร้อมกับของบการดำเนินงานโรงพยาบาลสนามเรือนจำกลางเชียงใหม่ อำเภอแม่แตง
บิ๊กแสนสิริ หนุน เก็บภาษีคนรวย ลดความเหลื่อมล้ำ คนแข็งแรงต้องเสียสละ
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_6401389
บอสใหญ่แสนสิริ ทวีตสนับสนุน เก็บ ภาษีคนรวย ชี้ สามารถนำไปลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำเมื่อมีภัยพิบัติในอนาคต คนแข็งแรงกว่าต้องเสียสละ
นาย
เศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ทวีตข้อความว่าจากบทความสัดส่วนตัวเลขของภาษีคนรวย ซึ่งระบุว่า 7 ล้านล้านดอลลาร์ – คือมูลค่าความร่ำรวยของเศรษฐีอเมริกันที่รวยที่สุด 1% เมื่อปี 2020 5% ของครัวเรือนที่ถือครองความร่ำรวยชาวอเมริกันอยู่ 2 ใน 3 และ สัดส่วนภาษีที่สมาชิกเดโมแครตต้องการให้เก็บภาษีคนรวย คือ 6 ต่อ 1
โดยข้อวามระบุว่า
“ตัวเลขนี้คือบทพิสูจน์ว่าทําไมเราถึงต้องมี wealth tax/ ภาษีคนรวย เพราะช่วงโควิดคนตัวเล็กเดือนร้อนมากทั้งทางรายได้และสุขภาพในอัตราส่วนที่สูงกว่าคนรายได้มาก ภาษีนี้รัฐบาลจะได้นําไปช่วยป้องกันหรือลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำเมื่อมีภัยพิบัติในอนาคต คนแข็งแรงกว่าต้องเสียสละครับ”
พร้อมกันนั้น ยังทวีตข้อความว่า จากบทความเรื่องเราต้องการภาษีคนรวย ว่า
“ถูกต้องและเห็นด้วยอย่างยิ่ง ช่วงโควิดเห็นได้ชัดถึงความเหลื่อมล้ำ คนตัวเล็กต้องได้ความช่วยเหลือจากการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกลไกรัฐ ทำให้รัฐบาลมีภาระทางงบประมาณสูงขึ้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการเรียกเก็บภาษีเพิ่มจากผู้ที่มั่งคั่งกว่าในรูปแบบต่างๆให้เกิดภาวะการเงินสมดุลของประเทศ”
https://twitter.com/Thavisin/status/1393855837613871109
https://twitter.com/Thavisin/status/1393848514770137091
‘วิโรจน์-ณัฐพงษ์’ ชี้ ตรวจโควิดเชิงรุกใน กทม.ไม่ครอบคลุม แนะ รบ. 6 ข้อ อนุมัติงบกลางซื้อเครื่องมือแพทย์
https://www.matichon.co.th/politics/news_2726581
‘วิโรจน์-ณัฐพงษ์’ ชี้ ตรวจโควิดเชิงรุก รบ.ใน กทม.ไม่ครอบคลุม แนะ 6 ข้อ สกัดการแพร่ระบาดอย่างมีประสิทธิภาพ ยก ‘ชุมชนบ้านขิง’ เป็นตัวอย่าง
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 16 พฤษภาคม ที่พรรคก้าวไกล นาย
วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคก้าวไกล และนาย
ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.กทม. เขคบางแค พรรคก้าวไกล กล่าวถึงปัญหาการรอคอยของประชาชนและจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ปัจจุบันในเขตกรุงเทพมหานคร
นาย
วิโรจน์ กล่าวว่า หากสงสัยว่าติดเชื้อโควิด-19 และเริ่มมีอาการเบาบาง การเข้าถึงการตรวจวินิจฉัยในโรงพยาบาลของรัฐบางแห่งต้องรอคิวตรวจนานกว่า 3 วัน แต่กว่าจะทราบผลตรวจต้องรอ 1-2 วัน ซึ่งระยะเวลามากกว่า 4 หรือ 7 วันนั้น อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการหนักขึ้น ทรุดตัวลงมากขึ้น ทำให้มีโอกาสการเสียชีวิตของผู้ป่วยมากขึ้นไปด้วย
นาย
วิโรจน์กล่าวว่า ในวันนี้ปัญหาระบบสาธารณสุขในเขตพื้นที่ กทม. ไม่ได้เกิดกับผู้ป่วยสีเขียว แต่เกิดจากผู้ป่วยสีเหลืองและสีแดง การตรวจเชิงรุกในพื้นที่ กทม.ไม่ได้มีความครอบคลุม ทำให้ไม่สามารถสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้าน นาย
ณัฐพงษ์ กล่าวว่า กรณีคลัสเตอร์บางแค อย่างชุมชนบ้านขิงนั้น ชาวบ้านได้ขอความช่วยเหลือมาว่าในชุมชนมีผู้ที่มีประวัติเสี่ยงสูง และคาดว่าจะเป็นผู้ติดเชื้อนอนป่วยอยู่ในบ้าน ซึ่งไม่ว่าจะประสานหน่วยงานไหนไปก็ไม่มีใครเข้ามารับ ได้รับคำตอบกลับมาว่าต้องมีใบตรวจยืนยันผลว่าติดเชื้อก่อนเท่านั้น ถึงจะส่งรถเข้ามารับตัวไปรักษา
นาย
ณัฐพงษ์กล่าวว่า ตนและทีมงานจึงส่งแล็บชุดตรวจเคลื่อนที่ ซึ่งเป็นการตรวจแบบกวาดจมูก (swab test) ลงชุมชนบ้านขิง มีผู้ได้รับการตรวจทั้งสิ้น 98 คน พบผู้ติดเชื้อจำนวน 9 คน ต่อมาได้ประสานงานไปยังหน่วยงานว่าพบผู้ติดเชื้ออยากให้รีบนำตัวส่งโรงพยาบาล แต่ชาวบ้านทั้ง 9 คน ต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลซ้ำอีก เพื่อนำตัวผู้ป่วยเข้าระบบ เพราะตามระเบียบหากไม่มีใบยืนยันผลตรวจ จะไม่สามารถรับตัวผู้ป่วยเข้ารับการรักษาได้
นาย
ณัฐพงษ์กล่าวต่อว่า เห็นได้ว่าวันนี้การตรวจที่ดีที่สุดคือการตรวจที่เหมาะสมกับหน้างาน และอยากฝากถึงนโยบายที่ว่าโรงพยาบาลใดตรวจ โรงพยาบาลนั้นต้องรับผิดชอบ ผลที่สะท้อนคือโรงพยาบาลเอกชนบางที่บ่ายเบี่ยงในการรับผิดชอบ ไม่รับตรวจแม้จะเป็นโรงพยาบาลที่ชาวบ้านมีประกันสังคมอยู่ก็ตาม
ขณะที่ นาย
วิโรจน์ กล่าวว่า ขอเสนอแนะแก่รัฐบาลว่า
1. รัฐบาลควรใช้ Rapid Antigen Test ที่ผ่านมาตรฐานของ อย. ในการตรวจคัดกรองเชิงรุกให้กับประชาชนที่มีอาการเข้าข่ายว่าอาจติดเชื้อโควิด-19 เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยาและการรักษาก่อนที่จะมีอาการหนัก ช่วยลดโอกาสการเสียชีวิตลง และเพื่อให้การตรวจเชิงรุกมีความครอบคลุมพื้นที่ เพื่อประโยชน์ในการสกัดกั้นการระบาดให้มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นอยู่ และรัฐบาลต้องดูแลเรื่องอาหารให้เพียงพอต่อการยังชีพอย่างมีโภชนาการ ให้กับผู้ที่อยู่ระหว่างการรอเตียงหรือต้องกักตัวเอง 14 วัน
2. ควรให้ประชาชนเข้าถึงชุด Rapid Antigen Test ไม่ว่าจะเป็นการแจกในพื้นที่เสี่ยง หรือให้สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป
นาย
วิโรจน์กล่าวต่อว่า
3. ควรยกเลิกนโยบายที่ให้โรงพยาบาลใดที่ตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จะต้องจัดหาเตียงให้กับผู้ป่วยเองตามลำพัง แต่เปลี่ยนเป็นให้โรงพยาบาลตามสิทธิเป็นผู้บริหารจัดการในเบื้องต้นสำหรับการจัดสรรเตียง และการส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลที่มีสมรรถนะที่เหมาะสมกับอาการของโรคของผู้ป่วยนั้น ควรกำหนดให้มีหน่วยงานกลางในการจัดการ ภายใต้หลักเกณฑ์ที่เป็นมาตรฐานที่ตกลงร่วมกันของทุกสังกัดโรงพยาบาล
“ปัจจุบันปัญหาใหญ่ที่สุดในการจัดการเตียงในพื้นที่ กทม.คือโรงพยาบาลในพื้นที่มีต้นสังกัดที่หลากหลาย ซึ่งการจัดสรรเตียงและการส่งต่อผู้ป่วยในปัจจุบันยังขาดเอกภาพในการทำงานข้ามสังกัด และสิ่งที่สำคัญที่สุดในการบริหารจัดการในพื้นที่ กทม.คือมาตการปกครองใดๆ ไม่ว่าจะล็อกดาวน์ กึ่งล็อกดาวน์ หรือคลายการล็อกดาวน์ ไม่ควรพิจารณาจากจำนวนผู้ติดเชื้อเพียงอย่างเดียว จะต้องคำนึงถึงขีดความสามารถในการดูแลผู้ป่วยด้วย” นาย
วิโรจน์กล่าว
นายวิโรจน์กล่าวต่อว่า
4. รัฐบาลต้องเร่งปรับปรุงกระบวนการในการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 โดยลดระยะเวลาในการรอคิวตรวจ รอผลตรวจ รอเตียง และรอยา โดยเฉพาะการลดงานเอกสารและงานธุรการในการจ่ายยาของแพทย์ลง เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยให้น้อยที่สุด
5. รัฐบาลต้องเร่งจัดสรรงบประมาณหรืออนุมัติงบกลางในการจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ที่จำเป็น โดยเฉพาะเครื่องออกซิเจนไฮโฟลว์ ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการดูแลผู้ป่วยที่มีอาการหนักขึ้นหรือผู้ป่วยสีเหลือง พร้อมยกระดับหอผู้ป่วยทั่วไปหรือโรงพยาบาลสนามบางแห่งที่มีประสิทธิภาพให้สามารถดูแลผู้ป่วยสีเหลืองได้
นาย
วิโรจน์กล่าวว่า
และ 6. รัฐบาลต้องกระจายความเสี่ยงและสำรองยาที่จำเป็นต่อการรักษาโควิด-19 ให้มีความหลากหลายและเพียงพอ โดยปัจจุบันประเทศไทยมียาต้านไวรัสเพียงแค่ฟาวิพิราเวียร์เท่านั้น แต่ในทางการแพทย์ยังมียาต้านไวรัสชนิดอื่นที่มีความจำเป็น
JJNY : 4in1 8เรือนจำ ชม. ติดเชื้อเกือบหมื่น│บิ๊กแสนสิริหนุนเก็บภาษีคนรวย│วิโรจน์-ณัฐพงษ์แนะรบ.6ข้อ│ประสิทธิ์เตรียมมอบตัว
https://www.khaosod.co.th/breaking-news/news_6401502
สถานการณ์โควิดในเรือนจำ เป็นที่จับตา หลังจาก กรมราชทัณฑ์ เปิดเผยตัวเลข เรือนจำกรุงเทพ ติดเชื้อแล้วหลายพันหลาย พบว่า เชียงใหม่ ก็มีรายการการติดเชื้อจำนวนมาก
รายงานข่าวแจ้งว่า จากการตรวจคัดกรองเชิงรุกในเรือนจำและทัณฑสถานในพื้นที่เสี่ยง พบว่าข้อมูลจำนวนตัวเลขผู้ต้องขังที่ติดเชื้อโควิด ที่ทางเรือนจำได้ตรวจช่วงวันที่ (12-16 พ.ค. 64) มีผู้ต้องขังติดเชื้อรวมทั้งหมด 9,783 คน จาก 8 เรือนจำ เรือนจำกลางเชียงใหม่ เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ทัณฑสถานหญิงกลาง เรือนจำกลางคลองเปรม เรือนจำพิเศษธนบุรี ทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง เรือนจำกลางฉะเชิงเทรา เรือนจำจังหวัดนนทบุรี
สำหรับเรือนจำที่พบว่ามีผู้ต้องขังติดโควิดจำนวนมาก คือ ประกอบด้วย เรือนจำกลางเชียงใหม่ ติดเชื้อ 3,929 คน จากจำนวนผู้ต้องขังทั้งหมด 6,469 คน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในส่วนเรือนจำกลางเชียงใหม่ ในวันพรุ่งนี้ (17 พ.ค. 64) เวลา 10.30 น. ณ หอประชุมเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา องค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ รองแม่ทัพภาคที่ 3 รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายแพทย์สาธรณสุขจังหวัดเชียงใหม่ รองเจ้ากรมแพทย์ทหาร และผู้บัญชาการเรือนจำกลางเชียงใหม่ จะร่วมแถลงข่าว ในประเด็นดังกล่าว พร้อมกับของบการดำเนินงานโรงพยาบาลสนามเรือนจำกลางเชียงใหม่ อำเภอแม่แตง
บิ๊กแสนสิริ หนุน เก็บภาษีคนรวย ลดความเหลื่อมล้ำ คนแข็งแรงต้องเสียสละ
https://www.khaosod.co.th/update-news/news_6401389
บอสใหญ่แสนสิริ ทวีตสนับสนุน เก็บ ภาษีคนรวย ชี้ สามารถนำไปลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำเมื่อมีภัยพิบัติในอนาคต คนแข็งแรงกว่าต้องเสียสละ
นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ทวีตข้อความว่าจากบทความสัดส่วนตัวเลขของภาษีคนรวย ซึ่งระบุว่า 7 ล้านล้านดอลลาร์ – คือมูลค่าความร่ำรวยของเศรษฐีอเมริกันที่รวยที่สุด 1% เมื่อปี 2020 5% ของครัวเรือนที่ถือครองความร่ำรวยชาวอเมริกันอยู่ 2 ใน 3 และ สัดส่วนภาษีที่สมาชิกเดโมแครตต้องการให้เก็บภาษีคนรวย คือ 6 ต่อ 1
โดยข้อวามระบุว่า
“ตัวเลขนี้คือบทพิสูจน์ว่าทําไมเราถึงต้องมี wealth tax/ ภาษีคนรวย เพราะช่วงโควิดคนตัวเล็กเดือนร้อนมากทั้งทางรายได้และสุขภาพในอัตราส่วนที่สูงกว่าคนรายได้มาก ภาษีนี้รัฐบาลจะได้นําไปช่วยป้องกันหรือลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำเมื่อมีภัยพิบัติในอนาคต คนแข็งแรงกว่าต้องเสียสละครับ”
พร้อมกันนั้น ยังทวีตข้อความว่า จากบทความเรื่องเราต้องการภาษีคนรวย ว่า
“ถูกต้องและเห็นด้วยอย่างยิ่ง ช่วงโควิดเห็นได้ชัดถึงความเหลื่อมล้ำ คนตัวเล็กต้องได้ความช่วยเหลือจากการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกลไกรัฐ ทำให้รัฐบาลมีภาระทางงบประมาณสูงขึ้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีการเรียกเก็บภาษีเพิ่มจากผู้ที่มั่งคั่งกว่าในรูปแบบต่างๆให้เกิดภาวะการเงินสมดุลของประเทศ”
https://twitter.com/Thavisin/status/1393855837613871109
https://twitter.com/Thavisin/status/1393848514770137091
‘วิโรจน์-ณัฐพงษ์’ ชี้ ตรวจโควิดเชิงรุกใน กทม.ไม่ครอบคลุม แนะ รบ. 6 ข้อ อนุมัติงบกลางซื้อเครื่องมือแพทย์
https://www.matichon.co.th/politics/news_2726581
‘วิโรจน์-ณัฐพงษ์’ ชี้ ตรวจโควิดเชิงรุก รบ.ใน กทม.ไม่ครอบคลุม แนะ 6 ข้อ สกัดการแพร่ระบาดอย่างมีประสิทธิภาพ ยก ‘ชุมชนบ้านขิง’ เป็นตัวอย่าง
เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 16 พฤษภาคม ที่พรรคก้าวไกล นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ โฆษกพรรคก้าวไกล และนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ส.ส.กทม. เขคบางแค พรรคก้าวไกล กล่าวถึงปัญหาการรอคอยของประชาชนและจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ปัจจุบันในเขตกรุงเทพมหานคร
นายวิโรจน์ กล่าวว่า หากสงสัยว่าติดเชื้อโควิด-19 และเริ่มมีอาการเบาบาง การเข้าถึงการตรวจวินิจฉัยในโรงพยาบาลของรัฐบางแห่งต้องรอคิวตรวจนานกว่า 3 วัน แต่กว่าจะทราบผลตรวจต้องรอ 1-2 วัน ซึ่งระยะเวลามากกว่า 4 หรือ 7 วันนั้น อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการหนักขึ้น ทรุดตัวลงมากขึ้น ทำให้มีโอกาสการเสียชีวิตของผู้ป่วยมากขึ้นไปด้วย
นายวิโรจน์กล่าวว่า ในวันนี้ปัญหาระบบสาธารณสุขในเขตพื้นที่ กทม. ไม่ได้เกิดกับผู้ป่วยสีเขียว แต่เกิดจากผู้ป่วยสีเหลืองและสีแดง การตรวจเชิงรุกในพื้นที่ กทม.ไม่ได้มีความครอบคลุม ทำให้ไม่สามารถสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้าน นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า กรณีคลัสเตอร์บางแค อย่างชุมชนบ้านขิงนั้น ชาวบ้านได้ขอความช่วยเหลือมาว่าในชุมชนมีผู้ที่มีประวัติเสี่ยงสูง และคาดว่าจะเป็นผู้ติดเชื้อนอนป่วยอยู่ในบ้าน ซึ่งไม่ว่าจะประสานหน่วยงานไหนไปก็ไม่มีใครเข้ามารับ ได้รับคำตอบกลับมาว่าต้องมีใบตรวจยืนยันผลว่าติดเชื้อก่อนเท่านั้น ถึงจะส่งรถเข้ามารับตัวไปรักษา
นายณัฐพงษ์กล่าวว่า ตนและทีมงานจึงส่งแล็บชุดตรวจเคลื่อนที่ ซึ่งเป็นการตรวจแบบกวาดจมูก (swab test) ลงชุมชนบ้านขิง มีผู้ได้รับการตรวจทั้งสิ้น 98 คน พบผู้ติดเชื้อจำนวน 9 คน ต่อมาได้ประสานงานไปยังหน่วยงานว่าพบผู้ติดเชื้ออยากให้รีบนำตัวส่งโรงพยาบาล แต่ชาวบ้านทั้ง 9 คน ต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลซ้ำอีก เพื่อนำตัวผู้ป่วยเข้าระบบ เพราะตามระเบียบหากไม่มีใบยืนยันผลตรวจ จะไม่สามารถรับตัวผู้ป่วยเข้ารับการรักษาได้
นายณัฐพงษ์กล่าวต่อว่า เห็นได้ว่าวันนี้การตรวจที่ดีที่สุดคือการตรวจที่เหมาะสมกับหน้างาน และอยากฝากถึงนโยบายที่ว่าโรงพยาบาลใดตรวจ โรงพยาบาลนั้นต้องรับผิดชอบ ผลที่สะท้อนคือโรงพยาบาลเอกชนบางที่บ่ายเบี่ยงในการรับผิดชอบ ไม่รับตรวจแม้จะเป็นโรงพยาบาลที่ชาวบ้านมีประกันสังคมอยู่ก็ตาม
ขณะที่ นายวิโรจน์ กล่าวว่า ขอเสนอแนะแก่รัฐบาลว่า
1. รัฐบาลควรใช้ Rapid Antigen Test ที่ผ่านมาตรฐานของ อย. ในการตรวจคัดกรองเชิงรุกให้กับประชาชนที่มีอาการเข้าข่ายว่าอาจติดเชื้อโควิด-19 เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยาและการรักษาก่อนที่จะมีอาการหนัก ช่วยลดโอกาสการเสียชีวิตลง และเพื่อให้การตรวจเชิงรุกมีความครอบคลุมพื้นที่ เพื่อประโยชน์ในการสกัดกั้นการระบาดให้มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เป็นอยู่ และรัฐบาลต้องดูแลเรื่องอาหารให้เพียงพอต่อการยังชีพอย่างมีโภชนาการ ให้กับผู้ที่อยู่ระหว่างการรอเตียงหรือต้องกักตัวเอง 14 วัน
2. ควรให้ประชาชนเข้าถึงชุด Rapid Antigen Test ไม่ว่าจะเป็นการแจกในพื้นที่เสี่ยง หรือให้สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป
นายวิโรจน์กล่าวต่อว่า
3. ควรยกเลิกนโยบายที่ให้โรงพยาบาลใดที่ตรวจพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 จะต้องจัดหาเตียงให้กับผู้ป่วยเองตามลำพัง แต่เปลี่ยนเป็นให้โรงพยาบาลตามสิทธิเป็นผู้บริหารจัดการในเบื้องต้นสำหรับการจัดสรรเตียง และการส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลที่มีสมรรถนะที่เหมาะสมกับอาการของโรคของผู้ป่วยนั้น ควรกำหนดให้มีหน่วยงานกลางในการจัดการ ภายใต้หลักเกณฑ์ที่เป็นมาตรฐานที่ตกลงร่วมกันของทุกสังกัดโรงพยาบาล
“ปัจจุบันปัญหาใหญ่ที่สุดในการจัดการเตียงในพื้นที่ กทม.คือโรงพยาบาลในพื้นที่มีต้นสังกัดที่หลากหลาย ซึ่งการจัดสรรเตียงและการส่งต่อผู้ป่วยในปัจจุบันยังขาดเอกภาพในการทำงานข้ามสังกัด และสิ่งที่สำคัญที่สุดในการบริหารจัดการในพื้นที่ กทม.คือมาตการปกครองใดๆ ไม่ว่าจะล็อกดาวน์ กึ่งล็อกดาวน์ หรือคลายการล็อกดาวน์ ไม่ควรพิจารณาจากจำนวนผู้ติดเชื้อเพียงอย่างเดียว จะต้องคำนึงถึงขีดความสามารถในการดูแลผู้ป่วยด้วย” นายวิโรจน์กล่าว
นายวิโรจน์กล่าวต่อว่า
4. รัฐบาลต้องเร่งปรับปรุงกระบวนการในการดูแลผู้ป่วยโควิด-19 โดยลดระยะเวลาในการรอคิวตรวจ รอผลตรวจ รอเตียง และรอยา โดยเฉพาะการลดงานเอกสารและงานธุรการในการจ่ายยาของแพทย์ลง เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยให้น้อยที่สุด
5. รัฐบาลต้องเร่งจัดสรรงบประมาณหรืออนุมัติงบกลางในการจัดซื้อเครื่องมือแพทย์ที่จำเป็น โดยเฉพาะเครื่องออกซิเจนไฮโฟลว์ ที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการดูแลผู้ป่วยที่มีอาการหนักขึ้นหรือผู้ป่วยสีเหลือง พร้อมยกระดับหอผู้ป่วยทั่วไปหรือโรงพยาบาลสนามบางแห่งที่มีประสิทธิภาพให้สามารถดูแลผู้ป่วยสีเหลืองได้
นายวิโรจน์กล่าวว่า
และ 6. รัฐบาลต้องกระจายความเสี่ยงและสำรองยาที่จำเป็นต่อการรักษาโควิด-19 ให้มีความหลากหลายและเพียงพอ โดยปัจจุบันประเทศไทยมียาต้านไวรัสเพียงแค่ฟาวิพิราเวียร์เท่านั้น แต่ในทางการแพทย์ยังมียาต้านไวรัสชนิดอื่นที่มีความจำเป็น