สร้างรัก...บทที่ 5 (2)

ปัถยาวิ่งมาถึงจุดเกิดเหตุในเวลาไม่กี่นาที แต่ก็ไม่ทันกาลเมื่อไฟที่มีต้นเพลิงจากถังสีได้ลุกลามไปยังผ้าม่านที่เตรียมไว้สำหรับติดตั้งในห้องที่ทำเสร็จแล้ว นอกจากนี้ยังลุกไหม้ไปตามเสื้อผ้าของช่างสีที่ผสมสีอยู่ตรงนั้นพอดี
 
         “รีบถอดเสื้อผ้าออกเร็วช่าง” เซฟตีสาวที่ยังสติดีอยู่ตะโกนบอกผู้เคราะห์ร้ายที่กำลังวิ่งพล่านไปมาเพราะความร้อนที่กำลังแผดเผากาย ก่อนหันไปสั่งคนงานที่อยู่ใกล้เคียงที่ต่างพากันยืนนิ่งทำอะไรไม่ถูก 
 
         “หาน้ำมาดับไฟที่ตัวพี่เขาทีค่ะ” พูดจบปัถยาก็วิ่งไปหิ้วถังดับเพลิงที่อยู่ไม่ไกลมาปลดสลักและฉีดไปยังฐานของไฟบนถังสีและกองผ้าม่าน
 
         ชวกรที่เพิ่งวิ่งมาถึงเห็นดังนั้นก็รีบไปดึงสายยางที่ช่างปูนต่อไว้สำหรับผสมปูนมาฉีดไปยังตัวของช่างสีทันที ด้านคนอื่นๆ ก็ไม่รอช้า ต่างพากันวิ่งไปนำถังดับเพลิงมาช่วยดับไฟก่อนที่จะลุกลามและสร้างความเสียหายมากกว่าที่เป็นอยู่
 
         หลังเพลิงสงบลง คนเจ็บถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลใกล้เคียงในทันที เพราะความร้อนได้ทำลายชั้นผิวหนังจนพุพองไปทั้งตัว จากนั้นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องก็เข้ามาสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้นพร้อมสอบสวนหาสาเหตุของเหตุการณ์ในครั้งนี้
 
         
 
         “เรื่องมันเกิดขึ้นได้ยังไง” ศรันย์ถามเสียงเข้ม สีหน้าดูจริงจังจนปัถยาไม่กล้าสบตา
 
         “จากการสอบสวนสาเหตุเกิดจากสะเก็ดลูกไฟจากงานตัดเหล็กด้วยแก๊สบนชั้นเหนือฝ้าร่วงลงมาตรงตำแหน่งที่ช่างสีผสมสีพอดี เลยเป็นเหตุให้ไฟลุกและลามไปที่ผ้าม่านที่เตรียมติดตั้งและที่ตัวของช่างสีค่ะ” ปัถยาบอกเสียงอ่อยอย่างคนมีความผิด
 
         “ลืมไปแล้วเหรอว่าก่อนทำงานที่มีความร้อนต้องทำอะไรบ้าง”
 
         “ไม่ลืมค่ะ”
 
         “ไม่ลืมแล้วมันเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นได้ยังไง ก่อนทำงานไม่มีการขออนุญาต อุปกรณ์ป้องกันต่างๆ ก็ไม่มี” ศรันย์ตวาดเสียงดังจนหญิงสาวสะดุ้ง 
 
         “ทางช่างเขาไม่ได้แจ้งมาค่ะว่าจะมีงานตัดเหล็กตรงนั้น รุ้งเลยไม่ได้ทำเรื่องขออนุญาตและไม่ได้ไปตรวจดูก่อนที่จะเริ่มทำงาน”
 
         “ไม่ต้องมาแก้ตัวหรืออ้างอะไรทั้งนั้น นั่นมันเรื่องภายในบริษัทของคุณที่ต้องประสานงาน ที่ต้องกำกับและควบคุมกันเอง”
 
         “ค่ะ รุ้งบกพร่องในหน้าที่เองที่ไม่สามารถทำให้พนักงานและคนงานในบริษัทให้ความร่วมมือในเรื่องความปลอดภัยได้” 
 
         หญิงสาวก้มหน้ายอมรับผิดแต่เพียงผู้เดียว ไม่แม้แต่จะกล่าวโทษถึงตัวต้นเหตุ เมื่อคิดๆ ดูแล้วมันก็เป็นความบกพร่องของเธอจริงๆ นั่นแหละ ที่ไม่สามารถทำให้ทุกคนในไซต์งานเห็นถึงความสำคัญของความปลอดภัยในการทำงานได้
 
         “เรื่องง่ายๆ แค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วถ้าเรื่องใหญ่กว่านี้คุณจะไหวเหรอ ถ้าไม่ไหวก็บอกนะ ผมจะได้ให้คุณก้องภพหาคนมาแทนคุณ” 
 
         ชายหนุ่มพูดอย่างหยันๆ คิดแล้วไม่มีผิด ตั้งแต่วันแรกที่ได้รับรู้ว่าเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยคนใหม่ของบริษัท แกรนด์ คอนสตรัคชั่น แอนด์ ดีไซน์เป็นผู้หญิง เขาก็ทำใจไว้แล้วว่าเธออาจจะควบคุมคนงานได้ไม่ดีเท่าไร เพราะขนาดผู้ชายท่าทางดุๆ อย่างสุชาติ ยังไม่ค่อยมีใครเชื่อฟัง แล้วนับประสาอะไรกับผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างปัถยา
 
         “รุ้งยังไหวค่ะ” หญิงสาวตอบกลับทันควัน
 
         “อย่าเพิ่งมั่นใจไป ระหว่างนี้คุณก็ไปพิจารณาตัวเองดูละกันว่าคุณเหมาะที่จะทำงานนี้ไหม ถ้าคุณยังทำต่อไปคุณจะสามารถคุมคนงานและผู้รับเหมาให้ปฏิบัติตามได้ไหม โครงการนี้เปิดมาเป็นปี ไม่เคยมีเหตุการณ์รุนแรงขนาดนี้มาก่อน แต่คุณเข้ามาได้แค่สองเดือนก็เกิดเหตุซะแล้ว”
 
         “รุ้งมั่นใจค่ะ และต่อไปรุ้งจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างวันนี้อีกค่ะ” น้ำเสียงที่เปล่งออกมานั้นหนักแน่น เพื่อยืนยันความตั้งใจของตนเอง
 
         “ถ้าคุณยืนยันขนาดนี้ ผมก็จะให้โอกาสคุณอีกสักครั้ง และผมก็หวังว่าคงจะไม่มีเหตุการณ์อย่างวันนี้เกิดขึ้นอีกนะ ถ้ามีอีกครั้งผมคงต้องทำเรื่องขอให้เปลี่ยนเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยคนใหม่ เพราะเกิดเหตุแต่ละครั้งไม่ได้เสียชื่อแค่บริษัทผู้รับเหมา แต่มันเสียมาถึงบริษัทที่ปรึกษาและโครงการด้วย อีกอย่างคุณก็น่าจะรู้ดีว่าทางห้างฯ เขาซีเรียสและเข้มงวดเรื่องไฟไหม้แค่ไหน”
 
         “ค่ะ รุ้งจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบวันนี้อีกค่ะ” ปัถยารับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ ก่อนจะเดินหน้าหงอยออกจากห้องประชุมไป
 
         
 
         “พี่โจ้มีเรื่องด่วนอะไรเหรอครับ ถึงเรียกผมมาพบกะทันหันแบบนี้” ชวกรถามขึ้นขณะลากเก้าอี้มานั่งลงตรงหน้าผู้จัดการหนุ่ม
 
         “ตรีมีปัญหาอะไรกับน้องรุ้งหรือเปล่า” 
 
         คิ้วหนาขมวดมุ่นขึ้นทันทีเมื่อได้ฟังคำถามของลูกพี่ “ไม่มีนี่ครับ”
 
         “ไม่มีแล้ววันนี้ทำไมถึงเกิดเรื่องขึ้นได้ ปกติตรีไม่ใช่คนที่จะละเลยเรื่องความปลอดภัยเลยนี่” ก้องภพอดแปลกใจไม่ได้ จนต้องเรียกลูกน้องคนสนิทมาสอบถามดู เผื่อทั้งสองมีปัญหาอะไรกันเขาจะได้ไกล่เกลี่ยเพื่อป้องกันการเกิดเหตุซ้ำอีก
 
         “เขามาบอกอะไรพี่เหรอครับ” โฟร์แมนหนุ่มเข้าใจไปว่าปัถยาคงนำเรื่องที่เขาไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของเธอจนเกิดเรื่องมาบอกให้ผู้จัดการหนุ่มรับรู้
 
         “เปล่า รุ้งไม่ได้บอกอะไรพี่หรอก พี่แค่คาดเดาจากสถานที่เกิดเหตุในวันนี้ ตกลงว่ามีเรื่องกันจริงใช่ไหมถึงได้ถามพี่แบบนั้น”
 
         “เปล่าครับ ไม่ได้มีอะไร ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ผมสะเพร่าเองที่ลืมแจ้งเรื่องทำงานตัดเหล็ก และไม่ได้ตรวจดูความเรียบร้อยก่อนให้ช่างทำงาน ต่อไปผมจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีกครับพี่”
 
         “ถ้าตรียืนยันขนาดนี้พี่ก็จะเชื่อ ต่อไปก็ระมัดระวังอย่าให้เกิดเรื่องขึ้นอีกละกัน ลำพังเรื่องโดนค่าปรับมันไม่เท่าไรหรอก แต่เรื่องภาพลักษณ์ของบริษัทเรานี่สิสำคัญกว่า”
 
         “ครับพี่”
 
         “ถ้าน้องเขาขอความร่วมมืออะไรก็ช่วยๆ น้องเขาหน่อยละกัน น้องเขายังใหม่อยู่ อีกอย่างเรื่องความปลอดภัยเป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคนที่ต้องช่วยกันขับเคลื่อน ลำพังน้องเขาคนเดียวเอาไม่อยู่หรอก อยู่บริษัทเดียวกันก็ต้องช่วยกัน เพราะเกิดเรื่องมาทีมันเสียไปทั้งบริษัท วงการก่อสร้างมันยิ่งแคบอยู่ด้วย เรื่องแพร่ออกไปเมื่อไหร่ไม่เป็นผลดีกับบริษัทเราเท่าไร เมื่อภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยเราไม่ดี ต่อไปยื่นประมูลงานที่ไหนใครเขาจะอยากจ้าง เข้าใจที่พี่พูดใช่ไหม”
 
         “ผมเข้าใจครับพี่”
 
         “พี่มีเรื่องจะคุยกับตรีแค่นี้แหละ”
 
         “ถ้าพี่ไม่มีอะไรแล้วผมลงไปดูหน้างานก่อนนะครับ”
 
         “ตามสบาย”
 
         
 
         หลังได้คุยกับก้องภพ ชวกรกลับมานั่งทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ มันไม่ใช่ความผิดของปัถยาเลยสักนิด ทุกอย่างมันเกิดจากตัวเขา เกิดจากอคติที่มีต่อตัวหญิงสาว เธอจะทำตัวยังไงมันก็เรื่องส่วนตัวของเธอไม่ใช่เหรอ ในเมื่อเรื่องงานเธอก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีไม่มีขาดตกบกพร่อง แล้วทำไมเขาต้องเก็บเรื่องส่วนตัวเธอมาคิดแล้วนำมาปนกับเรื่องงานจนเกิดเรื่องราวใหญ่โต คิดได้ดังนั้นความรู้สึกผิดต่อหญิงสาวเริ่มก่อตัวขึ้นในใจ
 
         “น่าสงสารเซฟตีรุ้งเหมือนกันเนอะ มาทำงานไม่ทันไรก็งานเข้าซะแล้ว” 
 
         “นั่นน่ะสิ เมื่อกี้ฉันขึ้นไปเบิกกุญแจบนออฟฟิศ ได้ยินเสียงเซฟตีก้องด่าเซฟตีรุ้งดังลั่นเลย แถมยังบอกอีกว่าถ้าเกิดเรื่องขึ้นอีก จะให้ช่างโจ้หาคนใหม่มาแทน”
 
         ชวกรหลุดจากภวังค์ความคิดของตัวเองทันทีที่ได้ยินชื่อของปัถยาในบทสนทนาของคนงานสองสามีภรรยาที่ดังอยู่ด้านหลัง ก่อนจะตั้งใจฟังบทสนทนานั้นอย่างเงียบๆ
 
         “ขนาดนั้นเลยเหรอ” ผู้เป็นภรรยาถาม
 
         “เออน่ะสิ เซฟตีรุ้งนี่หงอยเลย เห็นเดินคอตกออกมาจากห้องประชุม เดินเหม่อขึ้นไปบนดาดฟ้าจนป่านนี้ยังไม่เห็นลงมาเลย ไม่รู้เครียดจนจะคิดสั้นหรือเปล่า”
 
         “เรื่องแค่นี้เอง คงไม่ถึงขนาดคิดสั้นหรอกมั้ง” ภรรยาแย้งความคิดของผู้เป็นสามี
 
         “มันก็ไม่เสมอไปหรอก แกไม่เคยเห็นข่าวคนคิดสั้นในทีวีหรือไง แค่เรื่องขี้หมูขี้หมายังเครียดจนฆ่าตัวตายได้เลย ดูท่าทางเซฟตีรุ้งก็คงเครียดไม่เบา ปกติเห็นร่าเริง ยิ้มแย้มอยู่ตลอดแม้จะโดนด่าสักแค่ไหน แต่วันนี้นิ่งเงียบกว่าทุกครั้ง อีกสักพักถ้ายังไม่เห็นลงมาฉันว่าจะขึ้นไปดูสักหน่อย”
 
         “ขึ้นไปดูหน่อยก็ดีเหมือนกัน เผื่อเกิดอะไรขึ้นจะได้ช่วยทัน”
 
         ได้ยินอย่างนั้นชวกรก็ผลุนผลันขึ้นไปบนชั้นดาดฟ้าทันที กลัวเหลือเกินว่าหญิงสาวจะคิดสั้นอย่างที่สองสามีภรรยาคุยกัน เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นจริงเขาคงจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต ที่อคติส่วนตัวของเขาทำลายชีวิตคนคนหนึ่ง โดยที่ตัวเธอนั้นไม่ได้ทำอะไรผิดเลย
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่