สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 9
จากใจคนที่อยู่ในระบบราชการและมีหัวหน้าคล้ายคุณ
จากที่ปีก่อนๆ เคยทำแค่นั้น เคยมีเป้าหมายแค่นี้
พอหัวหน้าคนใหม่มา ก็ตั้งเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้น คุณภาพดีขึ้น แต่คนทำงาน เวลา และงบประมาณเท่าเดิม
ตอนแรกเราก็ท้อค่ะ อยากลาออกทุกชั่วโมง ต้องมาแอบอยู่หลังบันไดเพื่อร้องไห้แทบทุกเที่ยง เสียสุขภาพจิตเป็นที่สุด
แต่พอคิดได้ว่าในเมื่อเปลี่ยนใครไม่ได้ก็เปลี่ยนตัวเราเองซะ
และถ้าทำได้ หรืออย่างน้อยได้พยายามไปถึงเป้าหมายที่หัวหน้าคาดไว้
นอกจากเราจะได้ทักษะในการทำงาน ได้ความรู้ ความเชี่ยวชาญ ได้ประสบการณ์เพิ่มขึ้น ประชาชน ประเทศชาติก็ได้ประโยชน์จากเราที่พัฒนาขึ้นด้วย
เพราะงานราชการไม่ใช่งานเช้าชามเย็นชาม เราถึงต้องพยายามให้มากขึ้น ต้องมีเป้าหมาย และต้องบังคับตัวเองให้ได้ค่ะ
การที่หัวหน้าออกไปทำงานนอก ก็คือการไปทำงานค่ะ ไปออกสื่อก็ถือว่าเป็นการไปประชาสัมพันธ์องค์กร ไปให้ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ ฯลฯ
เราอยู่ในสนง. อะไรที่เราซับพอร์ตหัวหน้าได้ ช่วยแบ่งเบา ก็ทำเถอะค่ะ ถือว่าได้เรียนรู้
วันหนึ่งข้างหน้าเราก็ต้องได้งานที่ยากขึ้น ตามความรับผิดชอบที่มากขึ้น ใช้โอกาสนี้สะสมประสบการณ์
อะไรที่ไม่ดีของเค้า เราก็มองข้ามไป เหมือนเค้าโยนอึใส่เรา แล้วเราจะไปหยิบอึ๊เค้าทำไม กองไว้นั้นค่ะ
ระหว่างนี้ก็หาตำแหน่งอื่นทั้งในและนอกกระทรวงเพื่อโอนค่ะ
เพราะชีวิตไม่ได้มีแต่วันดีๆ จึงต้องแก้ปัญหากันไป ให้กำลังใจตัวเองเยอะๆ สู้ๆ นะคะ
จากที่ปีก่อนๆ เคยทำแค่นั้น เคยมีเป้าหมายแค่นี้
พอหัวหน้าคนใหม่มา ก็ตั้งเป้าหมายที่ใหญ่ขึ้น คุณภาพดีขึ้น แต่คนทำงาน เวลา และงบประมาณเท่าเดิม
ตอนแรกเราก็ท้อค่ะ อยากลาออกทุกชั่วโมง ต้องมาแอบอยู่หลังบันไดเพื่อร้องไห้แทบทุกเที่ยง เสียสุขภาพจิตเป็นที่สุด
แต่พอคิดได้ว่าในเมื่อเปลี่ยนใครไม่ได้ก็เปลี่ยนตัวเราเองซะ
และถ้าทำได้ หรืออย่างน้อยได้พยายามไปถึงเป้าหมายที่หัวหน้าคาดไว้
นอกจากเราจะได้ทักษะในการทำงาน ได้ความรู้ ความเชี่ยวชาญ ได้ประสบการณ์เพิ่มขึ้น ประชาชน ประเทศชาติก็ได้ประโยชน์จากเราที่พัฒนาขึ้นด้วย
เพราะงานราชการไม่ใช่งานเช้าชามเย็นชาม เราถึงต้องพยายามให้มากขึ้น ต้องมีเป้าหมาย และต้องบังคับตัวเองให้ได้ค่ะ
การที่หัวหน้าออกไปทำงานนอก ก็คือการไปทำงานค่ะ ไปออกสื่อก็ถือว่าเป็นการไปประชาสัมพันธ์องค์กร ไปให้ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ ฯลฯ
เราอยู่ในสนง. อะไรที่เราซับพอร์ตหัวหน้าได้ ช่วยแบ่งเบา ก็ทำเถอะค่ะ ถือว่าได้เรียนรู้
วันหนึ่งข้างหน้าเราก็ต้องได้งานที่ยากขึ้น ตามความรับผิดชอบที่มากขึ้น ใช้โอกาสนี้สะสมประสบการณ์
อะไรที่ไม่ดีของเค้า เราก็มองข้ามไป เหมือนเค้าโยนอึใส่เรา แล้วเราจะไปหยิบอึ๊เค้าทำไม กองไว้นั้นค่ะ
ระหว่างนี้ก็หาตำแหน่งอื่นทั้งในและนอกกระทรวงเพื่อโอนค่ะ
เพราะชีวิตไม่ได้มีแต่วันดีๆ จึงต้องแก้ปัญหากันไป ให้กำลังใจตัวเองเยอะๆ สู้ๆ นะคะ
ความคิดเห็นที่ 10
บางทีมันต้องพิจารณาสามมุมมองนะครับ
1. มุมมองของคนนอก
2. มุมมองของคนใน (ที่ไม่ใช่คุณ)
3. มุมมองของเจ้านายคนเก่า
ลองไปถามคนสามกลุ่มนี้ ให้เขาลองประเมินคุณ ประเมินผลงาน ประเมินหัวหน้า เอาดาต้าและคำแนะนำที่ได้มาใช้ในการแก้ปัญหา
ผมรับราชการอยู่เหมือนกัน ตั้งแต่เรียนจบ ได้ขึ้นเป็นหัวหน้าตั้งแต่วัยเข้าสามสิบ ก็ยกระดับตามสายงานไป จุดสูงสุดน่าจะถึงก่อนเกษียณ หรือไม่ผมก็เกษียณตัวเองก่อน ซึ่งตอนนี้ผมจะสี่สิบกลางละ ผ่านมาเยอะ เจอองค์กรที่มีปัญหาภายในตั้งแต่ระดับล่างยันระดับบน เอาจริงๆ อาชีพรับราชการนี่เป็นอาชีพที่สร้างความทุกข์ได้สาหัสเลยนะ ถ้าไม่แยกมันออกจากเวลาของชีวิต ก็เลยอยากให้ข้อคิดว่า ไม่ว่าเราจะอยู่ในสังคมแบบไหน ต้องร่วมงานกับใคร ตัวเราต้อง move on ออกจากปมของปัญหา ถ้ามีปัญญาก็ต้องแก้ไขมัน แต่ถ้าแก้ไม่ได้ ก็ต้องพัฒนาตัวเองต่อไป เพื่อจะจัดการมันได้ในอนาคต อย่าหยุดการเรียนรู้ อย่าจมในความทุกข์ ผมเคยมีปัญหากับหัวหน้าหัวโบราณสมัยรับราชการใหม่ๆ แล้วสุดท้ายผมก็เข้าใจว่า ในระบบราชการเราเอาชนะกัวหน้าตัวเองไม่ได้หรอกครับ ทางเดียวที่จะชนะคือต้องจุดไฟตัวเองอีกครั้ง พัฒนาตัวเองให้ไปได้ไกลกว่า ทำงานให้เต็มที่ ให้โดดเด่น อย่าเอาความทุกข์กลับไปที่บ้าน นอกเวลางานก็ไปพัฒนาตัวเอง เรียนภาษาที่สาม ภาษาที่สี่ หรือหากคอนเนคชั่นเพิ่ม การเรียนต่อจะเป็นการหาคอนเนคชั่นที่ง่ายที่สุด ทุกวันนี้ผมเรียนปริญญาโทจบสองใบ และกำลังจะจบใบที่สาม ณ จุดนึงผมมองว่าการเรียนคือการพักผ่อนนะ มันจะยากแค่ครั้งแรก เพื่อนเพิ่มขึ้นทุกอย่างก็ง่ายขึ้น ไม่นานหรอกองค์ดรจะมองเห็น potential ของคุณเอง แล้วต่อไปคุณก็แทนที่เขาได้
แล้วทีนี้พอขึ้นเป็นหัวหน้าได้แล้ว ก็อย่าลืมว่าเราเคยลำบากมายังไงสมัยเป็นลูกน้อง ก็จำมันไว้ให้ดี ปฏิบัติตนให้สมกับคำว่าผู้นำ ทุกวันนี้ผมต้องเขียนแปะกำแพงไว้ทุกวันเตือนตัวเองไว้ว่าอย่าเป็นคนเรื่องเยอะ เข้าถึงยาก ฟังให้มาก พูดให้น้อยแต่มีพลัง เวลางานไม่เล่น เวลาเล่น ไม่ทำงาน เพราะบางครั้งมันจะลืมตัวลืมคิดมุมกลับ ลืมนึกถึงมุมของลูกน้อง ซึ่งแคแรคเตอร์มันจะไม่เหมือนกัน คำพูดบางคำต้องใช้ให้ถูกคน ผมยังมีความหวังนะ ว่าพวกเราจะช่วยกันพัฒนาระบบราชการให้รับใช่ประชาชนได้ดียิ่งขึ้น ไม่ใช่อยู่เพื่อเป็นเจ้านายใคร หรือเจอปัญหาแล้วต้องวิ่งหนีมัน
1. มุมมองของคนนอก
2. มุมมองของคนใน (ที่ไม่ใช่คุณ)
3. มุมมองของเจ้านายคนเก่า
ลองไปถามคนสามกลุ่มนี้ ให้เขาลองประเมินคุณ ประเมินผลงาน ประเมินหัวหน้า เอาดาต้าและคำแนะนำที่ได้มาใช้ในการแก้ปัญหา
ผมรับราชการอยู่เหมือนกัน ตั้งแต่เรียนจบ ได้ขึ้นเป็นหัวหน้าตั้งแต่วัยเข้าสามสิบ ก็ยกระดับตามสายงานไป จุดสูงสุดน่าจะถึงก่อนเกษียณ หรือไม่ผมก็เกษียณตัวเองก่อน ซึ่งตอนนี้ผมจะสี่สิบกลางละ ผ่านมาเยอะ เจอองค์กรที่มีปัญหาภายในตั้งแต่ระดับล่างยันระดับบน เอาจริงๆ อาชีพรับราชการนี่เป็นอาชีพที่สร้างความทุกข์ได้สาหัสเลยนะ ถ้าไม่แยกมันออกจากเวลาของชีวิต ก็เลยอยากให้ข้อคิดว่า ไม่ว่าเราจะอยู่ในสังคมแบบไหน ต้องร่วมงานกับใคร ตัวเราต้อง move on ออกจากปมของปัญหา ถ้ามีปัญญาก็ต้องแก้ไขมัน แต่ถ้าแก้ไม่ได้ ก็ต้องพัฒนาตัวเองต่อไป เพื่อจะจัดการมันได้ในอนาคต อย่าหยุดการเรียนรู้ อย่าจมในความทุกข์ ผมเคยมีปัญหากับหัวหน้าหัวโบราณสมัยรับราชการใหม่ๆ แล้วสุดท้ายผมก็เข้าใจว่า ในระบบราชการเราเอาชนะกัวหน้าตัวเองไม่ได้หรอกครับ ทางเดียวที่จะชนะคือต้องจุดไฟตัวเองอีกครั้ง พัฒนาตัวเองให้ไปได้ไกลกว่า ทำงานให้เต็มที่ ให้โดดเด่น อย่าเอาความทุกข์กลับไปที่บ้าน นอกเวลางานก็ไปพัฒนาตัวเอง เรียนภาษาที่สาม ภาษาที่สี่ หรือหากคอนเนคชั่นเพิ่ม การเรียนต่อจะเป็นการหาคอนเนคชั่นที่ง่ายที่สุด ทุกวันนี้ผมเรียนปริญญาโทจบสองใบ และกำลังจะจบใบที่สาม ณ จุดนึงผมมองว่าการเรียนคือการพักผ่อนนะ มันจะยากแค่ครั้งแรก เพื่อนเพิ่มขึ้นทุกอย่างก็ง่ายขึ้น ไม่นานหรอกองค์ดรจะมองเห็น potential ของคุณเอง แล้วต่อไปคุณก็แทนที่เขาได้
แล้วทีนี้พอขึ้นเป็นหัวหน้าได้แล้ว ก็อย่าลืมว่าเราเคยลำบากมายังไงสมัยเป็นลูกน้อง ก็จำมันไว้ให้ดี ปฏิบัติตนให้สมกับคำว่าผู้นำ ทุกวันนี้ผมต้องเขียนแปะกำแพงไว้ทุกวันเตือนตัวเองไว้ว่าอย่าเป็นคนเรื่องเยอะ เข้าถึงยาก ฟังให้มาก พูดให้น้อยแต่มีพลัง เวลางานไม่เล่น เวลาเล่น ไม่ทำงาน เพราะบางครั้งมันจะลืมตัวลืมคิดมุมกลับ ลืมนึกถึงมุมของลูกน้อง ซึ่งแคแรคเตอร์มันจะไม่เหมือนกัน คำพูดบางคำต้องใช้ให้ถูกคน ผมยังมีความหวังนะ ว่าพวกเราจะช่วยกันพัฒนาระบบราชการให้รับใช่ประชาชนได้ดียิ่งขึ้น ไม่ใช่อยู่เพื่อเป็นเจ้านายใคร หรือเจอปัญหาแล้วต้องวิ่งหนีมัน
แสดงความคิดเห็น
เริ่มท้อแท้กับการทำงาน ไม่จูนกับหัวหน้า ไปต่อหรือลาออกดี
กระทู้นี้ตั้งใจเขียนมาเพื่อขอความเห็น แนะนำได้ ติได้นะคะ เปิดกว้าง เราอาจจะเห็นมุมมองบางมุมที่เราไม่เห็นจากเพื่อนๆพันทิป
เราทำงานในระบบราชการมา 8 ปี ที่ผ่านมา เคยมีหัวหน้าคนเก่าที่เก่งมาก เก่งในด้านการทำงานและการกับกับดูแลควบคุมลูกน้อง เป็นทั้งผู้นำที่มีจิตวิญญาณสูง เรารักหัวหน้าคนเก่ามาก ถึงแม้เราโดนติงานบ้าง แต่เราไม่เคยรู้สึกหมดกำลังใจเลย มีแต่รู้สึกได้กำลังใจ และได้บทเรียน เราอยากทำงาน เรารักงานของเรา รักองค์กร รักเพื่อนร่วมงาน แต่เสียดายที่หัวหน้าคนนี้ต้องย้ายที่ทำงานใหม่
จวบจนตอนนี้ เป็นเวลา 5 เดือนที่หัวหน้าคนใหม่เข้ามาทำงาน เริ่มแรกเราดีใจกับการมาของคนนี้ เค้าดูเป็นหัวหน้าที่เอนเตอร์เทนลูกน้องได้ดี สนุกสนาน
หนึ่งถึงสองเดือนแรกของการทำงาน เริ่มรู้สึกไม่โอเค แต่พยายามมองในแง่บวกว่า อาจจะเป็นเวลาแห่งการปรับเปลี่ยน เรียนรู้ซึ่งกันและกัน ทุกอย่างจะเข้าที่เอง
แต่สิ่งที่ประสบมาจนถึงทุกวันนี้ คือ เราเริ่มรู้สึกหมดกำลังใจ ท้อแท้ ถดถอย ไม่อยากไปทำงาน การตื่นเช้าไปทำงานของทุกวันเหมือนฝันร้ายดีดีนั่นเอง เราูคิดอยากออกจากงานด้วยซ้ำ บางทีเราคิดว่า หรือเราอาจจะต้องพยายามพิสูจน์ตัวเองให้ดีกว่านี้ ให้เป็นไปตามที่เค้าคาดหวัง แต่อีกใจนึง เราเริ่มไม่แน่ใจว่าเราจะทำได้ตามนั้น เพราะตอนนี้เราเริ่มหวาดกลัว เหมือนกำลังโดนเล่นงาน เริ่มไม่อยากไปต่อ จะทำอะไรก็เริ่มทำไม่ถูก เพราะกลัวผิดพลาด
เราไม่รู้จะเรียบเรืยงเรื่องราวอย่างไร เราขอเขียนเป็นข้อๆแทน
1. หัวหน้าไม่ลงแรงทำงานเอง
แต่สั่งลูกน้องให้ทำงานทั้งๆที่งานนั้นๆ เป็นงานระดับยากที่คนตำแหน่งหัวหน้าต้องทำ เมื่องานถาโถมเข้ามา เพื่อนๆที่ทำงานทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเเดียวกันคือ งานหนัก กระทบงานเดิมที่จะต้องทำอยู่แล้ว ลูกน้องกลับหลังเวลาเลิกงานกันหมด ทั้งที่ไม่ควรจะมีใครทำงานเกินเวลา เพราะต่างคนต่างเหนื่อยกับงานแต่ละวันมากพอแล้ว
2. ไม่ชัดเจน
หัวหน้าคนนี้ตั้งเป้าหมายงานที่มอบหมายไว้สูงมาก ในขณะที่เราอาจจะยังไม่สามารถทำถึงเป้าหมายนั้นได้ แต่เป้าหมายที่วุ่านั้น เหมือนเป็นเป้าหมายกลวง ไร้การชี้แนะ ปูทาง จุดนี้แหละทำให้เราเริ่มไปไม่ถูก เดาใจไม่ถูกว่าแกต้องการแบไหน อย่างไร เราชอบที่จะให้เกิดการพูดคุยอย่างชัดเจน ต้องการแบบไหน อย่างไร เพราะสิ่งที่เจอทุกวันนี้ เมื่อแกปล่อยให้เราทำ ผลสุดท้ายแกไม่โอเคให้เปลี่ยนใหม่ เสียทั้งเวลา เสียแรงกาย และแรงใจ เป็นแบบนี้บ่อยครั้งกับเพื่อนร่วมงานทุกคน ไม่ใช่แค่เรา
3. ชอบงานนอก งานในไม่ทำ
งานนอกชอบไป เช่น ไปประขุมนัดหมาย ออกสื่อต่างๆ และกลับมาให้เราทำรายงานเขียนเป็นเนื้องานจากการไปงานนอก พอกลับมาเราต้องทำรายงานที่ไปเยี่ยมชม มันพีคตรงที่ เวลานั่งประชุมกัน หัวหน้าคนนี้ไม่มีประเด็นดีดีที่สามารถจะตอบโต้ ตอบคำถามจากคนนอกในที่ประชุมได้เลย เพราะไม่เคยมีการเตรียมการ เตรียมมความพร้อมสำหรับการไปประชุม เราเคยเตรียมเอกสารให้เผื่อว่าจะอ่าน แต่สรุปก้ไม่อ่าน งานนอกทุกงานจะเน้นการออกสื่อ และตัวรายงานที่เราทำนั้น เราไปศึกษาหาเอาเอง เขียนเพื่อเข้าข้างองค์กร เข้าข้างหัวหน้าตัวเอง ทั้งๆที่ตนเองแทบไม่รู้อะไร
4. เปลี่ยนระบบการทำงานใหม่
เราเข้าใจว่าไม่ควรคาดหวังการทำงานแบบเดิมๆ กับคนใหม่ๆ หัวหน้าคนใูหม่ ฟอร์มทีมใหม่ งานที่เราเคยทำกับหัวหน้าคนเดิมไม่มีอีกต่อไปในขณะที่เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ยังคงเป็นงานเดิมที่เคยทำ มีเพิ่มเติมบ้างจากส่ว่นใหม่ๆ ที่ให้ทำ งานเดิมเราทำจนเคยชินและมั่นใจว่าเข้าใจอย่างถ่องแท้และลึกซึ้ง แต่งานใหม่ที่เราได้รับ เป็นสิ่งที่เราไม่ค่อยถนัด แต่เราพยายามเรียนรู้มัน ฝึกฝนให้ทำจนชิน แต่เราประเมินตัวเองได้ว่างานที่ทำออกมานั้นก็ไม่ได้ร้อยเปอร์เซนต์ เพราะจำนวนชิ้นงานที่เราต้องรับผิดชอบ ต่างต้องใช้เวลาในการทำ ใช้สมาธิในการเขียน ใช้ไอเดียในการออกแบบ ทำให้ผลงานที่ออกมา บางครั้ง ก็ยังขาดประสิทธิภาพ ไม่นานมานี้เราส่งงานให้หัวหน้า สรุปแกไม่พอใจ บอกว่านี่ส่งให้พี่แบบนี้หรอ แล้วคิดว่าพี่จะส่งกลับ(ไปให้ทางทางโน้น) แบบนี้หรอ เราตอบไปประมาณว่า "เป็นเฉพาะเนื้อหาที่หัวหน้าต้องปรับแก้ด้วยนะคะ ดิฉันไม่ได้ทำให้ส่งตัวนี้ เพราะคิดว่ายังไงๆ หัวหน้าก็ต้องใส่ความเห็น ใส่เนื้อหาของหัวหน้าอยู่แล้วค่ะ แล้วอีกอย่าง ขอพูดตรงๆ ดิฉันทำไม่ทันค่ะ" งานตัวนี้ เป็นบทสัมภาษณ์ที่แกจะต้องไปตอบ เอาจริงๆ ใครที่จะต้องรู้ลึกกว่าในสิ่งนี้?
5. ติเก่ง จับผิดเก่ง ไม่ให้กำลังใจ
เป็นเพราะบางตัวงานเรายังทำไม่ได้เท่าที่แกคาดหวัง ทำให้เรากลายเป็นเป้าสายตา เวลาแกตามงาน ถามงานจากเรา แกจะพยายามถามคำถาม โยนคำถามให้เราตอบโดยห้ามตอบผิด ห้ามคิดนาน ชอบจับผิด มักจะคอยดูว่าเราทำผิดอะไร ไม่จริงใจ มีแต่จะทำให้กำลังใจคนทำงานถดถอย
6. เล่นสงครามจิตวิทยา
เราเป็นคนตรงๆ หากไม่สบายใจ มีอะไรรู้สึกไม่รลงรอย เราชอบการพูดคุยเข้าหา เราเคยเข้าหาแกอยู่สองสามครั้ง บอกถึงปัญหาที่เราพบเจอ เราเคยไปหาแกเพียงเพราะครั้งหนึ่ง แกผลักเก้าอี้ใส่เราเพราะไม่พอใจเรา และชักสีหน้าใส่เรา หลักๆ คือวันนั้น เราติดตามแกไปงานนอก แต่มีปัญหาติดขัดเรื่องเล็กน้อยและไร้สาระมากๆ ที่ทำให้แกไม่พอใจ หลังเหตุการ์ณนั้นจบ เราเข้าไปคุยกับแกโดยตรงว่าทำไม ไม่พอใจอะไรเรา ผลักเก้าอี้ใส่ทำไม หากเราผิดเราอยากจะขอโทษ แกไม่พูดต่อในประเด็นที่เรากำลังถามแต่เปลี่ยนประเด็นคุยเรื่องอื่น วันต่อมาแกส่งข้อความมาหาบอกว่าขอบคุณนะ อย่างน้อยทำให้ได้ย้อนมองดูตัวเอง เราดีใจที่เป็นการพูดคุยอย่างสร้างสรรค์เพื่อให้เข้าใจกันและกันเพราะเรามองว่าเราจะต้องทำงานกันอีกหลายปี ไม่อยากให้มีอะไรติดค้าง
7. กับดักตัวเอง
รู้สึกเหมือนอะไรๆยิ่งแย่ หรือเราอาจะตกเป็นเป้าสายตาของหัวหน้าไปแล้ว เพราะการที่เราเป็นคนตรงๆ ชอบพูดคุยตรงๆ อาจะทำให้ลึกๆแล้ว แกรู้สึกเหมือนเรากร่างไป จนตอนนี้เรากำลังโดนเล่นงานคืน เราขอพูดตรงนี้อย่างมั่นใจว่า ทุกครั้งที่เราเข้าไปคุยกับหัวหน้า เราพยายามเก็บอารมร์ไม่พอใจ เราเข้าคุยประเด็นนั้นๆ ที่อยากคุยตรงๆ แต่เราคุยด้วยความหนักแน่นชัดเจน ไม่หยาบคาย เราไม่ชอบการหยาบคาย รุนแรง เราไม่เล่นเหนือหัว เพราะเรายังเคารพในความเป็นผู้บังคับบัญชาเราเสมอมา
นี่แหละค่ะ สิ่งที่มันบั่นทอนใจเราเสมอมา เราเครียดมาก กลับบ้านก็เอามาคิดจนกระทบครอบครัว เรามีลูกที่ต้องดูแล เราจับจุดไม่ถูก ไม่รู้จะไปยังไงต่อ หรือว่าการลาออก คือ คำตอบ?