หากถามว่าพิธีกรข่าวคนไหน คือ ‘นัมเบอร์วัน’ เป็นที่รู้จักตั้งแต่ลูกเล็กเด็กแดงยันคนเฒ่าคนแก่ หรือถามว่ารายการเล่าข่าวที่ดาษดื่นหน้าจอในทศวรรษนี้ ถูกจุดกระแสโดยฝีมือใคร และหากถามอีกว่า มีคนวงการสื่อคนไหนที่ไต่เต้าตั้งแต่นักข่าวภาคสนามตัวเล็ก ๆ จนกลายเป็นระดับมหาเศรษฐี สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยความสามารถรอบด้านตั้งแต่เขียนข่าว วิเคราะห์ข่าว และเก่งในเรื่องธุรกิจสื่อ
คำตอบทั้งหมดนั้นอยู่ในตัวของชายที่ชื่อ ‘สรยุทธ สุทัศนะจินดา’ เพียงคนเดียว
เขาสร้างปรากฏการณ์ไว้มากมายในวงการสื่อ ทั้งชื่อเสียง ทั้งรางวัล ทั้งเงินทองที่เคยทำรายได้เกินครึ่งพันล้านต่อปี และทำให้ชื่อของสรยุทธเป็นหมุดหมายของแหล่งข่าวผู้ตกทุกข์ได้ยาก ที่เชื่อว่าหากได้ออกรายการของเขาแล้วจะถูกบำบัดทุกข์บำรุงสุขชนิดพลิกฝ่ามือ และยามภัยพิบัติไม่ว่าสึนามิ อุทกภัย สรยุทธคือคนที่ผู้คนเชื่อมั่นความช่วยเหลือยิ่งกว่ารัฐบาล เจ้าของสินค้า-ผลิตภัณฑ์ องค์กรมหาชน มหาเศรษฐี ก็เชื่อมั่นที่จะบริจาคผ่านมือเขาไปสู่แหล่งเป้าหมาย เขาจึงมีพี่น้องเพื่อนฝูงทุกแวดวงทั้งคนดังระดับเอ-ลิสต์ของประเทศไปจนถึงชาวบ้านตัวเล็กตัวน้อย ขณะเดียวกันในแวดวงวิชาชีพสื่อเขาก็มีทั้งคนรักมากและชังมาก กลายเป็น Talk of The Town ว่าการเล่าข่าวของเขาสร้างสรรค์หรือทำลายวิชาชาชีพสื่อ อีกทั้งการรายงานข่าวที่เพียงหยิบข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับต่าง ๆ มาเล่าก็ดูเหมือนเอาเปรียบสื่อสิ่งพิมพ์ แถมยังได้ค่าโฆษณาอย่างมโหฬารเป็นผลตอบแทน
"มีคนบอกว่า ผมได้ค่าตอบแทนเท่าโน้นเท่านี้ ผมไม่บอกว่าจริงหรือเปล่า แต่บอกได้ว่าผมรวยกว่านักข่าวคนอื่นมาก ยิ่งเป็นคนที่ไม่มีเวลาใช้เงิน ทำแต่งาน กินอยู่ง่าย ๆ ความเป็นอยู่จึงไม่เดือดร้อน แต่ถามว่าทุกวันนี้ทำไมยังทำงานหนัก ขอถามกลับว่า แล้วจะให้ผมไปทำอะไร งานทุกอย่างที่ทำ เพราะอยู่กับมันมาทั้งชีวิตก็ต้องทำต่อไป ผมทำอย่างอื่นไม่เป็น จึงไม่รู้ว่าการเป็นกรรมกรข่าวในบทบาทพิธีกรข่าวของผมจบลงเมื่อไหร่" สรยุทธเคยเขียนประโยคนี้ไว้ในหนังสือ 'กรรมกรข่าว สรยุทธ สุทัศนะจินดา’ พ็อคเก็ตบุ๊กที่เคยฮือฮาจนต้องพิมพ์ซ้ำหลายครั้ง
ออกตัวว่าเป็น ‘กรรมกรข่าว’ ที่เขานิยามถึงการก่อร่างสร้างตัวทีละเล็กละน้อยกว่ากลายเป็นตึกหรูหรา อย่างที่เขาเป็นนักเล่าข่าวมือทองผู้เป็นที่หมายปองของช่องดังเช่นในกว่าทศวรรษที่ผ่านมา ผ่านการทำงานหนัก คิดอย่างละเอียด มองการณ์ไกล วิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง โดยใช้ท่วงทำนองที่น่าเชื่อถือ เอาแขกรับเชิญอยู่มือ ไม่ว่าเขี้ยวลากดินขนาดไหนเจอสรยุทธเป็นอันหมดเขี้ยวเล็บ โดนเขาใช้กลยุทธ์ต้อนเข้ามุมจนหมดไต๋
กว่าจะถึงวันนี้ สรยุทธเคยเล่าว่าเขาจำรายละเอียดวัยเด็กไม่ได้มาก บ้านเป็นตึกแถวย่านสนามเป้า ชั้นบนใช้นอน ชั้นล่างเปิดเป็นร้านขายผลไม้เกรดเอประเภทผลไม้นำเข้าผสมของชำนิดหน่อย เขาจึงเป็นลูกแม่ค้าเต็มตัว ส่วนพ่อเสียไปตั้งแต่เขาอายุสองขวบกว่า และเป็นลูกชายคนเดียวในบ้าน มีพี่สาวกับน้องสาวอย่างละคน ชีวิตวัยเด็กแม้ไม่ได้ร่ำรวยแต่ก็ไม่ลำบาก กระทั่งเจอปัญหาหนี้สินของที่ครอบครัวจนต้องยอมแลกตึกที่สนามเป้ากับทาวน์เฮาส์ที่ลาดพร้าวพร้อมเงินสดอีกจำนวนหนึ่ง เขาจึงโยกย้ายไปเป็นเด็กลาดพร้าวในเวลาต่อมา
“พี่สอ” คือชื่อเล่นที่น้อง ๆ ในวงการเรียก ส่วน “เผือก” คือชื่อที่คนสนิทและครอบครัวเรียกกัน “ยุทธ” เป็นชื่อเรียกขานของน้อง ๆ ในวงการ และเพื่อนมัธยมฯ อำนวยศิลป์รุ่น 57 ในวัยที่สรยุทธได้ชื่อว่าเป็นเด็กหนุ่มเลือดร้อน ถึงไหนถึงกันกับเพื่อนจนถึงขั้นที่เคยถูกควบคุมเข้าบ้านเมตตาและควบคุมประพฤติ 1 ปีเต็มมาแล้ว หลังถูกดัดนิสัยเขากลับมาตั้งใจเรียนจนจบมัธยมฯ เรียนต่อคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
ในมหาวิทยาลัยกรุงเทพ สรยุทธตั้งใจเรียนอย่างหนักจนได้เกรดเฉลี่ย 3.80 เกียรตินิยมอันดับ 1 ในปี พ.ศ.2530 และยังเป็นประธานคณะอีกด้วย หลังฝึกงานที่หนังสือพิมพ์เดอะ เนชั่นในยุครุ่งเรืองเขาเขียนใบสมัครทิ้งไว้ ต่อมาก็ถูกเรียกเข้าทำงานได้เงินเดือนเริ่มต้น 4,000 บาท ได้รับมอบหมายเป็นนักข่าวสายรัฐสภา 2 ปี ก่อนโยกไปประจำการที่ทำเนียบรัฐบาลอีก 2 ปี สรยุทธ์ขึ้นชื่อว่าเป็นนักข่าวที่ทำงานหนัก ขยันถามเพื่อหาข่าว ช่วงปี 2532 พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณเป็นนายกรัฐมนตรี เจอหน้าสรยุทธ์ที่เป็นอันถามไม่หยุด จนครั้งหนึ่งพลเอกชาติชายถึงกับตอบโต้สรยุทธว่า “คนอย่างคุณนี่แหละทำให้กรุงศรีอยุธยาแตก” จนเป็นเรื่องฮือฮาของนักข่าวร่วมวง
สรยุทธขยายความเรื่องนี้ว่า “น้าชาติมีวลีประจำตัวว่า โนพร็อพเบล็ม ไม่มีปัญหา ทุกครั้งที่ท่านพูดอย่างนี้ นักข่าวชื่อสรยุทธจะต้องมีปัญหาถามกลับไปเสมอ ช่วงก่อนที่จะมีการปฏิวัติ วันนั้นผมถามน้าชาติว่า ผู้นำเหล่าทัพไม่มากินข้าวเช้าแปลว่าอะไร เพราะปกติผู้นำเหล่าทัพจะมาทานข้าวเช้าบ้านท่าน จำได้ว่าจากที่ยิ้ม ๆ อยู่ น้าชาติเครียดทันที ทั้งที่ปกติอารมณ์ดี แต่วันนั้น พูด (คำนั้น) เสร็จก็เดินหนี เพื่อน ๆ บอก สรยุทธเปิดคำถามวงแตก ถึงจะรู้สึกผิดนิด ๆ แต่ก็ยังเอากลับมายอกย้อน ตามประสาคนชอบเถียงผ่านทางบทความว่า น้าชาติคงจำประวัติศาสตร์ผิด ที่กรุงศรีฯ แตกไม่ใช่เพราะมีใครทำให้เกิดความสับสน แต่เป็นเพราะผู้นำมีปัญหาต่างหาก ไม่นานก็มีการปฏิวัติจริง ๆ แต่เขาก็ได้บทเรียนจากการถูกตอกใส่จากพล.อ.ชาติชายครั้งนั้นว่า “นักข่าวบางคนจะมีสไตล์หรือเอกลักษณ์ที่คนอื่นจำได้ ของผมจะเป็นการยิงคำถามที่ค่อนข้างหวือหวา แรง จนบางทีรู้สึกผิด ความจริงถามได้ แต่ไม่ควรใช้คำรุนแรง ถามหาเรื่อง หรือถามเรื่องที่เซ้นซิทีฟเกินไป”
สรยุทธไต่เต้าเป็นหัวหน้าข่าวการเมืองเดอะเนชั่นในปี 2537 ก่อนได้รับตำแหน่งบรรณาธิการข่าวใน ปี 2540 และจากจุดนี้เองที่สรยุทธเริ่มจับงานโทรทัศน์ครั้งแรก และเป็นนโยบายแบบ ‘มาก่อนกาล’ ของคุณ ‘สุทธิชัย หยุ่น’ ที่ต้องการให้สื่อสายสิ่งพิมพ์ ‘Transmedia’ ไปออกหน้าจอ นำความรู้และประสบการณ์ไปเล่าเป็นเสียงแทนตัวหนังสือ ซึ่งเป็นรูปแบบการเล่าที่เรียกว่า ‘Interactive’ เล่นกับคนดูที่สุทธิชัยคิดและส่งต่อให้สรยุทธ ทำให้แฟนโทรทัศน์รู้จักสรยุทธเป็นครั้งแรกบนหน้าจอในรายการวิเคราะห์ข่าว
หลังพฤษภาทมิฬเกิดช่องโทรทัศน์เสรีในระบบยูเอชเอฟตามเสียงเรียกร้องของประชาชน กระทั่งเกิดเป็นช่อง ‘ไอทีวี’ และกลุ่มสยามอินโฟเทนเมนท์ผู้ชนะประมูลดึงเครือเนชั่นเข้าไปร่วมทุน สถานีโทรทัศน์ไอทีวีจึงเป็นอีกเวทีที่สรยุทธ สุทัศนะจินดา สร้างชื่ออย่างมากในฐานะ ‘นักวิเคราะห์ข่าวทางโทรทัศน์’ ขยายวงผู้ชมกว้างกว่าเดิม ทั้งรายการเวทีไอทีวี, ฟังความรอบข้าง, ไอทีวี ทอล์ก ฯลฯ ผู้ชมถึงกับทึ่งที่ผู้ชายคนหนึ่งใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีแต่เล่าข่าวเศรษฐกิจและวิเคราะห์ทิศทางตลาดหุ้นอย่างรวดเร็วฉะฉาน คู่ขนานกับการทำหน้าที่ประจำในสถานีเนชั่นทีวีที่ยกระดับเป็นสถานีข่าว 24 ชั่วโมง
สรยุทธไปประจำการอยู่กับหลายรายการ เช่น เก็บตกจากเนชั่น, รายการคม ชัด ลึก, ก๊วนกวนข่าว เป็นต้นจนแฟนข่าวของเขางงว่าชายคนนี้เอาเวลาที่ไหนพักผ่อน แต่เหมือนกราฟชีวิตของสรยุทธพุ่งสูงไม่หยุดยั้ง หลังจากเขาขึ้นดำรงตำแหน่ง รองบรรณาธิการบริหารหนังสือพิมพ์เดอะ เนชั่น เป็นตำแหน่งสุดท้ายสรยุทธก็ยื่นขอลาออก ชนิดที่ถูกผู้บริหารเรียกประชุมสอบถามความในใจเพื่อเหนี่ยวรั้ง แต่สรยุทธก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะลาออก ด้วยเหตุผลว่าเขารู้สึกอิ่มตัวในชายคาเดอะ เนชั่น
"สรยุทธ สุทัศนะจินดา" กรรมกรข่าวพันล้าน ตำนานนักเล่าข่าวที่ไม่มีใครโค่นลง