ตัดสินใจอย่างไรดี อยากออกจากงานในสถานการณ์แบบนี้ ทรมานกับการทำงานมาก

ไม่มีความสุขกับการทำงาน รู้สึกท้อแท้ทุกครั้งเมื่อต้องออกจากบ้านไปทำงาน...หดหู่ เศร้า พ่ายแพ้ นอนไม่หลับ 

ทำงานมา 12 ปี ตั้งแต่เรียนจบ เห็นความไม่แมทกับชีวิตและเครียดกับงานมาโดยตลอด แต่เตอนนั้นยังโสดและคิดว่าอดทนอีกนิดสักวันมันน่าจะดี จึงสู้และอดทนมาตลอด ก็ทำงานล่วงเวลาเกือบทุกวัน (ไม่ได้เงินเพิ่ม) ที่ทำงานเหมือนบ้าน และบ้านเปรียบเหมือนที่เอาไว้นอนเท่านั้น  ทุ่มเทตั้งใจทำงานมาก ทำงานนอกเหนือจากสัญญาจ้างไปมาก บางครั้งให้ทำงานบางอย่างจนรู้สึกว่าไม่ให้เกียรติกันเลย ยังอดทนด้วยความคิดที่ว่าต้องช่วยเหลือองค์กร ไม่เคยคิดว่านั่นเป็นเอาเปรียบแต่อย่างใด จนกระทั่งไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ตามที่ควรจะเป็น รู้สึกเหมือนถูกหักหลัง ตาเริ่มสว่าง นี่กูมาทำอะไรอยู่ที่นี่

ในขณะเดียวกันเมื่อมีครอบครัวลูก 2 คน ทำให้ไม่มีเวลาอยู่กับครอบครัว ที่ทำงานมีแต่คนโสด ไม่เข้าใจบริบท มองว่าไม่ทุ่มเท รู้สึกเสียใจที่ไม่มีเวลาให้ลูกๆ  พอมีโควิดทำให้โรงเรียนปิด ไม่มีคนดูแลลูกๆ ตอนนี้สลับกันลามาดูแล เดือนหน้าจะทำแบบนี้ไม่ได้แล้ว อยากจะออกมาตั้งต้นใหม่ตอนนี้อายุ 34 ความกังวลมีมากหากลาออกกลัวเงินไม่พอเลี้ยงลูก  เงินจากอีกส่วนจะพอค่าใช้จ่ายแบบตึงๆ หางานใหม่ก็น่าจะยาก แต่ถ้าอยู่ก็รู้สึกจะเป็นบ้า ไม่มีคนดูเด็กอีกจนกว่าโรงเรียนจะเปิด รู้สึกตัวเองไม่มีคุณค่า ทำให้ครอบครัวเครียดไปด้วย

ควรจะตัดสินใจยังไงดี ขอความเห็นทุกท่าน
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 13
ถ้าเราเข้าใจถูกต้องนะคะจากที่อ่านทั้งหมด เราสรุปใจความสำคัญได้ดังนี้ค่ะ

จขกท : ทำงานต่อเนื่องมาตั้งแต่เรียนจบ ในที่ทำงานเดิม ยาวนานถึง ‘12 ปี’ ปัจจุบันอายุ ‘34 ปี’ และเป็นช่วง ‘โควิท’ น่าจะ ‘หางานใหม่ยาก’

สิ่งที่จขกท ต้องการคือ
1. ความเป็นธรรมในความทุ่มเทที่คุณมอบให้กับองค์กรมาโดยตลอด มันจะไม่มีปัญหาถ้าเขาเลื่อนตำแหน่งให้คุณ

2. สิ่งที่ไม่แฟร์ที่สุดต่อมาคือสถานะคุณเปลี่ยนไปแล้ว และต้องการเวลามากขึ้นเพื่อใช้กับครอบครัว และองค์กรนี้ไม่ตอบโจทย์ มีแต่งาน และไม่มี OT

สิ่งที่คุณต้องทำในวัย 34 ปีเพื่อให้ได้ทั้ง 2 สิ่งข้างต้นคือ

“คุณต้องไม่กลัว ที่จะหาสิ่งที่ดีกว่า เหมาะสมกว่าสำหรับประสบการณ์ 12 ปีเต็ม ในสถานการณ์ที่เป็นต่อนี้ค่ะ”

ถ้าคุณยังรอ ปีหน้าคุณจะอายุ 35
ปีต่อไปคือ 36, 37, 38......สุดท้าย คุณจะติดอยู่ในสิ่งที่คุณไม่ต้องการไปตลอดโดยที่คุณเลือกไม่ได้เลย

ปสก 12 ปี จะสามารถพาคุณไปเจอสิ่งที่ดีกว่านี้ค่ะ เราพูดได้ เพราะเราคือหนึ่งในคนที่ตัดสินใจย้ายงานในวัย 34 ปี ท่ามกลางสถานการณ์โควิทค่ะ และเราได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นมาถึง 40% และสวัสดิการที่ดีกว่าเดิมเนื่องจากบริษัทใหม่มีประกันกลุ่มครอบคลุมไปถึงลูกและสามีด้วยค่ะ มี fix bonus ให้ มีสวัสดิการอีกเพียบ และนั่น แลกมาด้วยประสบการณ์ 10 กว่าปีของเราเองค่ะ.....เราเป็นคนที่ไม่ชอบย้ายงานเพื่ออัพเงินเดือน แต่จะย้ายเพื่อคุณค่าในตัวเราเอง และเวลาที่เราสามารถมีให้ครอบครัวได้ค่ะ ดังนั้นถึงเงินจะเพิ่มขึ้นมา 40% จากเดิม มันก็ไม่ได้มากมายอะไรค่ะ แต่เราพอใจค่ะ

สำหรับคุณ เราอยากให้คุณให้เกียรติตัวเองมากกว่านี้ค่ะ ถ้าคุณมีดี outstanding ไม่ว่าจะด้านไหนก็ตาม คุณจะได้ในสิ่งที่คุณสมควรจะได้ค่ะ

คุณไม่สามารถคาดหวังการเปลี่ยนแปลงในชีวิตให้เกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ได้ ถ้าวันนี้คุณยังคงใช้ชีวิตแบบเดิม ทำงานแบบเดิม อยู่ในองค์กรเดิมๆ ที่ไม่มีอนาคตอะไรเลยสำหรับคุณ

คนเราแค่เปลี่ยนวิธีคิด+ความกล้าอีกเล็กน้อย ผลลัพธ์ที่ออกมามันอาจจะดีมากกว่าที่คุณคาดหวังไว้ก็ได้นะคะ

เรามีภาพบางอย่างให้คุณจินตนาการค่ะ

1.> คุณกลัว และไม่สมัครงานใหม่ คุณก็ยังคงต้องเจอสิ่งที่คุณเจออยู่ทุกวัน และโทษทุกอย่างว่าทำไมโลกไม่แฟร์กับคุณเลย

2.> คุณยังคงทำงานที่เดิม แต่สมัครงานอื่นไปด้วย
- ร้ายสุดคือเขาไม่รับคุณ คุณก็ทำงานเดิมต่อไปไม่ตกงาน
- ดีที่สุดคือคุณจะได้ไปทำงานที่ใหม่ ที่จะมีเงินเดือน สวัสดิการณ์ใดๆ และเวลาที่มากขึ้นกว่าเดิม ในฐานะพนักงานประจำ เพื่อคุณจะได้มี work life balance ในชีวิตเพื่อการใช้ชีวิต

คุณก็แค่ต้องเลือกค่ะว่าแบบไหนที่คุณชอบ โควิททำให้คนกลัวที่จะเปลี่ยนแปลง แต่ท่ามกลางวิกฤติมันมีโอกาสเสมอค่ะ ให้เกียรติตัวเองนะคะ จากใจคุณแม่ลูกอ่อน 1 คนค่ะ ^^
ความคิดเห็นที่ 3
เฮ้ย เอาชีวิตผมมาเล่ารึป่าว? ก๊อปกันมาทุกกระเบียดนิ้ว

ยาวหน่อยนะ ไม่รู้ฟิวส์เดียวกันมั้ย?

วิธีที่ผมทำนะ มองรอบข้างว่าเขาทำตัวยังไง ดรอปตัวเองลงไปให้เท่าเขา แต่ความรู้ตัวเองห้ามหายนะครับ
จะทำให้เราทำงานสบายขึ้นมากเลย

และอีกอย่างคือ เลิกสร้างสรรผลงานใดๆ ให้กับองค์กร ให้สมกับเงินเดือนที่รับ

ที่บริษัทผม คนได้ขึ้นคืนคนที่ต่อรองเยอะ พูดเยอะ ผมไม่เคยพูด เพราะคิดว่าจะเอาผลงานเข้าสู้
แต่ไม่ไหวแล้ว หลังๆ นี้ผมเริ่มพูด เค้าก็บอกว่าอย่าเทียบกับคนอื่น
ไม่เทียบได้ไง ก็ ผมไม่ได้เหมือนกัน ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน?

ยกตัวอย่างง่ายๆ ทั้งสำนักงานคุณพูดภาษาอังกฤษได้คนเดียว ความสามารถเท่าคนระดับเดียวกัน
แต่คนอื่นทักษะภาษาไม่มีเลย แต่ได้เงินเดือนเท่ากัน

เราทำโปรเจค ลดนุ่นนี่ ให้องค์กร เป้าหมายองค์กรผ่านทุกปี แต่ ประเมินเงินเดือนขึ้น 1 เปอร์เซนกว่า
พร้อมกับคอมเม้นต์ในการประเมินว่า "คุณเป็นคนไม่มีความสามารถ"
ในขณะที่ คนที่ทำงานพลาดบ่อย เป้าหมายไม่ผ่าน แถมมีปัญหาทั้งปี ได้ปรับตำแหน่งซะงั้น เป็นต้น

สุดท้าย ผมเลยสโลดาวน์ตัวเองลงมา (ขอย้ำว่าทำแล้ว มันจะติดเป็นนิสัย อย่าให้มันมาครอบงำได้)
และ ไม่นานที่ผ่านมา ผมบอกหัวสายผมไปว่า "ผม เบริน์เอ้า" แล้วครับ
ผมขอยอมแพ้ในสิ่งที่คุณอยากให้ผมทำ ผมทำไม่ได้หรอก ที่ต้องไปนั่งเลียขา กับ ญาติดีกับคนที่ไร้ความสามารถ
ทำงานมันต้อง มุมเป้าหมายองค์กร ไม่ใช่มุ่งเป้าหมายที่คนห่วยๆ พอใจ

ทุกวันนี้ผมยึดหลัก "อยู่ไปวันวัน" ครับ 555+
เรายิ่งทำยิ่งพิสูจน์ตัวเอง องค์กรกับคนอื่นที่เกาะเรายิ่งได้ครับ ผมเพิ่งมาคิดได้ ตอนปีที่ 9 ในการทำงานครับ
ไม่ใช่จากที่ไหนนะ จากหลักสูตรอบรม ที่หัวผมส่งไปอบรมนั่นแหล่ะ
เพราะเค้าบอกว่า ผมเป็นผู้บริหารที่ไม่ดี แต่โทษทีเถอะ ผมไปอบรม ผมทำแทบจะ 90 เปอร์เซนที่เค้าสอน
แต่ย้อนกลับมาดูหัวเราแล้ว ทำไม่ถึง 20 เปอร์ เลยด้วยซ้ำ เลยถึงบางอ้อว่า ทำไมทีมเราถึงโดนประเมินห่วยมาตลอด
ตั้งแต่เปลี่ยนหัวคนนี้มาคุม

ปล. หัวผมเนี่ย ไม่รู้เรื่องงานของทีมผมเลยด้วยซ้ำ แต่ประเมินคอมเม้นได้เป็นฉากๆ
ลูกน้องผมยังส่ายหัว ค้านไปก็ไม่เชื่อ เชื่อที่คนอื่นพูดมากกว่าลูกน้องตัวเอง
มีอะไรไปเสนอ นายสั่งแก้ ให้ทำที่แกอยากให้ทำ พอมีปัญหา แทงลูกน้องว่าทำงานไม่ได้เรื่อง
แทนที่จะปกป้อง ดันด่าลูกน้องโชว์ในที่ประชุมต่อผู้บริหารคนอื่นอีก หัวผมที่สุดยอดจริงๆ

สุดท้าย ผมจะไม่เอาสิ่งที่หัวผมทำกับพวกผม ไปทำกับลูกน้องแน่นอน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่