เรื่องสั้นต่อไปนี้ เคยลงในเกมถุงมือ ซึ่งมีการปรับเปลี่ยน ลายมือของตัวเอง เพื่อหลอกตนอ่าน
เมื่อเวลาผ่านไป ก็ถึงเวลา ที่จะนำมาเปลี่ยน กลับมา เป็นลายมือ ดั้งเดิมของตัวเอง เสียที
และนี่คือ ลายมือดั้งเดิม ของข้าน้อย
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีเรื่องเล่าขานนานมา ในอำเภอเล็ก ๆ ห่างไกลจากความเจริญ ...ห่างไกลตัวเมือง
เจ้าเที่ยงนั่งอยู่หลังพุ่มไม้ บริเวณทางโค้งริมหน้าผา ของถนนเข้าออกหมู่บ้านมานานแล้ว ความร้อนของอากาศไม่ได้ทำให้หนุ่มบ้านนาล้มเลิกความตั้งใจ เพราะความรุ่มร้อนภายในใจ มากกว่าความร้อนรอบกายมากนัก
เขาอดทนและรอคอย
ถ้าจะดักยิงใครสักคนที่ขับรถเข้าออกจากอำเภอเล็ก ๆ แห่งนี้ ถนนทางโค้งเลียบหน้าผา ห่างออกจากทางเข้าอำเภอประมาณสามสี่กิโลเมตร เป็นทำเลเหมาะที่สุดในการลอบสังหาร เพราะเส้นทางเฉียดหน้าผาค่อนข้างสูงชันคับแคบ บังคับให้รถวิ่งเข้าทางปืนโดยไม่มีทางเลี่ยง แม้สภาพทางภูมิศาสตร์จะไม่ค่อยน่ากลัว แต่ภูมิประเทศทำให้คนขับต้องชะลอความเร็วลงทุกคัน ไม่อย่างนั้นอาจจะวิ่งชนรั้วกั้นถนน หล่นลงไปในหุบเหวข้างทางได้ อีกด้านเป็นเชิงผาเต็มไปด้วยพืชพรรณไม้ใหญ่น้อย เหมาะในการหลบซ่อนตัว หลังจากปฏิบัติการแล้วสามารถหลบหนีขึ้นไปบนเชิงเขาได้ไม่ยาก ไม่เคยมีใครคิดแบบนี้นอกจาก เจ้าเที่ยง หนุ่มบ้านนอก ผู้แฝงกายอยู่ในพุ่มไม้สูงห่างออกไปจากทางเลี้ยวอันตรายในระยะยิงหวังผล
ปืนแก๊บสมัยคุณปู่ในมือยังมีสภาพงดงามพร้อมใช้งาน ลำกล้องเหล็กถูกขัดถูสะอาดสม่ำเสมอ ไม้แดงที่ใช้ทำด้ามปืนเป็นมันวาว จากการดูแลรักษาเป็นอย่างดี แม้ไม่เคยใช้งานมานาน แต่ยามว่างเขาก็ซ้อมยิงอยู่เรื่อย ๆ จนชำนาญ ตามวิธีการที่คุณปู่เคยสั่งสอน หลังจากนั้นจะถูกไปเก็บรักษาเป็นอย่างดี ไม่เคยเอาไปยิงคนหรือสัตว์ที่ไหน
วันนี้ต่างออกไป
ดินปืนถูกอัดเต็มปริมาณเท่าที่สมรรถภาพของปืนจะรองรับได้ กระสุนเหล็กหลายขนาดอัดใส่กระบอกปืนเต็มที่ เรียกว่ายิงนัดเดียวหวังผลครอบคลุมไปโดนหลายคน
เป้าหมายของเจ้าเที่ยง ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา แต่เป็นปลัดอำเภอ นายตำรวจ และกำนันประจำหมู่บ้าน สามผู้ยิ่งใหญ่แห่งพื้นที่ มารวมพลกันเป็นทีมทรงอิทธิพล บ้านชนบทท้องทุ่งนาเคยสงบร่มเย็น ความรู้สึกของผู้คนเปลี่ยนไป ความสงบสุขกลายเป็นดินแดนแห่งความรุ่มร้อนทุกข์เข็ญ
นายตำรวจคนใหม่ มาพร้อมกับการวางอำนาจยิ่งใหญ่ ราวกับผู้วิเศษชี้เป็นชี้ตายในสังคม คำว่า ‘ตำรวจ’ ทำให้ชาวบ้านพากันเกรงกลัวในอำนาจบารมี ยังไม่ทำอะไรผิดก็เกรงกริ่งเมื่อมองเห็น นั่นคือความรู้สึกของชาวบ้าน เด็ก ๆ ที่ร้องไห้ พอได้ยินคำว่า ตำรวจจะมาจับ จะพากันหยุดร้องด้วยความหวาดกลัว
ส่วนปลัดอำเภอหนุ่ม ส่อแววมักมากในกามคุณให้เห็น ตั้งแต่วันแรกเมื่อเข้ามา เขามักใช้คำพูดและการจาบจ้วง ต่อหญิงสาวชาวบ้าน แทะโลมน่ารังเกียจ ทั้งที่ตัวเองมีครอบครัวอยู่แล้ว แต่ชื่อเสียงเรื่องอื้อฉาวไม่เคยห่างหาย ชาวบ้านมองปลัดเหมือนคนระดับสูงที่ต้องเคารพเกรงใจ
กำนันผู้เคยวางตัวเป็นกลางเสมอมา ก็พลอยเป็นไปกับเขาด้วย วิ่งเอาอกเอาใจปลัดหนุ่มและนายตำรวจยิ่งกว่าพ่อบังเกิดเกล้า ไม่ว่านายตำรวจและท่านปลัดจะเดินทางไปไหน เป็นต้องเสนอหน้าอาสารับใช้ ติดสอยห้อยตามมิได้ขาด โดยมีลูกบ้านหลายคนเป็นมือเท้า การไปไหนมาไหนกับพวกตำรวจและลัดอำเภอ ทำให้รู้สึกว่าตัวเอง ‘ตัวใหญ่’ ขึ้นมาจากเดิมกลายเท่า อิ่มอาบไปด้วยพลังบารมี เงินทองนำมาสู่ความมีชื่อเสียง และนำพาความมีอำนาจมาให้ในที่สุด
“ท่านปลัดและท่านนายตำรวจ ให้เกียรติมาพักมาทำงานกับเรา พวกเขาจะนำความเจริญมาให้หมู่บ้านเรา”
เสียงประกาศของท่านกำนัน ในวันประชุมลูกบ้านประจำฤดูกาล ด้วยน้ำเสียงและสีหน้าแห่งความหวัง ปลัดคนก่อนเกษียณตัวเองไปก็ไม่เห็นมีผลงานอะไร วัน ๆ เอาแต่วุ่นวายกับเกษตรกรเทือกสวนไร่นา ส่วนนายตำรวจแก่ ๆ ประจำโรงพักในตัวอำเภอ ย้ายออกไปก่อนหน้านี้ ไม่เห็นมีผลงานอะไร นอกจากการจับโจรลักเล็กขโมยน้อย จับเหล้าเถื่อน จับวง จับเจ้ามือหวย จับเด็กซิ่ง จับวงไพ่ จับคนขายยาบ้า ไม่เห็นสร้างความเจริญอะไรให้ชุมชนเลยสักนิด
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ กำนันจึงตื่นตัวขึ้นมาจากการหลับไหลทันที มีคนใหญ่คนโตบารมีมาพักพาอาศัย เป็นศิริมงคลต่อชาวบ้าน สังคมเล็ก ๆ แห่งนี้ควรมีอะไรพัฒนาไปในทิศทางแห่งความเจริญบ้าง แต่ดูท่าทางกำนันเองก็ไม่รู้ว่า ‘ความเจริญ’ ดังกล่าวคืออะไรและสำคัญมากน้อยแค่ไหน เป็นกำนันมาหลายสิบปี ยังไม่เคยออกไปไล่ล่าจับขุนโจรนอกกฏหมาย ยาบ้า ยาเสพติด ก็ไม่เคยจับได้กับเขาสักที ขณะอำเภออื่น มีข่าวจับกุมกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน ท่าทางชุมชนแห่งนี้จะสงบเงียบขาดการพัฒนาเกินไป ถึงไม่มีเรื่องตื่นเต้น
ตะวันลอยโผล่พ้นยอดไม้ บนถนนมีรถของชาวบ้านวิ่งผ่านไปมาไม่มากนัก หนุ่มบ้านนอกสะกดใจรอคอยต่อไป ยกปืนขึ้นเล็งให้คล่องตัว ผ้าขาวม้ายกปาดเหงื่อตามใบหน้าและลำคอเป็นระยะ ในชีวิตไม่เคยคิดจะทำร้ายใคร แต่วันนี้มันเหลือทนแล้ว
บัว สาวบ้านนาคนงาม ที่ดูใจกันมานานหลายปี กับระยะเวลาในการช่วยกันทำนาและการเกษตรสร้างชาติ ชีวิตราบเรียบควรจะสงบสุข ถ้าไม่เพราะเดือนก่อน กำนันได้มาติดต่อพ่อแม่ของบัว ให้ไปทำงานเป็นคนรับใช้พิเศษ ที่บ้านปลัดหนุ่ม โดยแลกกับเงินเดือนจำนวนหนึ่ง แต่พ่อแม่ของบัวเหมือนจะรู้ข่าวความเจ้าชู้ของท่านปลัด จึงบ่ายเบี่ยงปฏิเสธตลอดมา ไม่ว่ากำนันจะมาเจรจาถึงบ้าน รวมทั้งนายตำรวจหนุ่มคนนั้นด้วยก็ตาม
“ยอมๆ คุณปลัดไปเถอะน่า...ทำงานอยู่บ้านท่าน ดีจะตาย ใคร ๆ ก็อยากไปทำ อยู่ใกล้คนใหญ่คนโต เราจะได้พลอยพึ่งพาบารมีคุ้มกะลาหัวเราไปด้วย เผลอ ๆ เป็นคุณนายน้อยท่านปลัดคนที่หก อีกหน่อยท่านปลัดได้เป็นนายอำเภอ สบายไปทั้งชาติทั้งตระกูล”
คำพูดของกำนันผู้กว้างขวาง หัวร่อร่าอยู่หน้าบ้าน ในขณะเจ้าเที่ยงกับสาวคนรักนั่งทำอาหารอยู่หลังบ้านอย่างไม่สบายใจ คำพูดของกำนันเหมือนคมมีดบาดกลางอก ทำไมพากันคิดไปในทางเสื่อมเสียกันไปหมด คนเราไม่ใช่สิ่งของจะประเคนให้ใครได้ง่าย ๆ ใคร ๆ ก็รู้กันทั่วว่าท่านปลัดหนุ่มมีเมียเก็บแล้วหลายคน เพราะวันมาส่งตัวคุณนายปลัดตัวจริงก็มาด้วย และประกาศลั่น ทำนองผัวข้าใครอย่าแตะ แต่เมื่อคุณนายปลัดกลับไป คำพูดนั้นก็จางหายไปกับสายลมท้องทุ่งนา
หลายครั้งกับการเจรจา แต่พ่อแม่ของบัวยังปฏิเสธเสียงแข็ง จนล่าสุดสัปดาห์ก่อน เจ้าไก่ น้องชายแท้ ๆ ของบัว โดนจับข้อหามียาบ้าในครอบครอง ท่ามกลางความมึนงงของชาวบ้าน เพราะเด็กหนุ่มคนนี้ขยันขันแข็ง ทำมาหากิน ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขใด ๆ ทั้งสิ้น แล้วจะมียาบ้าครอบครองได้อย่างไร ตำรวจบอกมีสายสืบรายงานว่าเจ้าไก่เสพยาบ้า จึงขอเข้าตรวจค้น ขณะเดินไปซื้ออาหารปลาหน้าร้านค้าประจำหมู่บ้าน พวกตำรวจค้นตัวไม่ถึงสองสามวินาที ก็นำเอายาเม็ดเล็ก ๆ จำนวนหนึ่งออกมาโชว์ แล้วบอกว่าเป็นยาเสพติด น้องชายของบัวถูกจับตัวเข้าห้องขัง ทั้งที่ปฏิเสธด้วยน้ำตานองหน้า ว่าไม่เคยเสพเคยใช้ยาบ้าแม้แต่น้อย ไม่เคยรู้จักด้วยซ้ำว่าหน้าตายาบ้าเป็นอย่างไร ชาวบ้านเองก็ไม่เชื่อ แต่ปืนในมือตำรวจมีอำนาจมากกว่าไม้ตีพริกในมือชาวบ้านเสมอ
เจ้าไก่นอนห้องขังหนึ่งคืน รุ่งขึ้นกำนันมาพบพ่อของเจ้าไก่ตั้งแต่เช้า บอกว่าจะวิ่งเต้นช่วยเหลือประกันตัวออกมาให้ แต่ต้องยอมให้บัวไปทำงานที่บ้านปลัด
คนบ้านป่าบ้านดง จะเอาอะไรมาต่อสู้กับมือกฏหมาย ถ้ามือนั้นเปื้อนอวิชชามืดดำ สุดท้ายบัวต้องยอมไปทำงานที่บ้านปลัดหนุ่มเพื่ออิสรภาพของน้องชาย
สองวันผ่านไปไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่ามกลางความโล่งใจของพ่อแม่ แต่แล้ววันที่สาม บัววิ่งร้องไห้ออกมาจากบ้านท่านปลัด บอกกับทุกคนว่าท่านปลัดฉวยโอกาสคนไม่อยู่บ้าน พยายามปลุกปล้ำลวนลาม จนเลื้อผ้าขาดวิ่น หลักฐานชัดเจน แต่สาวบ้านนาใจเด็ด เอาแจกันฟาดหัวปลัด ก่อนหนีรอดออกมาได้หวุดหวิด และสาบานว่าจะไม่เหยียบเข้าไปในบ้านอุบาทว์หลังนั้นอีก แต่เรื่องราวยังไม่จบ ปลัดหนุ่มออกข่าวว่า บัวขโมยของในบ้าน ตนเองจับได้คาหนังคาเขา จนเกิดการต่อสู้กันขึ้น พร้อมกับการข่มขู่ว่า ถ้าไม่ยอมความขอขมาลาโทษ และกลับไปทำงานตามเดิม จะแจ้งตำรวจ มาจับข้อหาทำร้ายร่างกายและลักขโมย
นั่นเป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อกี่วันนี่เอง ยังดีกว่าพอดีเช้าวันนี้ ท่านผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายจะต้องเดินทาง ไปงานสู่ขอแต่งงานของลูกชายนายอำเภอ มีการจัดงานอยู่ในตัวอำเภอ ทำให้อำนาจมืดของกฏหมายวางมือชั่วคราว
เส้นทางไปงานเลี้ยง อย่างไรต้องผ่านทางโค้งเปลี่ยวแห่งนี้
ด้วยความเจ็บแค้นของหนุ่มบ้านนา เจ้าเที่ยงตัดสินใจเด็ดขาดไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ต้องปกป้องสาวคนรักและครอบครัวให้ได้ ถ้าเขาเป็นอะไรไปก็เชื่อว่าต้องมีคนดูแลคุณยาย ญาติคนเดียวของเขา การไม่ทำอะไรเสียเลย ปล่อยให้สาวคนรักถูกกระทำย่ำยีหยามใจ ยอมได้อย่างไร ปืนของคุณปู่จะได้ทำหน้าที่ครั้งสุดท้าย แม้จะเป็นปืนเก่าล้าสมัย แต่ก็ทรงอำนาจพอจะฆ่าคนได้ หรืออย่างน้อยก็บาดเจ็บสาหัสเลี้ยงไม่โตได้หลายคน
ตะวันคล้อย
นั่นไง ในที่สุดเป้าหมายมาแล้ว ใกล้ระยะยิงเข้ามาทุกที
รถจี๊ปคันงามของท่านปลัด นายตำรวจและกำนันพร้อมสมุนคู่ใจอีกสามสี่คน นั่งกันมาเต็มรถ ในระยะมองเห็นชัดเจน เจ้าเที่ยงนั่งท่าเตรียมพร้อม ยกปืนขึ้นเล็งด้วยหัวใจเต้นระทึก มองดูใบหน้าเปื้อนยิ้ม กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ไม่ได้มีทีท่าสำนึกผิดคิดกลับตัวอะไรเลยสักนิด คนพวกนี้อยู่ไปก็รกโลก ก่อกรรมทำเข็ญให้คนอื่นเดือดร้อนไม่มีที่สิ้นสุด พวกมันสมควรตาย บาปก็ขอบาป ไอ้เที่ยงคนนี้จะขอรับบาปนรกนั้นไว้เพียงผู้เดียว
เปรี้ยง!!
เสียงปืนลูกซองดังสนั่นกึกก้องไปทั้งหุบเขา กระจกหน้ารถแตกกระจัดกระจายท่ามกลางเสียงร้องอย่างตกอกตกใจ รถเสียหลักเลี้ยวพุ่งชนรั้วกั้นข้างทาง ก่อนพลิกคว่ำกลิ้งไถลโครมครามลงไปไหล่เขา ชนิดคนพวกนั้นไม่ตายก็คางเหลือง
ตาย ตาย ตายกันให้หมด ไอ้พวกเปรตนรก!!!
เห็นไหม ไอ้พวกผู้ยิ่งใหญ่ มันก็เจ็บเป็นตายเป็น เที่ยงมองเห็นภาพตัวเองเดินย่ำลงไปบนซากศพของคนพวกนั้น พร้อมอาการหัวเราะร่าอย่างสาแก่ใจ ท่ามกลางเปลวแดดระยิบยับ
...........
เปล่า..เจ้าเที่ยง ไม่ได้เหนี่ยวไก เป็นเพียงภาพในใจที่อยากเห็นเท่านั้น ก่อนจะเขาจะตัดสินใจเหนี่ยวไก ใบหน้าเต็มไปด้วยความเมตตาของคุณยายปรากฏขึ้นมาในห้วงแห่งความนึกคิด อดทนให้ถึงที่สุด... เที่ยงเอ้ย วันนี้หลานยังอดทนไม่ถึงที่สุด เที่ยงเป็นอะไรไป ใครจะอยู่กับยาย
เจ้าเที่ยงปาดหน้าน้ำตาลูกผู้ชาย มือกุมด้ามปืนสั่นระริก ขณะมองตามรถจี๊ปคันงามไปจนลับมุมโค้ง หนุ่มบ้านนาระงับอารมณ์พยายามตั้งสติจนจิตใจสงบ ก่อนลุกขึ้นเดินกลับบ้านอย่างเงียบงัน ด้วยความรู้สึกของคนเดินเฉียดปากเหวอันน่ากลัว ไว้ค่อยคิดอ่านหาทางแก้ทางอื่น มันยังไม่ถึงที่สุด ความอดทนอดกลั้นยังไม่ถึงที่สุด ไว้ให้ถึงระดับนั้นก่อน
“แย่แล้ว !!! แย่แล้ว!!!....รถปลัดตกเหว ตายสามสาหัสสี่คน!!!”
เสียงร้องของผู้คนปลุกในยามยามค่ำแตกตื่นอีกครั้งก่อนการหลับไหล ออกมารวมตัวชุมนุมกันอยู่ลานบ้านกำนันซึ่งสมาชิกครอบครัวพากันร่ำไห้คร่ำครวญ ฟังไม่ได้สรรพ รวมทั้งครอบครัวของบัวและเจ้าเที่ยงด้วยพากันออกมาสังเกตการณ์ อำเภอแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่โตเกินไป มีข่าวสำคัญอะไรชาวบ้านรับรู้ได้อย่างรวดเร็วในสังคมเล็ก ๆ
ไม่นาน ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งพากันลำเลียงร่างผู้เสียชีวิตมาหน้าบ้าน ปลัดหนุ่มสภาพคอหักหมุนแทบได้รอบ ใบหน้าหล่อเหลาเจ้าชู้แหลกยับเต็มไปด้วยเลือด แขนขาหักผิดรูปน่าสยดสยอง นายตำรวจหนุ่มและกำนันเองก็มีสภาพแทบไม่ต่างกัน ร่างกายยับเยินผิดรูป ใบหน้าแสดงความเจ็บปวดมรมานก่อนตายอย่างเห็นได้ชัด ความตายจัดให้ทุกคนได้รับเท่าเทียมกันเสมอตามวาระโอกาสอันเหมาะสม
.
ทางกรรม...รีไรท์
เมื่อเวลาผ่านไป ก็ถึงเวลา ที่จะนำมาเปลี่ยน กลับมา เป็นลายมือ ดั้งเดิมของตัวเอง เสียที
และนี่คือ ลายมือดั้งเดิม ของข้าน้อย
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีเรื่องเล่าขานนานมา ในอำเภอเล็ก ๆ ห่างไกลจากความเจริญ ...ห่างไกลตัวเมือง
เจ้าเที่ยงนั่งอยู่หลังพุ่มไม้ บริเวณทางโค้งริมหน้าผา ของถนนเข้าออกหมู่บ้านมานานแล้ว ความร้อนของอากาศไม่ได้ทำให้หนุ่มบ้านนาล้มเลิกความตั้งใจ เพราะความรุ่มร้อนภายในใจ มากกว่าความร้อนรอบกายมากนัก
เขาอดทนและรอคอย
ถ้าจะดักยิงใครสักคนที่ขับรถเข้าออกจากอำเภอเล็ก ๆ แห่งนี้ ถนนทางโค้งเลียบหน้าผา ห่างออกจากทางเข้าอำเภอประมาณสามสี่กิโลเมตร เป็นทำเลเหมาะที่สุดในการลอบสังหาร เพราะเส้นทางเฉียดหน้าผาค่อนข้างสูงชันคับแคบ บังคับให้รถวิ่งเข้าทางปืนโดยไม่มีทางเลี่ยง แม้สภาพทางภูมิศาสตร์จะไม่ค่อยน่ากลัว แต่ภูมิประเทศทำให้คนขับต้องชะลอความเร็วลงทุกคัน ไม่อย่างนั้นอาจจะวิ่งชนรั้วกั้นถนน หล่นลงไปในหุบเหวข้างทางได้ อีกด้านเป็นเชิงผาเต็มไปด้วยพืชพรรณไม้ใหญ่น้อย เหมาะในการหลบซ่อนตัว หลังจากปฏิบัติการแล้วสามารถหลบหนีขึ้นไปบนเชิงเขาได้ไม่ยาก ไม่เคยมีใครคิดแบบนี้นอกจาก เจ้าเที่ยง หนุ่มบ้านนอก ผู้แฝงกายอยู่ในพุ่มไม้สูงห่างออกไปจากทางเลี้ยวอันตรายในระยะยิงหวังผล
ปืนแก๊บสมัยคุณปู่ในมือยังมีสภาพงดงามพร้อมใช้งาน ลำกล้องเหล็กถูกขัดถูสะอาดสม่ำเสมอ ไม้แดงที่ใช้ทำด้ามปืนเป็นมันวาว จากการดูแลรักษาเป็นอย่างดี แม้ไม่เคยใช้งานมานาน แต่ยามว่างเขาก็ซ้อมยิงอยู่เรื่อย ๆ จนชำนาญ ตามวิธีการที่คุณปู่เคยสั่งสอน หลังจากนั้นจะถูกไปเก็บรักษาเป็นอย่างดี ไม่เคยเอาไปยิงคนหรือสัตว์ที่ไหน
วันนี้ต่างออกไป
ดินปืนถูกอัดเต็มปริมาณเท่าที่สมรรถภาพของปืนจะรองรับได้ กระสุนเหล็กหลายขนาดอัดใส่กระบอกปืนเต็มที่ เรียกว่ายิงนัดเดียวหวังผลครอบคลุมไปโดนหลายคน
เป้าหมายของเจ้าเที่ยง ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา แต่เป็นปลัดอำเภอ นายตำรวจ และกำนันประจำหมู่บ้าน สามผู้ยิ่งใหญ่แห่งพื้นที่ มารวมพลกันเป็นทีมทรงอิทธิพล บ้านชนบทท้องทุ่งนาเคยสงบร่มเย็น ความรู้สึกของผู้คนเปลี่ยนไป ความสงบสุขกลายเป็นดินแดนแห่งความรุ่มร้อนทุกข์เข็ญ
นายตำรวจคนใหม่ มาพร้อมกับการวางอำนาจยิ่งใหญ่ ราวกับผู้วิเศษชี้เป็นชี้ตายในสังคม คำว่า ‘ตำรวจ’ ทำให้ชาวบ้านพากันเกรงกลัวในอำนาจบารมี ยังไม่ทำอะไรผิดก็เกรงกริ่งเมื่อมองเห็น นั่นคือความรู้สึกของชาวบ้าน เด็ก ๆ ที่ร้องไห้ พอได้ยินคำว่า ตำรวจจะมาจับ จะพากันหยุดร้องด้วยความหวาดกลัว
ส่วนปลัดอำเภอหนุ่ม ส่อแววมักมากในกามคุณให้เห็น ตั้งแต่วันแรกเมื่อเข้ามา เขามักใช้คำพูดและการจาบจ้วง ต่อหญิงสาวชาวบ้าน แทะโลมน่ารังเกียจ ทั้งที่ตัวเองมีครอบครัวอยู่แล้ว แต่ชื่อเสียงเรื่องอื้อฉาวไม่เคยห่างหาย ชาวบ้านมองปลัดเหมือนคนระดับสูงที่ต้องเคารพเกรงใจ
กำนันผู้เคยวางตัวเป็นกลางเสมอมา ก็พลอยเป็นไปกับเขาด้วย วิ่งเอาอกเอาใจปลัดหนุ่มและนายตำรวจยิ่งกว่าพ่อบังเกิดเกล้า ไม่ว่านายตำรวจและท่านปลัดจะเดินทางไปไหน เป็นต้องเสนอหน้าอาสารับใช้ ติดสอยห้อยตามมิได้ขาด โดยมีลูกบ้านหลายคนเป็นมือเท้า การไปไหนมาไหนกับพวกตำรวจและลัดอำเภอ ทำให้รู้สึกว่าตัวเอง ‘ตัวใหญ่’ ขึ้นมาจากเดิมกลายเท่า อิ่มอาบไปด้วยพลังบารมี เงินทองนำมาสู่ความมีชื่อเสียง และนำพาความมีอำนาจมาให้ในที่สุด
“ท่านปลัดและท่านนายตำรวจ ให้เกียรติมาพักมาทำงานกับเรา พวกเขาจะนำความเจริญมาให้หมู่บ้านเรา”
เสียงประกาศของท่านกำนัน ในวันประชุมลูกบ้านประจำฤดูกาล ด้วยน้ำเสียงและสีหน้าแห่งความหวัง ปลัดคนก่อนเกษียณตัวเองไปก็ไม่เห็นมีผลงานอะไร วัน ๆ เอาแต่วุ่นวายกับเกษตรกรเทือกสวนไร่นา ส่วนนายตำรวจแก่ ๆ ประจำโรงพักในตัวอำเภอ ย้ายออกไปก่อนหน้านี้ ไม่เห็นมีผลงานอะไร นอกจากการจับโจรลักเล็กขโมยน้อย จับเหล้าเถื่อน จับวง จับเจ้ามือหวย จับเด็กซิ่ง จับวงไพ่ จับคนขายยาบ้า ไม่เห็นสร้างความเจริญอะไรให้ชุมชนเลยสักนิด
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ กำนันจึงตื่นตัวขึ้นมาจากการหลับไหลทันที มีคนใหญ่คนโตบารมีมาพักพาอาศัย เป็นศิริมงคลต่อชาวบ้าน สังคมเล็ก ๆ แห่งนี้ควรมีอะไรพัฒนาไปในทิศทางแห่งความเจริญบ้าง แต่ดูท่าทางกำนันเองก็ไม่รู้ว่า ‘ความเจริญ’ ดังกล่าวคืออะไรและสำคัญมากน้อยแค่ไหน เป็นกำนันมาหลายสิบปี ยังไม่เคยออกไปไล่ล่าจับขุนโจรนอกกฏหมาย ยาบ้า ยาเสพติด ก็ไม่เคยจับได้กับเขาสักที ขณะอำเภออื่น มีข่าวจับกุมกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน ท่าทางชุมชนแห่งนี้จะสงบเงียบขาดการพัฒนาเกินไป ถึงไม่มีเรื่องตื่นเต้น
ตะวันลอยโผล่พ้นยอดไม้ บนถนนมีรถของชาวบ้านวิ่งผ่านไปมาไม่มากนัก หนุ่มบ้านนอกสะกดใจรอคอยต่อไป ยกปืนขึ้นเล็งให้คล่องตัว ผ้าขาวม้ายกปาดเหงื่อตามใบหน้าและลำคอเป็นระยะ ในชีวิตไม่เคยคิดจะทำร้ายใคร แต่วันนี้มันเหลือทนแล้ว
บัว สาวบ้านนาคนงาม ที่ดูใจกันมานานหลายปี กับระยะเวลาในการช่วยกันทำนาและการเกษตรสร้างชาติ ชีวิตราบเรียบควรจะสงบสุข ถ้าไม่เพราะเดือนก่อน กำนันได้มาติดต่อพ่อแม่ของบัว ให้ไปทำงานเป็นคนรับใช้พิเศษ ที่บ้านปลัดหนุ่ม โดยแลกกับเงินเดือนจำนวนหนึ่ง แต่พ่อแม่ของบัวเหมือนจะรู้ข่าวความเจ้าชู้ของท่านปลัด จึงบ่ายเบี่ยงปฏิเสธตลอดมา ไม่ว่ากำนันจะมาเจรจาถึงบ้าน รวมทั้งนายตำรวจหนุ่มคนนั้นด้วยก็ตาม
“ยอมๆ คุณปลัดไปเถอะน่า...ทำงานอยู่บ้านท่าน ดีจะตาย ใคร ๆ ก็อยากไปทำ อยู่ใกล้คนใหญ่คนโต เราจะได้พลอยพึ่งพาบารมีคุ้มกะลาหัวเราไปด้วย เผลอ ๆ เป็นคุณนายน้อยท่านปลัดคนที่หก อีกหน่อยท่านปลัดได้เป็นนายอำเภอ สบายไปทั้งชาติทั้งตระกูล”
คำพูดของกำนันผู้กว้างขวาง หัวร่อร่าอยู่หน้าบ้าน ในขณะเจ้าเที่ยงกับสาวคนรักนั่งทำอาหารอยู่หลังบ้านอย่างไม่สบายใจ คำพูดของกำนันเหมือนคมมีดบาดกลางอก ทำไมพากันคิดไปในทางเสื่อมเสียกันไปหมด คนเราไม่ใช่สิ่งของจะประเคนให้ใครได้ง่าย ๆ ใคร ๆ ก็รู้กันทั่วว่าท่านปลัดหนุ่มมีเมียเก็บแล้วหลายคน เพราะวันมาส่งตัวคุณนายปลัดตัวจริงก็มาด้วย และประกาศลั่น ทำนองผัวข้าใครอย่าแตะ แต่เมื่อคุณนายปลัดกลับไป คำพูดนั้นก็จางหายไปกับสายลมท้องทุ่งนา
หลายครั้งกับการเจรจา แต่พ่อแม่ของบัวยังปฏิเสธเสียงแข็ง จนล่าสุดสัปดาห์ก่อน เจ้าไก่ น้องชายแท้ ๆ ของบัว โดนจับข้อหามียาบ้าในครอบครอง ท่ามกลางความมึนงงของชาวบ้าน เพราะเด็กหนุ่มคนนี้ขยันขันแข็ง ทำมาหากิน ไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขใด ๆ ทั้งสิ้น แล้วจะมียาบ้าครอบครองได้อย่างไร ตำรวจบอกมีสายสืบรายงานว่าเจ้าไก่เสพยาบ้า จึงขอเข้าตรวจค้น ขณะเดินไปซื้ออาหารปลาหน้าร้านค้าประจำหมู่บ้าน พวกตำรวจค้นตัวไม่ถึงสองสามวินาที ก็นำเอายาเม็ดเล็ก ๆ จำนวนหนึ่งออกมาโชว์ แล้วบอกว่าเป็นยาเสพติด น้องชายของบัวถูกจับตัวเข้าห้องขัง ทั้งที่ปฏิเสธด้วยน้ำตานองหน้า ว่าไม่เคยเสพเคยใช้ยาบ้าแม้แต่น้อย ไม่เคยรู้จักด้วยซ้ำว่าหน้าตายาบ้าเป็นอย่างไร ชาวบ้านเองก็ไม่เชื่อ แต่ปืนในมือตำรวจมีอำนาจมากกว่าไม้ตีพริกในมือชาวบ้านเสมอ
เจ้าไก่นอนห้องขังหนึ่งคืน รุ่งขึ้นกำนันมาพบพ่อของเจ้าไก่ตั้งแต่เช้า บอกว่าจะวิ่งเต้นช่วยเหลือประกันตัวออกมาให้ แต่ต้องยอมให้บัวไปทำงานที่บ้านปลัด
คนบ้านป่าบ้านดง จะเอาอะไรมาต่อสู้กับมือกฏหมาย ถ้ามือนั้นเปื้อนอวิชชามืดดำ สุดท้ายบัวต้องยอมไปทำงานที่บ้านปลัดหนุ่มเพื่ออิสรภาพของน้องชาย
สองวันผ่านไปไม่มีอะไรเกิดขึ้น ท่ามกลางความโล่งใจของพ่อแม่ แต่แล้ววันที่สาม บัววิ่งร้องไห้ออกมาจากบ้านท่านปลัด บอกกับทุกคนว่าท่านปลัดฉวยโอกาสคนไม่อยู่บ้าน พยายามปลุกปล้ำลวนลาม จนเลื้อผ้าขาดวิ่น หลักฐานชัดเจน แต่สาวบ้านนาใจเด็ด เอาแจกันฟาดหัวปลัด ก่อนหนีรอดออกมาได้หวุดหวิด และสาบานว่าจะไม่เหยียบเข้าไปในบ้านอุบาทว์หลังนั้นอีก แต่เรื่องราวยังไม่จบ ปลัดหนุ่มออกข่าวว่า บัวขโมยของในบ้าน ตนเองจับได้คาหนังคาเขา จนเกิดการต่อสู้กันขึ้น พร้อมกับการข่มขู่ว่า ถ้าไม่ยอมความขอขมาลาโทษ และกลับไปทำงานตามเดิม จะแจ้งตำรวจ มาจับข้อหาทำร้ายร่างกายและลักขโมย
นั่นเป็นเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อกี่วันนี่เอง ยังดีกว่าพอดีเช้าวันนี้ ท่านผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายจะต้องเดินทาง ไปงานสู่ขอแต่งงานของลูกชายนายอำเภอ มีการจัดงานอยู่ในตัวอำเภอ ทำให้อำนาจมืดของกฏหมายวางมือชั่วคราว
เส้นทางไปงานเลี้ยง อย่างไรต้องผ่านทางโค้งเปลี่ยวแห่งนี้
ด้วยความเจ็บแค้นของหนุ่มบ้านนา เจ้าเที่ยงตัดสินใจเด็ดขาดไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ต้องปกป้องสาวคนรักและครอบครัวให้ได้ ถ้าเขาเป็นอะไรไปก็เชื่อว่าต้องมีคนดูแลคุณยาย ญาติคนเดียวของเขา การไม่ทำอะไรเสียเลย ปล่อยให้สาวคนรักถูกกระทำย่ำยีหยามใจ ยอมได้อย่างไร ปืนของคุณปู่จะได้ทำหน้าที่ครั้งสุดท้าย แม้จะเป็นปืนเก่าล้าสมัย แต่ก็ทรงอำนาจพอจะฆ่าคนได้ หรืออย่างน้อยก็บาดเจ็บสาหัสเลี้ยงไม่โตได้หลายคน
ตะวันคล้อย
นั่นไง ในที่สุดเป้าหมายมาแล้ว ใกล้ระยะยิงเข้ามาทุกที
รถจี๊ปคันงามของท่านปลัด นายตำรวจและกำนันพร้อมสมุนคู่ใจอีกสามสี่คน นั่งกันมาเต็มรถ ในระยะมองเห็นชัดเจน เจ้าเที่ยงนั่งท่าเตรียมพร้อม ยกปืนขึ้นเล็งด้วยหัวใจเต้นระทึก มองดูใบหน้าเปื้อนยิ้ม กำลังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ไม่ได้มีทีท่าสำนึกผิดคิดกลับตัวอะไรเลยสักนิด คนพวกนี้อยู่ไปก็รกโลก ก่อกรรมทำเข็ญให้คนอื่นเดือดร้อนไม่มีที่สิ้นสุด พวกมันสมควรตาย บาปก็ขอบาป ไอ้เที่ยงคนนี้จะขอรับบาปนรกนั้นไว้เพียงผู้เดียว
เปรี้ยง!!
เสียงปืนลูกซองดังสนั่นกึกก้องไปทั้งหุบเขา กระจกหน้ารถแตกกระจัดกระจายท่ามกลางเสียงร้องอย่างตกอกตกใจ รถเสียหลักเลี้ยวพุ่งชนรั้วกั้นข้างทาง ก่อนพลิกคว่ำกลิ้งไถลโครมครามลงไปไหล่เขา ชนิดคนพวกนั้นไม่ตายก็คางเหลือง
ตาย ตาย ตายกันให้หมด ไอ้พวกเปรตนรก!!!
เห็นไหม ไอ้พวกผู้ยิ่งใหญ่ มันก็เจ็บเป็นตายเป็น เที่ยงมองเห็นภาพตัวเองเดินย่ำลงไปบนซากศพของคนพวกนั้น พร้อมอาการหัวเราะร่าอย่างสาแก่ใจ ท่ามกลางเปลวแดดระยิบยับ
...........
เปล่า..เจ้าเที่ยง ไม่ได้เหนี่ยวไก เป็นเพียงภาพในใจที่อยากเห็นเท่านั้น ก่อนจะเขาจะตัดสินใจเหนี่ยวไก ใบหน้าเต็มไปด้วยความเมตตาของคุณยายปรากฏขึ้นมาในห้วงแห่งความนึกคิด อดทนให้ถึงที่สุด... เที่ยงเอ้ย วันนี้หลานยังอดทนไม่ถึงที่สุด เที่ยงเป็นอะไรไป ใครจะอยู่กับยาย
เจ้าเที่ยงปาดหน้าน้ำตาลูกผู้ชาย มือกุมด้ามปืนสั่นระริก ขณะมองตามรถจี๊ปคันงามไปจนลับมุมโค้ง หนุ่มบ้านนาระงับอารมณ์พยายามตั้งสติจนจิตใจสงบ ก่อนลุกขึ้นเดินกลับบ้านอย่างเงียบงัน ด้วยความรู้สึกของคนเดินเฉียดปากเหวอันน่ากลัว ไว้ค่อยคิดอ่านหาทางแก้ทางอื่น มันยังไม่ถึงที่สุด ความอดทนอดกลั้นยังไม่ถึงที่สุด ไว้ให้ถึงระดับนั้นก่อน
“แย่แล้ว !!! แย่แล้ว!!!....รถปลัดตกเหว ตายสามสาหัสสี่คน!!!”
เสียงร้องของผู้คนปลุกในยามยามค่ำแตกตื่นอีกครั้งก่อนการหลับไหล ออกมารวมตัวชุมนุมกันอยู่ลานบ้านกำนันซึ่งสมาชิกครอบครัวพากันร่ำไห้คร่ำครวญ ฟังไม่ได้สรรพ รวมทั้งครอบครัวของบัวและเจ้าเที่ยงด้วยพากันออกมาสังเกตการณ์ อำเภอแห่งนี้ไม่ได้ใหญ่โตเกินไป มีข่าวสำคัญอะไรชาวบ้านรับรู้ได้อย่างรวดเร็วในสังคมเล็ก ๆ
ไม่นาน ชาวบ้านกลุ่มหนึ่งพากันลำเลียงร่างผู้เสียชีวิตมาหน้าบ้าน ปลัดหนุ่มสภาพคอหักหมุนแทบได้รอบ ใบหน้าหล่อเหลาเจ้าชู้แหลกยับเต็มไปด้วยเลือด แขนขาหักผิดรูปน่าสยดสยอง นายตำรวจหนุ่มและกำนันเองก็มีสภาพแทบไม่ต่างกัน ร่างกายยับเยินผิดรูป ใบหน้าแสดงความเจ็บปวดมรมานก่อนตายอย่างเห็นได้ชัด ความตายจัดให้ทุกคนได้รับเท่าเทียมกันเสมอตามวาระโอกาสอันเหมาะสม
.