ทุนยุวทูต YES เป็นทุนการศึกษาของ Youth Exchange Scholarship ที่มอบให้แก่นักเรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 3, 4, 5 เพื่อให้ไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศเป็นระยะเวลา 1 ปีการศึกษา และเพื่อให้ได้เรียนรู้ ซึมซับวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ในประเทศเหล่านั้น โดยจะมีทั้งหมด 3 ทุนด้วยกัน ซึ่งมีมูลค่ารวมกันทั้งหมด 1,211,800 บาท โดยทุนที่มีมูลค่าสูงสุดนั้น ก็คือทุนยุวทูต YES ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีมูลค่า 498,800 บาท ซึ่งเป็นทุนที่จะได้ไปแลกเปลี่ยนที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และก็เป็นทุนที่ผมได้รับมอบจาก YES ครับ
.......เกริ่นมาซะยาวเลย ก่อนอื่น ผมขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมชื่อนายพิตตินนท์ วัฒนพันธ์ มาจากห้องเรียนพิเศษทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ของโรงเรียนวัดราชโอรส และเป็นผู้ที่ได้รับทุนยุวทูต YES ประเทศสหรัฐอเมริกา ไปศึกษาต่อเป็นระยะเวลา 1 ปีการศึกษา โดยวันนี้ผมจะมาทำการเล่าประสบการณ์และวิธีการในการเตรียมตัวก่อนการสอบชิงทุนยุวทูต YES ครับ
ก่อนอื่นผมต้องขอพูดก่อนนะครับ ว่าเมื่อก่อนนั้น ผมไม่มีความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษเลยครับ ตอนที่ผมอยู่ ป.6 นั้น ใบประกาศนียบัตรใบเดียวที่ผมได้ตอนนั้นก็คือใบประกาศนียบัตรที่ผมได้จากการไปแข่งร้องเพลงมาและได้ที่สาม 555 ตอนนั้นคือนอกจากว่าจะไม่เก่งภาษาอังกฤษแล้วก็ยังไม่คิดจะพัฒนาด้วยครับ แต่แล้วก็มีอยู่วันหนึ่งครับ ที่ผมได้ไปค้นพบกับสิ่งที่เรียกว่า "ทุนการศึกษาเรียนต่อต่างประเทศ" โดยจากที่ผมเคยคิดว่าการไปศึกษาต่อต่างประเทศนั้นมันเป็นเรื่องไกลตัว แต่พอได้มาเจอกับทุนไปเรียนต่อต่างประเทศอย่างมากมาย ผมก็รู้สึกครับว่าเรื่องเหล่านี้มันไม่ได้ไกลตัวเราเลย โอกาสเหล่านี้มันอยู่รอบตัวเราตลอดเวลาแต่เพียงแค่ว่าเรานั้นไม่เห็นมันเท่านั้นเอง โดยหลังจากที่ผมได้รู้ถึงทุนมากมายเหล่านี้ผมก็ตั้งเป้าหมายไว้เลยครับว่าไม่ว่ายังไงก็ตาม ซักวันหนึ่ง ผมต้องได้ทุนและไปต่างประเทศให้ได้! หลังจากที่มีเป้าหมายไว้ในใจแล้วผมก็เริ่มทำการวางแผนและเริ่มฝึกภาษาอังกฤษเพื่อใช้ในการสอบชิงทุนและในการสัมภาษณ์ครับ
การฝึกภาษาอังกฤษ
วิธีที่ผมใช้ในการฝึกภาษาอังกฤษนะครับ ก็คือการทำให้ภาษาอังกฤษเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของผมครับ เวลาตื่นเช้ามาผมก็ฝึกพูดภาษาอังกฤษ ทวนคำศัพท์ที่เรารู้ให้เข้าหัว ตอนเรียนก็พยายามแปลศัพท์เป็นภาษาอังกฤษ ฝึกเขียนไปเรื่อยๆ ฟังวีดิโอภาษาอังกฤษ ก็ลองก๊อปสำเนียงเขามา เวลาพูดกับเพื่อนก็ลองปนคำพูดภาษาอังกฤษบ้าง วันเสาร์ อาทิตย์ ก็ดูโดราเอมอนเป็นภาษาอังกฤษ ก่อนนอนผมก็อ่านนิยายภาษาอังกฤษ อ่านบทความภาษาอังกฤษ ฯลฯ ซึ่งถ้าให้พูดตามตรงเลยคือ 2-3 เดือนแรกนี่คือแทบไม่เห็นผลเลยครับ แต่ผมใช้วิธีนี้มาเรื่อยๆ จนขึ้น ม.1 เทอม 2 (ประมาณ 1 ปี) ถึงเริ่มสามารถพูดและฟังออกได้ครับ ต่อมา ผมก็เริ่มทำการออกล่าหาประสบการณ์จริง ด้วยการออกไปแข่งพูดสุนทรพจน์ภาษาอังกฤษในสถานที่ต่างๆครับ ในช่วงเวลานี้ผมก็ได้ฝึกภาษาอังกฤษด้วยการเขียนบทและฝึกพูดครับ ทำให้ผมมีความมั่นใจและสามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องขึ้น ที่ไปแข่งก็มีแพ้บ้างนะครับ แต่ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่จะนำไปพัฒนาต่อไป โดยรางวัลที่ผมได้ก็มีประมาณนี้ครับ
อันนี้โรงเรียนพาไปแข่งครับ
เวทีสนามนี้ตื่นเต้นมาก
ใบประกาศนียบัตรใบแรกที่ผมได้ครับ
ทั้งหมดก็จะมีประมาณนี้ครับ
ติวโค้งสุดท้ายก่อนสอบชิงทุน YES
ในการสอบชิงทุน YES นั้นจะมีทั้งหมดสามรอบด้วยกันโดยรอบแรกนั้นจะเป็นข้อสอบภาษาอังกฤษจำนวน 150 ข้อที่จะทำการคัดเด็กที่มีคะแนนสูงสุด 100 คนแรกไปสอบต่อในรอบที่สองซึ่งก็คือรอบสอบสัมภาษณ์และสอบข้อสอบ Listening and Writing หลังจากนั้นจะเหลือ 10 คน แล้วก็จะเป็นรอบสัมภาษณ์รอบสุดท้ายเพื่อตัดสิน 3 คนที่จะได้ทุนยุวทูต YES โดยก่อนการสอบรอบแรก ผมก็ทำการเริ่มจำคำศัพท์ให้มากขึ้นครับ คำไหนยากๆที่ผมไม่เข้าใจผมก็เขียนเอาไว้แล้วก็เอามาแปลด้วย Google ส่วนในเวลาว่างผมก็อ่านนิยายภาษาอังกฤษวันละเล่มครับ (ขอแอบบอกหน่อยผมอ่าน Overlord ครับ 555) พอมาถึงวันสอบจริงๆ ผมก็ตื่นเต้นมากๆเลยครับ ข้อสอบนี้จะเน้นไปทางบทสนทนาอย่างเดียวเลยครับ พวกหลัก grammar จะมีค่อนข้างน้อย แต่จะไปยากตรงที่ว่าคำศัพท์นั้นเป็นคำศัพท์ระดับสูง ประกอบกับเวลาที่น้อย ทำให้ทำข้อสอบไม่ทันครับ เพราะว่ามีเวลาแค่ 1 ชม. ต่อ 150 ข้อ ซึ่งตีเป็นประมาณข้อละ 35 วินาที โดย 50 ข้อแรกก็จะเป็นการเติมประโยคให้ถูกต้องตามสถานการณ์ 50 ข้อต่อมาก็จะเป็นการเติมคำศัพท์ให้ถูกต้อง พวก synonym กับ acronym และ 50 ข้อสุดท้ายก็จะเป็น Reading โดยจากประสบการณ์ของผม ในแต่ละข้อนั้นจะมี 2 ตัวเลือกที่ผิดแน่นอนครับ ให้ตัดสองตัวเลือกนั้นไปก่อน แล้วจะมีสองตัวเลือกที่กำกวม ก็ค่อยเลือกจากสองตัวนี้ครับ และส่วน Reading จะเป็นบทความที่ยาวมากกกก ให้ไปดูคำถามก่อนแล้วค่อยกลับมาอ่านครับ และถ้ามีข้อไหนที่ทำไม่ได้ ก็ให้กามั่วและไปข้อต่อไปเลย จะประหยัดเวลามากกว่าครับ
หลังจากที่ผมสอบเสร็จแล้ว ผ่านมาไม่กี่วันก็ประกาศผล ซึ่งผมก็ตกใจมากเลยครับที่ตัวเองติดอยู่ใน 100 คนแรกครับ ตอนแรกก็คิดว่าจะไม่ได้เสียแล้ว เพราะทำไม่ทันไปสิบกว่าข้อ แต่ก็สามารถผ่านมาได้ ได้ที่ 60 กว่าๆครับ ผมก็ไม่รอช้าครับ และรีบเตรียมตัวในการสอบรอบต่อไปทันทีครับ
ในรอบที่สองนี้ก็จะมีการสอบสัมภาษณ์และการสอบข้อสอบ Listening and Reading ซึ่งผมได้ทำการฝึกการสอบสัมภาษณ์ก่อน ในการสัมภาษณ์นั้นจะมีกรรมการอยู่สองคนครับ ชาวไทยหนึ่งคน กับชาวต่างชาติหนึ่งคน ผมได้ทำการฝึกด้วยการลองจำลองคำถามที่กรรมการน่าจะถามเราครับ แล้วเราก็ลองฝึกพูดหน้ากระจกดูครับ โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดในการสัมภาษณ์ คือการแสดงให้เขาดูครับ ว่า
คุณมีความตั้งใจแค่ไหนที่อยากจะไปต่างประเทศ คุณไปประเทศนั้นแล้วคุณจะเผยแพร่วัฒนธรรมไทยยังไง ทำไมคุณถึงอยากไปต่างประเทศ ซึ่งในจุดนี้ คุณต้องมีแนวคิดและไอเดียที่โดดเด่นและมีความน่าสนใจเพื่อที่ว่าคุณนั้นจะได้โดดเด่นในกลุ่มคนทั้งหมด 100 คน โดยผมก็มีไอเดียครับว่า "ชาวต่างชาติรู้จักการไหว้ไทย รู้จักดนตรีไทย รู้จักอาหารไทย แต่สิ่งที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนก็คือความอร่อยของขนมไทยนั่นเอง!" ด้วยความที่ว่ายายผมนั้นทำขนมไทยอร่อยมากๆ และผมนั้นก็เป็นคนที่ได้กินมันมาตลอด ผมก็เลยอยากจะให้คนที่อยู่ต่างประเทศได้ชิมขนมไทยบ้างครับ
ผมก็เลยทำการเข้าห้องสัมภาษณ์พร้อมนำกล้วยบวชชีมาให้กรรมการได้รับประทานครับ ทำให้ทั้งผมและกรรมการทั้งสองคน หลุดขำออกมาเลยครับ ผมก็ได้ให้เหตุผลว่า กล้วยบวชชีทำง่าย วัตถุดิบก็หาง่าย และแสดงถึงความเป็นไทยด้วย ถ้าคุณให้โอกาสผม ผมจะทำการเผยแพร่วัฒนธรรมไทย ด้วยกล้วยบวชชีครับ สิ่งที่สำคัญอีกอย่างก่อนการสอบสัมภาษณ์ก็คือการตรวจสภาพร่างกายตัวเอง ถ้าคุณแต่งตัวดี เสื้อผ้ามีความเรียบร้อย ผมตัดอย่างมีระเบียบ และถ้าคุณมีมารยาทดี ไหว้สวย โอกาสที่คุณจะสร้างความประทับใจแรกก็จะมีมากขึ้นครับ ตอนเดินเข้าห้อง ให้เดินด้วยความมั่นใจ เวลาสัมภาษณ์อย่าไปกลัว
เราต้องเป็นคนนำบทสนทนาในการสัมภาษณ์ เขาถามเรามาเราต้องตอบด้วยความมั่นใจ อย่าไปกลัวครับ เพราะถ้าพลาดรอบนี้ ก็ไม่มีรอบต่อไปแล้ว และถ้าคุณเคยทำผลงานอะไรมา ก็สามารถทำ Portfolio มาแสดงให้เขาดูได้นะครับ ของผมเคยเป็นไกด์ให้ชาวต่างชาติมาก่อน ก็มาใส่ในแฟ้มเสนอให้เขาดูครับ ในวันสัมภาษณ์ให้มาเช้าๆ และให้เข้าห้องสัมภาษณ์เป็นคนแรกๆ ยิ่งเราอยู่คนแรกมากเท่าไหร่ ทางคณะกรรมการก็จะสามารถจำเราได้มากขึ้นเท่านั้นครับ และก็อย่าลืมนะครับ
การที่จะเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนได้ เก่งแค่ทางวิชาการนั้นไม่พอ ต้องมีแนวคิดและนิสัยที่ดีด้วยครับ
และแล้วผมก็ได้รับข่าวว่าผมนั้นติดรอบสัมภาษณ์ รอบ 10 คนสุดท้ายตอนกำลังเดินขึ้นบันได ผมรู้สึกตกใจมากๆ รู้สึกว่าโลกหมุนไปหมด ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ผมตกบันไดนี่เอง 555 (ล้อเล่นครับเกือบตกแต่ไม่ตกครับ)
พอผมได้เห็นชื่อตัวเองในรายชื่อ 10 คนที่ได้อยู่ในรอบสัมภาษณ์สุดท้าย ผมก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองมากๆเลยครับ สิ่งที่ทำมาทั้งหมด เวลาที่เสียไป มันไม่สูญเปล่าจริงๆ พ่อแม่ยายก็รู้สึกดีใจเช่นกันครับที่ว่าผมได้มาไกลขนาดนี้ และในตอนนี้ อีกเพียงแค่รอบเดียวเท่านั้นก็จะได้รู้ผลแล้วว่าใครกันจะได้เป็นผู้ได้รับทุนยุวทูต YES รุ่น 28/35
ในวันก่อนการสัมภาษณ์รอบสุดท้ายนั้น ผมก็ได้ทำการเตรียมกาย เตรียมใจและหลังจากที่ผมได้คุยกับพ่อและแม่ ผมก็ได้ทำการเดินเข้าตึก YES ไปพร้อมกับแกงบวดฟักทองและ Portfolio ที่เตรียมมาครับ
พอผมได้เข้าห้องสัมภาษณ์ กรรมการก็ทำการถามคำถามต่างๆนาๆ อย่างเช่น "ทำไมคุณถึงเลือกทุน YES" "คุณไปต่างประเทศคุณจะเผยแพร่วัฒนธรรม ยังไง" และอื่นๆอีกมากมาย ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคำถามที่จะทดสอบถึงไหวพริบและแนวคิดของผู้ถูกสัมภาษณ์ ต้องตอบคำถามอย่างซื่อสัตย์ ทุกคนใน รอบนี้มีการเตรียมตัวมาอย่างดีนำความสามารถที่ตัวเองมีมาแสดงให้กรรมการดู เพื่อแสดงว่าตัวเองเหมาะสมกับทุนยุวทูต YES ในรอบนี้นั้นไม่มีคะแนนตัดสิน จะมีแต่เพียงคณะกรรมการเท่านั้น ที่จะพิจารณาว่าเรามีความพร้อมและมีความเหมาะสมกับการได้รับทุนไหม
และแล้วผลของการสอบสัมภาษณ์รอบสุดท้ายก็ประกาศออกมาครับ ความรู้สึกแรกของผมเลยหลังจากที่เห็นหน้าตัวเองในทุนยุวทูต YES ก็คือความตกใจ ตามมาด้วยความดีใจครับ ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยมาผมจะมาได้ไกลขนาดนี้ และด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น ผมก็นำข่าวนี้ไปบอกให้ครอบครัวผมฟังครับ
เทคนิคที่ผมใช้ในการสอบชิงทุนนะครับ ถ้าสรุปมาสั้นๆ ก็จะมีประมาณ 3 อย่างครับนั่นก็คือ
1.การทำข้อสอบอย่างมีประสิทธิภาพ ในการทำข้อสอบนั้น ข้อไหนที่ไม่ได้ ให้ข้ามไปเลย ทำข้อที่ทำได้ แล้วได้คะแนน ดีกว่านั่งงงกับข้อที่ทำไม่ได้ แล้วเสียเวลาเปล่า โดยเฉพาะกับส่วน Reading ด้วยที่ใช้เวลาในการทำนานกว่าส่วนอื่นๆ ครับ
2.การเป็นตัวของตัวเอง ในรอบสัมภาษณ์ทางคณะกรรมการจะอยากรู้ถึงนิสัยและแนวคิดของเรา เพราะกรรมการจะได้รู้ว่าเราพร้อมที่จะเป็นตัวแทนของประเทศไทยแค่ไหน ดังนั้นเราต้องตอบให้ตรงคำถามและตอบอย่างซื่อสัตย์ เราต้องเป็นตัวของตัวเองให้ได้มากที่สุด
3.การรู้ถึงจุดเด่นและข้อดีของตัวเอง จาก 100 คนที่มาสัมภาษณ์พร้อมกับเรา จะทำยังไงให้เราโดดเด่นในสายตากรรมการ? เราต้องหาในสิ่งที่เราถนัดหรือสิ่งที่เราชอบ และเสนอให้กรรมการดู ถึงศักยภาพและจุดเด่นที่เรามี
และนี่ก็เป็นเรื่องราวของเด็กคนหนึ่งที่พูดภาษาอังกฤษไม่เป็นเลย สู่การได้รับทุนไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศครับ ทั้งนี้ ผมอยากจะบอกทุกคนว่า สำหรับคนที่อยากจะได้ทุนไปต่างประเทศ ถ้าเริ่มตอนนี้ก็ไม่สายไปนะครับในการฝึกภาษาอังกฤษ ไม่ว่าคุณจะอยู่ ม.ต้น หรือ ม.ปลายก็ตาม ทุนยุวทูต YES เป็นทุนที่มอบให้แก่คนที่อยากจะพัฒนาตัวเอง ดังนั้นถึงแม้คุณจะไม่เก่งภาษาอังกฤษ ขอแค่คุณมีใจรักในวัฒนธรรมและความพยายาม คุณก็สามารถได้ทุนไปต่างประเทศได้ครับ
สำหรับคนที่อยากได้รายละเอียดเพิ่มเติม ก็สามารถไปดูที่เว็บไซด์ YES ได้เลยครับที่
http://www.yesthailand.org/
อันนี้จะเป็น Facebook ของ YES Thailand นะครับ
https://www.facebook.com/yesthailand
หรือถ้าใครอยากติดต่อผม ก็สามารถทักมาได้ที่ตรงนี้นะครับ ผมพร้อมให้คำแนะนำตลอดนะครับ Facebook:
https://www.facebook.com/non.non.585112/
ถ้าใครอยากอ่านเพิ่มเติม ก็สามารถมาอ่าน Blog ของผมใน DekD ได้นะครับ
https://www.dek-d.com/board/view/4006668/
......เขียนมาซะยาวเลย
ผมต้องขอขอบพระคุณมากๆเลยนะครับที่อ่านมาถึงตรงนี้ และผมหวังว่าจะได้มาเจอกันอีกครั้งนะครับ ขอบคุณครับ!
จากพูดอังกฤษไม่ได้ สู่การได้รับทุนไปต่างประเทศ เปิดประสบการณ์การสอบชิงทุนไปต่างประเทศ ทุนยุวทูต YES รุ่น 28/35
.......เกริ่นมาซะยาวเลย ก่อนอื่น ผมขอแนะนำตัวก่อนนะครับ ผมชื่อนายพิตตินนท์ วัฒนพันธ์ มาจากห้องเรียนพิเศษทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ของโรงเรียนวัดราชโอรส และเป็นผู้ที่ได้รับทุนยุวทูต YES ประเทศสหรัฐอเมริกา ไปศึกษาต่อเป็นระยะเวลา 1 ปีการศึกษา โดยวันนี้ผมจะมาทำการเล่าประสบการณ์และวิธีการในการเตรียมตัวก่อนการสอบชิงทุนยุวทูต YES ครับ
ก่อนอื่นผมต้องขอพูดก่อนนะครับ ว่าเมื่อก่อนนั้น ผมไม่มีความสามารถทางด้านภาษาอังกฤษเลยครับ ตอนที่ผมอยู่ ป.6 นั้น ใบประกาศนียบัตรใบเดียวที่ผมได้ตอนนั้นก็คือใบประกาศนียบัตรที่ผมได้จากการไปแข่งร้องเพลงมาและได้ที่สาม 555 ตอนนั้นคือนอกจากว่าจะไม่เก่งภาษาอังกฤษแล้วก็ยังไม่คิดจะพัฒนาด้วยครับ แต่แล้วก็มีอยู่วันหนึ่งครับ ที่ผมได้ไปค้นพบกับสิ่งที่เรียกว่า "ทุนการศึกษาเรียนต่อต่างประเทศ" โดยจากที่ผมเคยคิดว่าการไปศึกษาต่อต่างประเทศนั้นมันเป็นเรื่องไกลตัว แต่พอได้มาเจอกับทุนไปเรียนต่อต่างประเทศอย่างมากมาย ผมก็รู้สึกครับว่าเรื่องเหล่านี้มันไม่ได้ไกลตัวเราเลย โอกาสเหล่านี้มันอยู่รอบตัวเราตลอดเวลาแต่เพียงแค่ว่าเรานั้นไม่เห็นมันเท่านั้นเอง โดยหลังจากที่ผมได้รู้ถึงทุนมากมายเหล่านี้ผมก็ตั้งเป้าหมายไว้เลยครับว่าไม่ว่ายังไงก็ตาม ซักวันหนึ่ง ผมต้องได้ทุนและไปต่างประเทศให้ได้! หลังจากที่มีเป้าหมายไว้ในใจแล้วผมก็เริ่มทำการวางแผนและเริ่มฝึกภาษาอังกฤษเพื่อใช้ในการสอบชิงทุนและในการสัมภาษณ์ครับ
การฝึกภาษาอังกฤษ
วิธีที่ผมใช้ในการฝึกภาษาอังกฤษนะครับ ก็คือการทำให้ภาษาอังกฤษเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของผมครับ เวลาตื่นเช้ามาผมก็ฝึกพูดภาษาอังกฤษ ทวนคำศัพท์ที่เรารู้ให้เข้าหัว ตอนเรียนก็พยายามแปลศัพท์เป็นภาษาอังกฤษ ฝึกเขียนไปเรื่อยๆ ฟังวีดิโอภาษาอังกฤษ ก็ลองก๊อปสำเนียงเขามา เวลาพูดกับเพื่อนก็ลองปนคำพูดภาษาอังกฤษบ้าง วันเสาร์ อาทิตย์ ก็ดูโดราเอมอนเป็นภาษาอังกฤษ ก่อนนอนผมก็อ่านนิยายภาษาอังกฤษ อ่านบทความภาษาอังกฤษ ฯลฯ ซึ่งถ้าให้พูดตามตรงเลยคือ 2-3 เดือนแรกนี่คือแทบไม่เห็นผลเลยครับ แต่ผมใช้วิธีนี้มาเรื่อยๆ จนขึ้น ม.1 เทอม 2 (ประมาณ 1 ปี) ถึงเริ่มสามารถพูดและฟังออกได้ครับ ต่อมา ผมก็เริ่มทำการออกล่าหาประสบการณ์จริง ด้วยการออกไปแข่งพูดสุนทรพจน์ภาษาอังกฤษในสถานที่ต่างๆครับ ในช่วงเวลานี้ผมก็ได้ฝึกภาษาอังกฤษด้วยการเขียนบทและฝึกพูดครับ ทำให้ผมมีความมั่นใจและสามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องขึ้น ที่ไปแข่งก็มีแพ้บ้างนะครับ แต่ก็ถือเป็นประสบการณ์ที่จะนำไปพัฒนาต่อไป โดยรางวัลที่ผมได้ก็มีประมาณนี้ครับ
อันนี้โรงเรียนพาไปแข่งครับ
เวทีสนามนี้ตื่นเต้นมาก
ใบประกาศนียบัตรใบแรกที่ผมได้ครับ
ทั้งหมดก็จะมีประมาณนี้ครับ
ติวโค้งสุดท้ายก่อนสอบชิงทุน YES
ในการสอบชิงทุน YES นั้นจะมีทั้งหมดสามรอบด้วยกันโดยรอบแรกนั้นจะเป็นข้อสอบภาษาอังกฤษจำนวน 150 ข้อที่จะทำการคัดเด็กที่มีคะแนนสูงสุด 100 คนแรกไปสอบต่อในรอบที่สองซึ่งก็คือรอบสอบสัมภาษณ์และสอบข้อสอบ Listening and Writing หลังจากนั้นจะเหลือ 10 คน แล้วก็จะเป็นรอบสัมภาษณ์รอบสุดท้ายเพื่อตัดสิน 3 คนที่จะได้ทุนยุวทูต YES โดยก่อนการสอบรอบแรก ผมก็ทำการเริ่มจำคำศัพท์ให้มากขึ้นครับ คำไหนยากๆที่ผมไม่เข้าใจผมก็เขียนเอาไว้แล้วก็เอามาแปลด้วย Google ส่วนในเวลาว่างผมก็อ่านนิยายภาษาอังกฤษวันละเล่มครับ (ขอแอบบอกหน่อยผมอ่าน Overlord ครับ 555) พอมาถึงวันสอบจริงๆ ผมก็ตื่นเต้นมากๆเลยครับ ข้อสอบนี้จะเน้นไปทางบทสนทนาอย่างเดียวเลยครับ พวกหลัก grammar จะมีค่อนข้างน้อย แต่จะไปยากตรงที่ว่าคำศัพท์นั้นเป็นคำศัพท์ระดับสูง ประกอบกับเวลาที่น้อย ทำให้ทำข้อสอบไม่ทันครับ เพราะว่ามีเวลาแค่ 1 ชม. ต่อ 150 ข้อ ซึ่งตีเป็นประมาณข้อละ 35 วินาที โดย 50 ข้อแรกก็จะเป็นการเติมประโยคให้ถูกต้องตามสถานการณ์ 50 ข้อต่อมาก็จะเป็นการเติมคำศัพท์ให้ถูกต้อง พวก synonym กับ acronym และ 50 ข้อสุดท้ายก็จะเป็น Reading โดยจากประสบการณ์ของผม ในแต่ละข้อนั้นจะมี 2 ตัวเลือกที่ผิดแน่นอนครับ ให้ตัดสองตัวเลือกนั้นไปก่อน แล้วจะมีสองตัวเลือกที่กำกวม ก็ค่อยเลือกจากสองตัวนี้ครับ และส่วน Reading จะเป็นบทความที่ยาวมากกกก ให้ไปดูคำถามก่อนแล้วค่อยกลับมาอ่านครับ และถ้ามีข้อไหนที่ทำไม่ได้ ก็ให้กามั่วและไปข้อต่อไปเลย จะประหยัดเวลามากกว่าครับ
หลังจากที่ผมสอบเสร็จแล้ว ผ่านมาไม่กี่วันก็ประกาศผล ซึ่งผมก็ตกใจมากเลยครับที่ตัวเองติดอยู่ใน 100 คนแรกครับ ตอนแรกก็คิดว่าจะไม่ได้เสียแล้ว เพราะทำไม่ทันไปสิบกว่าข้อ แต่ก็สามารถผ่านมาได้ ได้ที่ 60 กว่าๆครับ ผมก็ไม่รอช้าครับ และรีบเตรียมตัวในการสอบรอบต่อไปทันทีครับ
ในรอบที่สองนี้ก็จะมีการสอบสัมภาษณ์และการสอบข้อสอบ Listening and Reading ซึ่งผมได้ทำการฝึกการสอบสัมภาษณ์ก่อน ในการสัมภาษณ์นั้นจะมีกรรมการอยู่สองคนครับ ชาวไทยหนึ่งคน กับชาวต่างชาติหนึ่งคน ผมได้ทำการฝึกด้วยการลองจำลองคำถามที่กรรมการน่าจะถามเราครับ แล้วเราก็ลองฝึกพูดหน้ากระจกดูครับ โดยสิ่งที่สำคัญที่สุดในการสัมภาษณ์ คือการแสดงให้เขาดูครับ ว่า คุณมีความตั้งใจแค่ไหนที่อยากจะไปต่างประเทศ คุณไปประเทศนั้นแล้วคุณจะเผยแพร่วัฒนธรรมไทยยังไง ทำไมคุณถึงอยากไปต่างประเทศ ซึ่งในจุดนี้ คุณต้องมีแนวคิดและไอเดียที่โดดเด่นและมีความน่าสนใจเพื่อที่ว่าคุณนั้นจะได้โดดเด่นในกลุ่มคนทั้งหมด 100 คน โดยผมก็มีไอเดียครับว่า "ชาวต่างชาติรู้จักการไหว้ไทย รู้จักดนตรีไทย รู้จักอาหารไทย แต่สิ่งที่เขาไม่เคยรู้มาก่อนก็คือความอร่อยของขนมไทยนั่นเอง!" ด้วยความที่ว่ายายผมนั้นทำขนมไทยอร่อยมากๆ และผมนั้นก็เป็นคนที่ได้กินมันมาตลอด ผมก็เลยอยากจะให้คนที่อยู่ต่างประเทศได้ชิมขนมไทยบ้างครับ ผมก็เลยทำการเข้าห้องสัมภาษณ์พร้อมนำกล้วยบวชชีมาให้กรรมการได้รับประทานครับ ทำให้ทั้งผมและกรรมการทั้งสองคน หลุดขำออกมาเลยครับ ผมก็ได้ให้เหตุผลว่า กล้วยบวชชีทำง่าย วัตถุดิบก็หาง่าย และแสดงถึงความเป็นไทยด้วย ถ้าคุณให้โอกาสผม ผมจะทำการเผยแพร่วัฒนธรรมไทย ด้วยกล้วยบวชชีครับ สิ่งที่สำคัญอีกอย่างก่อนการสอบสัมภาษณ์ก็คือการตรวจสภาพร่างกายตัวเอง ถ้าคุณแต่งตัวดี เสื้อผ้ามีความเรียบร้อย ผมตัดอย่างมีระเบียบ และถ้าคุณมีมารยาทดี ไหว้สวย โอกาสที่คุณจะสร้างความประทับใจแรกก็จะมีมากขึ้นครับ ตอนเดินเข้าห้อง ให้เดินด้วยความมั่นใจ เวลาสัมภาษณ์อย่าไปกลัว เราต้องเป็นคนนำบทสนทนาในการสัมภาษณ์ เขาถามเรามาเราต้องตอบด้วยความมั่นใจ อย่าไปกลัวครับ เพราะถ้าพลาดรอบนี้ ก็ไม่มีรอบต่อไปแล้ว และถ้าคุณเคยทำผลงานอะไรมา ก็สามารถทำ Portfolio มาแสดงให้เขาดูได้นะครับ ของผมเคยเป็นไกด์ให้ชาวต่างชาติมาก่อน ก็มาใส่ในแฟ้มเสนอให้เขาดูครับ ในวันสัมภาษณ์ให้มาเช้าๆ และให้เข้าห้องสัมภาษณ์เป็นคนแรกๆ ยิ่งเราอยู่คนแรกมากเท่าไหร่ ทางคณะกรรมการก็จะสามารถจำเราได้มากขึ้นเท่านั้นครับ และก็อย่าลืมนะครับ การที่จะเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนได้ เก่งแค่ทางวิชาการนั้นไม่พอ ต้องมีแนวคิดและนิสัยที่ดีด้วยครับ
และแล้วผมก็ได้รับข่าวว่าผมนั้นติดรอบสัมภาษณ์ รอบ 10 คนสุดท้ายตอนกำลังเดินขึ้นบันได ผมรู้สึกตกใจมากๆ รู้สึกว่าโลกหมุนไปหมด ไม่ใช่อะไรหรอกครับ ผมตกบันไดนี่เอง 555 (ล้อเล่นครับเกือบตกแต่ไม่ตกครับ)
พอผมได้เห็นชื่อตัวเองในรายชื่อ 10 คนที่ได้อยู่ในรอบสัมภาษณ์สุดท้าย ผมก็รู้สึกภูมิใจในตัวเองมากๆเลยครับ สิ่งที่ทำมาทั้งหมด เวลาที่เสียไป มันไม่สูญเปล่าจริงๆ พ่อแม่ยายก็รู้สึกดีใจเช่นกันครับที่ว่าผมได้มาไกลขนาดนี้ และในตอนนี้ อีกเพียงแค่รอบเดียวเท่านั้นก็จะได้รู้ผลแล้วว่าใครกันจะได้เป็นผู้ได้รับทุนยุวทูต YES รุ่น 28/35
ในวันก่อนการสัมภาษณ์รอบสุดท้ายนั้น ผมก็ได้ทำการเตรียมกาย เตรียมใจและหลังจากที่ผมได้คุยกับพ่อและแม่ ผมก็ได้ทำการเดินเข้าตึก YES ไปพร้อมกับแกงบวดฟักทองและ Portfolio ที่เตรียมมาครับ
พอผมได้เข้าห้องสัมภาษณ์ กรรมการก็ทำการถามคำถามต่างๆนาๆ อย่างเช่น "ทำไมคุณถึงเลือกทุน YES" "คุณไปต่างประเทศคุณจะเผยแพร่วัฒนธรรม ยังไง" และอื่นๆอีกมากมาย ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคำถามที่จะทดสอบถึงไหวพริบและแนวคิดของผู้ถูกสัมภาษณ์ ต้องตอบคำถามอย่างซื่อสัตย์ ทุกคนใน รอบนี้มีการเตรียมตัวมาอย่างดีนำความสามารถที่ตัวเองมีมาแสดงให้กรรมการดู เพื่อแสดงว่าตัวเองเหมาะสมกับทุนยุวทูต YES ในรอบนี้นั้นไม่มีคะแนนตัดสิน จะมีแต่เพียงคณะกรรมการเท่านั้น ที่จะพิจารณาว่าเรามีความพร้อมและมีความเหมาะสมกับการได้รับทุนไหม
และแล้วผลของการสอบสัมภาษณ์รอบสุดท้ายก็ประกาศออกมาครับ ความรู้สึกแรกของผมเลยหลังจากที่เห็นหน้าตัวเองในทุนยุวทูต YES ก็คือความตกใจ ตามมาด้วยความดีใจครับ ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยมาผมจะมาได้ไกลขนาดนี้ และด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น ผมก็นำข่าวนี้ไปบอกให้ครอบครัวผมฟังครับ
เทคนิคที่ผมใช้ในการสอบชิงทุนนะครับ ถ้าสรุปมาสั้นๆ ก็จะมีประมาณ 3 อย่างครับนั่นก็คือ
1.การทำข้อสอบอย่างมีประสิทธิภาพ ในการทำข้อสอบนั้น ข้อไหนที่ไม่ได้ ให้ข้ามไปเลย ทำข้อที่ทำได้ แล้วได้คะแนน ดีกว่านั่งงงกับข้อที่ทำไม่ได้ แล้วเสียเวลาเปล่า โดยเฉพาะกับส่วน Reading ด้วยที่ใช้เวลาในการทำนานกว่าส่วนอื่นๆ ครับ
2.การเป็นตัวของตัวเอง ในรอบสัมภาษณ์ทางคณะกรรมการจะอยากรู้ถึงนิสัยและแนวคิดของเรา เพราะกรรมการจะได้รู้ว่าเราพร้อมที่จะเป็นตัวแทนของประเทศไทยแค่ไหน ดังนั้นเราต้องตอบให้ตรงคำถามและตอบอย่างซื่อสัตย์ เราต้องเป็นตัวของตัวเองให้ได้มากที่สุด
3.การรู้ถึงจุดเด่นและข้อดีของตัวเอง จาก 100 คนที่มาสัมภาษณ์พร้อมกับเรา จะทำยังไงให้เราโดดเด่นในสายตากรรมการ? เราต้องหาในสิ่งที่เราถนัดหรือสิ่งที่เราชอบ และเสนอให้กรรมการดู ถึงศักยภาพและจุดเด่นที่เรามี
และนี่ก็เป็นเรื่องราวของเด็กคนหนึ่งที่พูดภาษาอังกฤษไม่เป็นเลย สู่การได้รับทุนไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศครับ ทั้งนี้ ผมอยากจะบอกทุกคนว่า สำหรับคนที่อยากจะได้ทุนไปต่างประเทศ ถ้าเริ่มตอนนี้ก็ไม่สายไปนะครับในการฝึกภาษาอังกฤษ ไม่ว่าคุณจะอยู่ ม.ต้น หรือ ม.ปลายก็ตาม ทุนยุวทูต YES เป็นทุนที่มอบให้แก่คนที่อยากจะพัฒนาตัวเอง ดังนั้นถึงแม้คุณจะไม่เก่งภาษาอังกฤษ ขอแค่คุณมีใจรักในวัฒนธรรมและความพยายาม คุณก็สามารถได้ทุนไปต่างประเทศได้ครับ
สำหรับคนที่อยากได้รายละเอียดเพิ่มเติม ก็สามารถไปดูที่เว็บไซด์ YES ได้เลยครับที่ http://www.yesthailand.org/
อันนี้จะเป็น Facebook ของ YES Thailand นะครับ https://www.facebook.com/yesthailand
หรือถ้าใครอยากติดต่อผม ก็สามารถทักมาได้ที่ตรงนี้นะครับ ผมพร้อมให้คำแนะนำตลอดนะครับ Facebook:https://www.facebook.com/non.non.585112/
ถ้าใครอยากอ่านเพิ่มเติม ก็สามารถมาอ่าน Blog ของผมใน DekD ได้นะครับ https://www.dek-d.com/board/view/4006668/
......เขียนมาซะยาวเลย ผมต้องขอขอบพระคุณมากๆเลยนะครับที่อ่านมาถึงตรงนี้ และผมหวังว่าจะได้มาเจอกันอีกครั้งนะครับ ขอบคุณครับ!