ปธ.แพทย์ชนบท ชี้ ไทยฉีดวัคซีนอัตราส่วนน้อยท้ายแถวโลก สะท้อนรบ.-ระบบราชการล้มเหลว
https://www.matichon.co.th/politics/news_2686371
ประธานชมรมแพทย์ชนบท ชี้ ไทยฉีดวัคซีนอัตราส่วนน้อยระดับท้ายแถวโลก สะท้อนรัฐบาลและระบบราชการที่ล้มเหลว
เมื่อวันที่ 23 เมษายน นายแพทย์
สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ประธานชมรมแพทย์ชนบท เผยแพร่บทความเรื่อง วัคซีนโควิด บทสะท้อนความล้มเหลวของรัฐบาลและระบบราชการไทย วิจารณ์การบริหารจัดการสถานการณ์โควิดของรัฐบาล โดยระบุว่า
ประเทศไทยเป็นหนึ่งประเทศที่ฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในสัดส่วนที่น้อยลำดับท้ายแถวของโลก แถมยังมีการพยายามแก้ตัวว่า เพราะเรามีการระบาดน้อย การที่เราใส่แมสก์ล้างมือเว้นระยะห่างนั้นดีกว่าวัคซีนอีก ทั้งหมดนี้เพื่อกลบเกลื่อนข้อเท็จจริงที่ว่า “เรามีการจัดการเรื่องวัคซีนที่ผิดพลาด จนแทบจะไม่มีวัคซีนจะฉีดให้ประชาชน”
ระเบียบพัสดุว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างที่มีระเบียบหยุมหยิมและแข็งตัว สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)ที่เน้นตรวจตามระเบียบจนส่วนราชการไม่กล้าขยับ สำนักงบประมาณที่เน้นการใช้จ่ายงบตามแผนมากกว่าสถานการณ์และความเป็นจริง กลไกราชการในกระทรวงที่มีขั้นตอนยืดเยื้อไม่ทันการณ์ ผู้บริหารก็ติดอยู่ในกรอบการทำหน้าที่ตามระบบระเบียบกฏเกณฑ์จนไม่อาจเผชิญหน้าเท่าทันสถานการณ์วิกฤตได้ การจัดซื้อจัดหาวัคซีนโควิดจึงสะท้อนความล้มเหลวของระบบการบริหารรัฐไทยได้อย่างชัดแจ้ง
นานาประเทศทั่วโลกที่ไม่ใช่ประเทศผู้ผลิตวัคซีนเอง ยังสามารถจัดหาวัคซีนให้ประชากรของเขาได้ไปมากแล้ว แต่ประเทศไทยนั้นที่เคยคุยโม้ว่า เรามีโรงงานผลิตวัคซีนเองคือ สยามไบโอไซน์ ทำให้ไทยพึ่งตนเองได้ แต่กลับปรากฏว่า เราพึ่งพาได้เพียง sinovac จำนวนน้อยในปัจจุบัน และ AstraZeneca จาก สยามไบโอไซน์ ที่ไม่รู้ว่าเดือนมิถุนายนจะสามารถผลิตวัคซีนล็อตแรกออกมาได้จริงไหม ปริมาณเท่าใด และประสิทธิภาพจะโอเคไหม รวมทั้งข่าวการเจรจากับ Pfizer หรือ เจรจาจัดซื้อวัคซีนสปุคนิกจากรัสเซีย ล้วนยังเลื่อนลอย
การที่โรงพยาบาลเอกชนเข้ากดดันรัฐบาลของนำเข้าวัคซีนเอง อีกทั้งยังมีกลุ่ม่นักธุรกิจระดับนำ 40 บริษัทได้ออกมาแสดงท่าทีขอนำเข้าวัคซีนเองอย่างน้อยก็เพื่อฉีดพนักงานของตนเองที่มีกว่าล้านคน เสียงของนักธุรกิจภาคการท่องเที่ยวและร้านอาหารที่ขอร้องรัฐบาลให้จัดสรรวัคซีนให้ด่วน เพื่อจะได้สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวได้ทันฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง ไม่รวมถึงเสียงชาวบ้านที่บ่นเรียกหาวัคซีนเพื่อหยุดการระบาดที่ทำลายเศรษฐกิจจนย่อยยับ นี่คือสัญญาณที่ชัดว่า คนกลุ่มใหญ่เริ่มทนไม่ไหวกับการจัดการภาครัฐที่ไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลประยุทธ์
นอกจากเรื่องมีวัคซีนน้อย ไม่พอให้ฉีดแล้ว ถ้ามีวัคซีนมาแต่มาช้าก็จะเหนื่อยมาก สมมุติว่าเราจะฉีดวัคซีนให้ประชาชนคนไทย 50 ล้านคน ย่อมต้องการวัคซีน 100 ล้านโดส เรามีเวลาฉีดเดือนพฤษภาคมถึงธันวาคมคือ 8 เดือนหรือ 240 วัน แปลว่า เราต้องมีการฉีดวัคซีนแก่ประชาชนวันละ 416,666 คน ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะฉีดวัคซีนวันละ 4 แสนคน หากวัคซีนมาช้าไปอีก เวลาที่เหลือก็ยิ่งลดลง การที่จะจบการระบาดของโควิดด้วยวัคซีนในสิ้นปี 2564 ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย
การบริหารจัดการวัคซีนที่ล้มเหลว รวมทั้งการจัดการหาเตียงให้ผู้ป่วยที่วุ่นวายสับสนและล่าช้ายิ่ง สะท้อนประสิทธิภาพในการเผชิญภัยคุกคามอุบัติใหม่ของรัฐไทย การบริหารจัดการภาครัฐของรัฐบาลและระบบราชการนั้นล้มเหลวอย่างหนัก ปัญหาของประเทศไทยจึงชัดเจนตั้งแต่โครงสร้างอำนาจที่มีกลไกบริหารส่วนบนที่ไร้ประสิทธิภาพ อีกทั้งยังรวมศูนย์ผูกขาดอำนาจไว้กับระบบราชการที่อืดอาดล่าช้าและมีระเบียบซ้อนทับพันจนเป็นปมที่แก้ไม่ออก การแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงมีความสำคัญยิ่ง และต้องรื้อใหญ่ระบบราชการไทยครั้งยิ่งใหญ่ด้วย เพื่อยุติการรวมศูนย์อำนาจ กระจายอำนาจให้สุดติ่ง สร้างระบบที่เอื้อต่อการร่วมพัฒนาประเทศโดยเอกชน ประชาชน และองค์กรสาธารณประโยชน์ ไม่ให้ผูกขาดที่ระบบราชการเช่นเดิม ประเทศไทยจึงจะเดินต่อไปได้
เราทุกคนเข้าใจดีว่า กระทรวงสาธารณสุขทำงานหนักมาก ทั้งผู้บริหารตั้งแต่ รัฐมนตรี ปลัดกระทรวง จนถึงระดับปฏิบัติการ ต่างเร่งกอบกู้สถานการณ์อย่างเต็มที่ แต่ข้อจำกัดของระเบียบราชการนั้นเป็นอุปสรรคจริงๆ
โควิดและวัคซีน จึงไม่ควรจบเพียงการจัดหาวัคซีนหรือการฉีดวัคซีนถ้วนทั่วเท่านั้น แต่ควรเป็นจุดเริ่มต้นของรื้อใหญ่รัฐธรรมนูญไทยและระบบราชการไทย ที่ทุกองค์กรต้องช่วยกันผลักและดันให้เป็นจริง
https://www.facebook.com/supathasuwannakit/posts/969051343633660
ชาวเน็ตจับตา การตอบสนองจากรัฐบาล-กองทัพไทย หลังเกิดเหตุการณ์ทหารเมียนมายิงขู่ รุกล้ำอธิปไตยสาละวิน ถึง 3 ครั้งในรอบสัปดาห์
https://www.khaosod.co.th/politics/news_6358215
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ทหารเมียนมา ยิงขู่เรือตำรวจตระเวนชายแดน และชาวบ้าน ที่เดินเรือสัญจรไปมาบริเวณแม่น้ำสาละวิน เกิดขึ้นถึง 3 ครั้ง แม้ว่าเรือของ ตำรวจตระเวนชายแดนของไทยจะมีการติดตั้งสัญลักษณ์ธง และเดินเรือชิดกับริมฝั่งประเทศไทยแล้ว แต่ทหารเมียนมากลับยิงขู่ และสร้างกฎเกณฑ์ใหม่ขึ้นมาด้วยการให้ตำรวจตระเวนชายแดนของไทยเข้าไปรายงานตัว โดยเป็นกฎเกณฑ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน
เมื่อวันที่ 18 เม.ย.64 แหล่งข่าวกองกำลังชาติพันธุ์กะเหรี่ยง (เคเอ็นยู) รายงานว่า วันที่ 17 เมษายน ที่ผ่านมา ทหารเมียนมาในสังกัดกองพันเคลื่อนที่เร็วที่ 340 (พัน.คร.340 ) ฐานด๊ากวิน ตรงข้ามบ้านท่าตาฝั่ง ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ได้ทำการยิงเตือนเรือของราษฎรไทย บ้านแม่สามแลบ จำนวน 3 ลำ ขณะแล่นผ่านฐานของทหารเมียนมา
ขณะที่ กองกำลังเคเอ็นยู ได้ประกาศเตือนชาวบ้านที่อาศัยติดแม่น้ำสาละวิน ให้ระมัดระวังในการเดินเรือ และห้ามเดินเรือผ่านจุดที่ตั้งฐานทหารเมียนมาที่ตั้งอยู่ตามแม่น้ำสาละวิน เพราะอาจจะเกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ ต่อมาในวันที่ 20 เมษยน และ 22 เมษายน ก็มีการยิงเตือนใส่เรือของตำรวจตระเวนชายแดนและชาวบ้านอีก ซึ่งถือเป็น 3 ครั้วแล้ว ในรอบสัปดาห์
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ทางการของทหารเมียนมา ได้แจ้งล่วงหน้าไว้ว่า หากเป็นเรือของเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยที่มีการติดธงชาติไทยทั้งสองแห่ง จะไม่ทำการยิงเตือนและจะอนุญาตให้ผ่านฐานตรวจได้ทันที แต่ทหารเมียนมากลับละเมิดข้อตกลง ด้วยการยิงเตือน และสั่งเจ้าหน้าที่ต้องเดินเรือแวะเทียบท่าฝั่งเมียนมาและแจ้งว่า หากคิดหลบหนีจะถูกยิงด้วยอาวุธปืนทันที
จากกรณีที่เกิดขึ้นทำให้ประชาชนชาวไทย จับตา ท่าทีของ รัฐบาลและกองทัพไทย ว่าจะมีการตอบสนองอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยชาวเน็ตแสดงความเห็นว่า ท่าทีของทหารเมียนมา คล้ายต้องการให้ เจ้าหน้าที่ไทย ‘
ยอมจำนน’ ต่อทหารเมียนมาในพื้นที่ชายแดนแม่น้ำสาละวิน และชาวเน็ตจำนวนมากได้ตั้งคำถามต่อหน่วยงานไทยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการพื้นที่บริเวณดังกล่าว โดยเฉพาะ กองทัพไทย
ขอบคุณที่มา
Paskorn Jumlongrach
“เทพไท” ชี้ยอดติดเชื้อโควิด ทะลุ 2พันอันตราย ทำผู้ติดเชื้อโวย “ไม่มีเส้นไม่มีเตียง” แนะรบ.เร่งแก้
https://www.matichon.co.th/politics/news_2686456
“เทพไท” ชี้ยอดติดเชื้อโควิด ทะลุ 2พันอันตราย ทำผู้ติดเชื้อโวย “ไม่มีเส้นไม่มีเตียง” แนะรบ.เร่งแก้
เมื่อวันที่ 23 เม.ย.นาย
เทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟสบุ๊กข้อความว่า จากตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ จำนวน 2,070 คน นับว่าเป็นการทำลายสถิติผู้ติดเชื้อที่ผ่านมา ได้มียอดทะลุ 2,000 คนไปแล้ว ซึ่งถือว่าอยู่ในขั้นอันตรายมาก เพราะจะมีการแพร่เชื้อแบบทวีคูณ จนไม่สามารถจะรับมือได้ ด้วยข้อจำกัดของบุคลากรทางการแพทย์ ที่มีหมอและพยาบาลจำนวนจำกัด สถานที่รองรับผู้ป่วย ก็มีไม่เพียงพอกับผู้ติดเชื้อ ที่เพิ่มขึ้นรายวัน จนทำให้ผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เป็นกลุ่มระดับรากหญ้า ขาดโอกาสเข้าถึงการรักษาพยาบาล จะเห็นได้จากข่าวที่มีผู้ติดเชื้อ รอการช่วยเหลือรับเข้าสู่การรักษาพยาบาลหลายวัน จนกว่าจะมีหน่วยพยาบาลไปรับมารักษาที่โรงพยาบาลได้ ทำให้เชื้อไวรัสโควิด-19 แพร่กระจายให้กับบุคคลภายในบ้าน จนติดเชื้อหมดทุกคน และผู้ติดเชื้อบางรายก็ไม่สามารถติดต่อโทรศัพท์สายด่วนของกระทรวงสาธารณสุขได้ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม ก็ได้ทดลอง และประสบด้วยตัวเองมาแล้ว
นาย
เทพไท กล่าวต่อว่า จนถึงวันนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือการมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นและเตียงผู้ป่วยมีจำกัด แม้ว่าจะเปิดโรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับแล้วก็ตาม แต่การหาเตียงผู้ป่วย ยากยิ่งกว่าการหาทองคำเสียอีก จนมีการ กล่าวขานกันว่า“
ไม่มีเส้นไม่มีเตียง” ไม่มีคอนเน็คชั่นก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาล และผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง ได้เร่งแก้ปัญหาให้กับประชาชนระดับล่าง ที่ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้อย่างทันท่วงที เหมือนกับกลุ่มอภิสิทธิ์ชน นอกจากจะไม่เป็นผลดีต่อความรู้สึกของประชาชนแล้ว ยังส่งผลเสียต่อการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยรวมของประเทศอีกด้วย
https://www.facebook.com/theptai.theptai/posts/467439764335957
JJNY : ปธ.แพทย์ชนบทชี้ระบบราชการล้มเหลว│จับตารบ.-กองทัพหลังทหารเมียนมายิงขู่│เทพไทชี้ผู้ติดเชื้อโวย│ท่องเที่ยวหั่นเป้า
https://www.matichon.co.th/politics/news_2686371
ประธานชมรมแพทย์ชนบท ชี้ ไทยฉีดวัคซีนอัตราส่วนน้อยระดับท้ายแถวโลก สะท้อนรัฐบาลและระบบราชการที่ล้มเหลว
เมื่อวันที่ 23 เมษายน นายแพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ประธานชมรมแพทย์ชนบท เผยแพร่บทความเรื่อง วัคซีนโควิด บทสะท้อนความล้มเหลวของรัฐบาลและระบบราชการไทย วิจารณ์การบริหารจัดการสถานการณ์โควิดของรัฐบาล โดยระบุว่า
ประเทศไทยเป็นหนึ่งประเทศที่ฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในสัดส่วนที่น้อยลำดับท้ายแถวของโลก แถมยังมีการพยายามแก้ตัวว่า เพราะเรามีการระบาดน้อย การที่เราใส่แมสก์ล้างมือเว้นระยะห่างนั้นดีกว่าวัคซีนอีก ทั้งหมดนี้เพื่อกลบเกลื่อนข้อเท็จจริงที่ว่า “เรามีการจัดการเรื่องวัคซีนที่ผิดพลาด จนแทบจะไม่มีวัคซีนจะฉีดให้ประชาชน”
ระเบียบพัสดุว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างที่มีระเบียบหยุมหยิมและแข็งตัว สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.)ที่เน้นตรวจตามระเบียบจนส่วนราชการไม่กล้าขยับ สำนักงบประมาณที่เน้นการใช้จ่ายงบตามแผนมากกว่าสถานการณ์และความเป็นจริง กลไกราชการในกระทรวงที่มีขั้นตอนยืดเยื้อไม่ทันการณ์ ผู้บริหารก็ติดอยู่ในกรอบการทำหน้าที่ตามระบบระเบียบกฏเกณฑ์จนไม่อาจเผชิญหน้าเท่าทันสถานการณ์วิกฤตได้ การจัดซื้อจัดหาวัคซีนโควิดจึงสะท้อนความล้มเหลวของระบบการบริหารรัฐไทยได้อย่างชัดแจ้ง
นานาประเทศทั่วโลกที่ไม่ใช่ประเทศผู้ผลิตวัคซีนเอง ยังสามารถจัดหาวัคซีนให้ประชากรของเขาได้ไปมากแล้ว แต่ประเทศไทยนั้นที่เคยคุยโม้ว่า เรามีโรงงานผลิตวัคซีนเองคือ สยามไบโอไซน์ ทำให้ไทยพึ่งตนเองได้ แต่กลับปรากฏว่า เราพึ่งพาได้เพียง sinovac จำนวนน้อยในปัจจุบัน และ AstraZeneca จาก สยามไบโอไซน์ ที่ไม่รู้ว่าเดือนมิถุนายนจะสามารถผลิตวัคซีนล็อตแรกออกมาได้จริงไหม ปริมาณเท่าใด และประสิทธิภาพจะโอเคไหม รวมทั้งข่าวการเจรจากับ Pfizer หรือ เจรจาจัดซื้อวัคซีนสปุคนิกจากรัสเซีย ล้วนยังเลื่อนลอย
การที่โรงพยาบาลเอกชนเข้ากดดันรัฐบาลของนำเข้าวัคซีนเอง อีกทั้งยังมีกลุ่ม่นักธุรกิจระดับนำ 40 บริษัทได้ออกมาแสดงท่าทีขอนำเข้าวัคซีนเองอย่างน้อยก็เพื่อฉีดพนักงานของตนเองที่มีกว่าล้านคน เสียงของนักธุรกิจภาคการท่องเที่ยวและร้านอาหารที่ขอร้องรัฐบาลให้จัดสรรวัคซีนให้ด่วน เพื่อจะได้สามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวได้ทันฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึง ไม่รวมถึงเสียงชาวบ้านที่บ่นเรียกหาวัคซีนเพื่อหยุดการระบาดที่ทำลายเศรษฐกิจจนย่อยยับ นี่คือสัญญาณที่ชัดว่า คนกลุ่มใหญ่เริ่มทนไม่ไหวกับการจัดการภาครัฐที่ไร้ประสิทธิภาพของรัฐบาลประยุทธ์
นอกจากเรื่องมีวัคซีนน้อย ไม่พอให้ฉีดแล้ว ถ้ามีวัคซีนมาแต่มาช้าก็จะเหนื่อยมาก สมมุติว่าเราจะฉีดวัคซีนให้ประชาชนคนไทย 50 ล้านคน ย่อมต้องการวัคซีน 100 ล้านโดส เรามีเวลาฉีดเดือนพฤษภาคมถึงธันวาคมคือ 8 เดือนหรือ 240 วัน แปลว่า เราต้องมีการฉีดวัคซีนแก่ประชาชนวันละ 416,666 คน ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะฉีดวัคซีนวันละ 4 แสนคน หากวัคซีนมาช้าไปอีก เวลาที่เหลือก็ยิ่งลดลง การที่จะจบการระบาดของโควิดด้วยวัคซีนในสิ้นปี 2564 ยิ่งเป็นไปไม่ได้เลย
การบริหารจัดการวัคซีนที่ล้มเหลว รวมทั้งการจัดการหาเตียงให้ผู้ป่วยที่วุ่นวายสับสนและล่าช้ายิ่ง สะท้อนประสิทธิภาพในการเผชิญภัยคุกคามอุบัติใหม่ของรัฐไทย การบริหารจัดการภาครัฐของรัฐบาลและระบบราชการนั้นล้มเหลวอย่างหนัก ปัญหาของประเทศไทยจึงชัดเจนตั้งแต่โครงสร้างอำนาจที่มีกลไกบริหารส่วนบนที่ไร้ประสิทธิภาพ อีกทั้งยังรวมศูนย์ผูกขาดอำนาจไว้กับระบบราชการที่อืดอาดล่าช้าและมีระเบียบซ้อนทับพันจนเป็นปมที่แก้ไม่ออก การแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงมีความสำคัญยิ่ง และต้องรื้อใหญ่ระบบราชการไทยครั้งยิ่งใหญ่ด้วย เพื่อยุติการรวมศูนย์อำนาจ กระจายอำนาจให้สุดติ่ง สร้างระบบที่เอื้อต่อการร่วมพัฒนาประเทศโดยเอกชน ประชาชน และองค์กรสาธารณประโยชน์ ไม่ให้ผูกขาดที่ระบบราชการเช่นเดิม ประเทศไทยจึงจะเดินต่อไปได้
เราทุกคนเข้าใจดีว่า กระทรวงสาธารณสุขทำงานหนักมาก ทั้งผู้บริหารตั้งแต่ รัฐมนตรี ปลัดกระทรวง จนถึงระดับปฏิบัติการ ต่างเร่งกอบกู้สถานการณ์อย่างเต็มที่ แต่ข้อจำกัดของระเบียบราชการนั้นเป็นอุปสรรคจริงๆ
โควิดและวัคซีน จึงไม่ควรจบเพียงการจัดหาวัคซีนหรือการฉีดวัคซีนถ้วนทั่วเท่านั้น แต่ควรเป็นจุดเริ่มต้นของรื้อใหญ่รัฐธรรมนูญไทยและระบบราชการไทย ที่ทุกองค์กรต้องช่วยกันผลักและดันให้เป็นจริง
https://www.facebook.com/supathasuwannakit/posts/969051343633660
ชาวเน็ตจับตา การตอบสนองจากรัฐบาล-กองทัพไทย หลังเกิดเหตุการณ์ทหารเมียนมายิงขู่ รุกล้ำอธิปไตยสาละวิน ถึง 3 ครั้งในรอบสัปดาห์
https://www.khaosod.co.th/politics/news_6358215
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเหตุการณ์ทหารเมียนมา ยิงขู่เรือตำรวจตระเวนชายแดน และชาวบ้าน ที่เดินเรือสัญจรไปมาบริเวณแม่น้ำสาละวิน เกิดขึ้นถึง 3 ครั้ง แม้ว่าเรือของ ตำรวจตระเวนชายแดนของไทยจะมีการติดตั้งสัญลักษณ์ธง และเดินเรือชิดกับริมฝั่งประเทศไทยแล้ว แต่ทหารเมียนมากลับยิงขู่ และสร้างกฎเกณฑ์ใหม่ขึ้นมาด้วยการให้ตำรวจตระเวนชายแดนของไทยเข้าไปรายงานตัว โดยเป็นกฎเกณฑ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน
เมื่อวันที่ 18 เม.ย.64 แหล่งข่าวกองกำลังชาติพันธุ์กะเหรี่ยง (เคเอ็นยู) รายงานว่า วันที่ 17 เมษายน ที่ผ่านมา ทหารเมียนมาในสังกัดกองพันเคลื่อนที่เร็วที่ 340 (พัน.คร.340 ) ฐานด๊ากวิน ตรงข้ามบ้านท่าตาฝั่ง ต.แม่คง อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน ได้ทำการยิงเตือนเรือของราษฎรไทย บ้านแม่สามแลบ จำนวน 3 ลำ ขณะแล่นผ่านฐานของทหารเมียนมา
ขณะที่ กองกำลังเคเอ็นยู ได้ประกาศเตือนชาวบ้านที่อาศัยติดแม่น้ำสาละวิน ให้ระมัดระวังในการเดินเรือ และห้ามเดินเรือผ่านจุดที่ตั้งฐานทหารเมียนมาที่ตั้งอยู่ตามแม่น้ำสาละวิน เพราะอาจจะเกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินได้ ต่อมาในวันที่ 20 เมษยน และ 22 เมษายน ก็มีการยิงเตือนใส่เรือของตำรวจตระเวนชายแดนและชาวบ้านอีก ซึ่งถือเป็น 3 ครั้วแล้ว ในรอบสัปดาห์
ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ทางการของทหารเมียนมา ได้แจ้งล่วงหน้าไว้ว่า หากเป็นเรือของเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยที่มีการติดธงชาติไทยทั้งสองแห่ง จะไม่ทำการยิงเตือนและจะอนุญาตให้ผ่านฐานตรวจได้ทันที แต่ทหารเมียนมากลับละเมิดข้อตกลง ด้วยการยิงเตือน และสั่งเจ้าหน้าที่ต้องเดินเรือแวะเทียบท่าฝั่งเมียนมาและแจ้งว่า หากคิดหลบหนีจะถูกยิงด้วยอาวุธปืนทันที
จากกรณีที่เกิดขึ้นทำให้ประชาชนชาวไทย จับตา ท่าทีของ รัฐบาลและกองทัพไทย ว่าจะมีการตอบสนองอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยชาวเน็ตแสดงความเห็นว่า ท่าทีของทหารเมียนมา คล้ายต้องการให้ เจ้าหน้าที่ไทย ‘ยอมจำนน’ ต่อทหารเมียนมาในพื้นที่ชายแดนแม่น้ำสาละวิน และชาวเน็ตจำนวนมากได้ตั้งคำถามต่อหน่วยงานไทยที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการพื้นที่บริเวณดังกล่าว โดยเฉพาะ กองทัพไทย
ขอบคุณที่มา Paskorn Jumlongrach
“เทพไท” ชี้ยอดติดเชื้อโควิด ทะลุ 2พันอันตราย ทำผู้ติดเชื้อโวย “ไม่มีเส้นไม่มีเตียง” แนะรบ.เร่งแก้
https://www.matichon.co.th/politics/news_2686456
“เทพไท” ชี้ยอดติดเชื้อโควิด ทะลุ 2พันอันตราย ทำผู้ติดเชื้อโวย “ไม่มีเส้นไม่มีเตียง” แนะรบ.เร่งแก้
เมื่อวันที่ 23 เม.ย.นายเทพไท เสนพงศ์ อดีตส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟสบุ๊กข้อความว่า จากตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่วันนี้ จำนวน 2,070 คน นับว่าเป็นการทำลายสถิติผู้ติดเชื้อที่ผ่านมา ได้มียอดทะลุ 2,000 คนไปแล้ว ซึ่งถือว่าอยู่ในขั้นอันตรายมาก เพราะจะมีการแพร่เชื้อแบบทวีคูณ จนไม่สามารถจะรับมือได้ ด้วยข้อจำกัดของบุคลากรทางการแพทย์ ที่มีหมอและพยาบาลจำนวนจำกัด สถานที่รองรับผู้ป่วย ก็มีไม่เพียงพอกับผู้ติดเชื้อ ที่เพิ่มขึ้นรายวัน จนทำให้ผู้ติดเชื้อรายใหม่ที่เป็นกลุ่มระดับรากหญ้า ขาดโอกาสเข้าถึงการรักษาพยาบาล จะเห็นได้จากข่าวที่มีผู้ติดเชื้อ รอการช่วยเหลือรับเข้าสู่การรักษาพยาบาลหลายวัน จนกว่าจะมีหน่วยพยาบาลไปรับมารักษาที่โรงพยาบาลได้ ทำให้เชื้อไวรัสโควิด-19 แพร่กระจายให้กับบุคคลภายในบ้าน จนติดเชื้อหมดทุกคน และผู้ติดเชื้อบางรายก็ไม่สามารถติดต่อโทรศัพท์สายด่วนของกระทรวงสาธารณสุขได้ ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม ก็ได้ทดลอง และประสบด้วยตัวเองมาแล้ว
นายเทพไท กล่าวต่อว่า จนถึงวันนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือการมีผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นและเตียงผู้ป่วยมีจำกัด แม้ว่าจะเปิดโรงพยาบาลสนามเพื่อรองรับแล้วก็ตาม แต่การหาเตียงผู้ป่วย ยากยิ่งกว่าการหาทองคำเสียอีก จนมีการ กล่าวขานกันว่า“ไม่มีเส้นไม่มีเตียง” ไม่มีคอนเน็คชั่นก็ไม่สามารถที่จะเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้ จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาล และผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง ได้เร่งแก้ปัญหาให้กับประชาชนระดับล่าง ที่ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาพยาบาลได้อย่างทันท่วงที เหมือนกับกลุ่มอภิสิทธิ์ชน นอกจากจะไม่เป็นผลดีต่อความรู้สึกของประชาชนแล้ว ยังส่งผลเสียต่อการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยรวมของประเทศอีกด้วย
https://www.facebook.com/theptai.theptai/posts/467439764335957